เป้เก่าๆ เจ้าของแก่ๆ กับหนึ่งใจที่ไม่เคยยอมแพ้ Let's go! — traveling to my destination from Mae Fah Lhaung Chiang Rai International Airport.
......................................................................................................
May 22nd
เห็นแล้วหมั่นไส้ มันน่าจัดนัก ของดีๆแอบมาอยู่ประเทศนี้หมด — at Bogyoke Market.
.....................................................................................................
May 22nd
Aan het wachten op de nachtbus naar Inle Lake — feeling relax at Yangoon - Myanmar.
Good morning Inle — at Inle Lake.
IT took me almost two years, but finally I'm here... มันเป็นความตั้งใจตั้งแต่ปีก่อนๆว่าจะมาดูชาวอินเลใช้เท้าพายเรือ และวันนี้ก็ทำได้สำเร็จ มันน่าทึ่งขนาดไหนที่ได้เห็นคนยืนบนเรือด้วยขาข้างเดียวในขณะที่อีกข้างต้อง ทำหน้าที่บังคับใบพายหรืออุปกรณ์หาปลา ท่ามกลางสายนำ้ที่ค่อนข้างเชี่ยวความชำนาญเท่านั้นที่เอาอยู่ ชีวิตของชาวอินเลทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Waterworld คนอาศัยอยู่บนนำ้ ทำแพปลูกผัก เชี่ยวชาญเรื่องนำ้ ทำมาหากินกับนำ้. แดดแรงมากที่อินเล ทำเอาผิวส่วนที่พ้นร่มผ้าเปลี่ยนสี จากที่เห็นแดงๆตอนนี้พรุ่งนี้คงเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นและคงใช้เวลาอีกหลาย เดือนที่บางส่วนจะจางลงและแน่นอนว่าจะคงเหลือบางส่วนไว้เป็นอนุสรณ์ ร่องรอยของแสงแดดหรือแมลงกัดต่อยที่ได้จากการเดินทางฉันไม่เคยรังเกียจมัน สำหรับฉันมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ได้มาด้วยความสุข ความอิ่มเอิบในใจ มันเป็นข้อดีของคนไม่สวยที่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นัก บางทีเห็นตัวเองในกระจกยังคิดแบบขำๆ "จุดขายไม่ใช่หน้าตา" สุขจัง ที่ตามล่าความฝันของตัวเองทัน สุขจังที่เห็นตัวเองมีความสุข
ตื่น เช้ามาพร้อมกับเสียงเรือ ตอนแรกยังงงอยู่ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน อินเดีย เวียดนาม ลาว กัมพูชา รึว่าศรีลังกา นอนนึกลำดับเหตุการณ์อยู่สักครู่จึงถึงบางอ้อ อยู่ทะเลสาปอินเล รัฐฉาน ประเทศพม่า ด้วยเหตุที่คืนก่อนจะมาอินเลได้ใช้เวลาเกือบ12ชั่วโมงบนรถ บัส เมื่อวานอีกเกือบทั้งวันบนเรือ ตกเย็นมาจึงรู้สึกเหนื่อยอาบนำ้เสร็จนอนยาวตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน ตื่นมาหิวแต่คงดึกเกินไปสำหรับหาอะไรกินข้างนอก ร้านอาหารระดับแฟนซีที่หมายมั่นไว้เป็นอันพับเก็บแทนที่ด้วยคุกกี้ที่หิ้วมา ด้วยจากเทสโก้ กินเสร็จวางแผนการเดินทางต่อนิดหน่อยแล้วหลับไปอีกจนถึงตีสี่ โรงแรมที่พักที่สุ่มมาจากอโกดาราคา25เหรียญ สะอาดและบริการดีใช้ได้ มีบริการตั๋วรถไปพุกามให้เสร็จสรรพทำให้การวางแผนการเดินทางง่ายขึ้นเยอะ อาหารเช้าเป็นแบบง่ายๆตามแบบของที่พักน้อยดาว ที่น่ารักคือสาวพม่าที่เอาอาหารเช้ามาให้ นางพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่พยายามมาคุยด้วย คงกลัวว่าเราจะเหงา พยายามถามนางว่าเย็นวานที่เอานำ้ร้อนใส่กาใบเล็กๆน่ารักไปส่งให้เราถึงใน ห้องจะให้เราใช้ทำอะไร จะว่าชงชากาแฟก็ไม่เห็นมีให้ รึว่าจะให้เราต้มมาม่าที่พกมาเอง เอ๊ะไม่น่าจะใช่เพราะเราไม่ได้พก รึว่าคนพม่าชอบดื่มนำ้ร้อนตอนเย็น อืมมมม... สายแล้วออกไปเหล่พี่หม่องส่องสาวพม่าดีกว่า
ดู จากเอ้าท์ฟิตงานนี้ชักจะไม่แน่ใจว่ามาท่องโลกหรือมาเป็นคนงานตัดอ้อย เช่าจักยานแม่บ้านได้คันนึง ซื้อหมวกสานอีกหนึ่งใบ ปั่นครับปั่น ปั่นให้มันน่องโป่งตัวดำเป็นหม่องกันเลย แอบคิดถึงไอ่ดำMTที่จอดอยู่บ้านไม่ได้ เดี๋ยวกลับไปจะอาบนำ้ให้มันซะหน่อย — feeling hot at Inle Lake.
...............................................................................................................................
May 26th
8 hours a night bus from Inle Lake to Bagan... I will survive!!!!!
มันเป็นแปดชั่วโมงของการนั่งรถบัสกลางคืนที่ทรมารที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต รถออกจากอินเลหนึ่งทุ่มตรงค่ารถหมื่นจ๊าต จะใช้เวลาเจ็ดชั่วโมง รถแอร์พม่าประมาณได้ว่ารถเชียงรายไปเถิน ลำปาง หวานเย็น คลาสสิค. พี่หม่อง ยายอ่อง หอบลูกจูงเมียหิ้วของพะรุงพะรังมาใช้บริการกันแน่นรถ ก้าวแรกที่ขึ้นรถเหลือบเห็นถุงหิ้วสีดำใบเล็กเสียบอยู่หน้าที่นั่งแอบคิดใน ใจ มิน่าบ้านเมืองเขาถึงได้สะอาด ทิ้งขยะกันเป็นระเบียบนี่เอง พอสังเกตไปเรื่อยๆเริ่มไม่แน่ใจ เอถุงดำนี่น่าจะเอาไว้บ้วนนำ้หมากมากกว่านะดูแต่ละหม่องก็เคี้ยวกันเป็น กิจจะลักษณะ อืมมมมนะ ระหว่างทางรถจอดรับผู้โดยสารไปเรื่อยๆจนได้สาวหม่องร่างบางมานั่งข้างๆ แอบดีใจเบาๆ โชคดีแฮะได้คนตัวเล็กมานั่งข้างจะได้ไม่เบียดกัน อิอิ รถแล่นไปได้ไม่ถึงชั่วโมงเริ่มได้ยินเสียงคนเรอ เริ่มมาจากยายแก่ๆแถวหลังตามด้วยเด็กแถวหน้า ตามมาติดๆจากคนนั่งข้างๆ เบอออออบบบบ.... เอาละสิงานเข้าละ จากนั้นไม่ทันได้ลำดับเหตุการณ์ว่าใครก่อนใครหลังหม่องๆทั้งหลายอ้วกกันบนรถ เป็นงานอดิเรกเหมือนเรานั่งแทะเม็ดแตงโมฆ่าเวลา ขวาอ้วก หน้าอ้วก เอ้าาาหลังตามมาติดๆ ฉันไม่ได้เป็นคนขี้เมารถแต่เป็นคนแพ้คนเรอกับคนอ้วก คือเห็นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างทุกอารมณ์มันมาจุกอยู่ที่คอหอยจะอ้วกตามเขา! คว้าแผ่นปิดตามาใส่ ตามด้วย ที่ปิดปาก/จมูก ตามด้วยโสร่งคู่ชีพเอามาห่อตัวเอง ยังเหลือผ้าพันคออีกผืนแกะมาคลุมหัวไว้ นั่งขดตัวให้เล็กที่สุด ทำเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ เท้าขวาก็คอยกันถุงอ้วก (ใช้เต็มที่แล้วแล้วขมวดปม) ที่นางคนข้างๆวางไว้ใต้เบาะหน้านางไม่ให้มาโดนเป้เราที่วางไว้ใต้เบาะหน้า เรา เกิดถุงแตกขึ้นมามันจะลำบากกว่านี้. เราเป็นแค่ฝุ่นเล็กๆ เราไม่มีตัวตน เราไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แล้วมันก็จะผ่านไป...นั่งขดตัวไปก็ปลอบใจตัวเองไปเรื่อยๆกับคำเหล่านี้ เราเป็นแค่ฝุ่นเล็กๆ เราไม่มีตัวตน เราไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แล้วมันก็จะผ่าาาา... อ้วกกกกก เบอออบบบบ ฮืออออ ฮือออออ อ้อกกกกกก หม่องๆทั้งหลายก็บรรเลงมหกรรมอ้วกกันไป เราเป็นแค่ฝุ่นเล็กๆ เราไม่มีตัวตน.... ท่องไปแต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็ยังทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งกลิ่น ทั้งเสียง ทั้งรูป แถมตีนเจ้ากรรมยังหาเรื่องเขี่ยไปโดนถุงอ้วกอุ่นๆที่นางหม่องวางไว้ใต้ที่ นั่งอีก อจ้าาาาากกกกก!!! กรรมจริงๆ.. ขอบอก
รถจอดแวะที่กลางทางรีบกระโจนออกรถมารับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก อาาาาาาาาา.... ขาดใจตายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เอาละวางแผนใหม่ แจกครับ แจกลูกอมที่พกติดตัวมา ทิชชู่เปียกกลิ่นหอมอ่อนๆ ยาหม่องนำ้ทาหลังมือให้นาง คงพอทุเลานะ ผิดคาด มหกรรมอ้วกแห่งชาติคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆหนักบ้าง เบาบ้าง แอบให้รางวัลชาวพม่าว่าเป็นนักอ้วกระดับชาติ นั่งรถมาก็เยอะแทบทุกซีกโลก ยกแชมป์ให้พม่าไปเลย อ้วกจริงอ้วกจังอ้วกจนเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง.
ตีสามรถมาถึงเมืองพุกาม เมืองแห่งทะเลเจดีย์ นั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนหกโมงเช้า ไม่ได้สวยอะไรมากมายอย่างใจหวัง แต่ก็ดีใจที่มาถึง การเดินทางยังสนุกอยู่ อุปสรรค์มันเป็นตัวช่วยชูโรง เหมือนกินก๋วยเตี๋ยวมีพริกมีนำ้ปลานำ้ส้มเป็นตัวเพิ่มรส คอยลุ้นต่อพรุ่งนี้นั่งรถไฟสายไม่มีใครอยากนั่ง พุกาม - มัณฑะเลย์ at Bagan, Myanmar.
รถไฟสายไม่มีใครอยากนั่ง พุกาม - มัณฑะเลย์
ตื่นแต่เช้ามานั่งหลบไอแดดในห้องอาหารบนดาดฟ้าของโรงแรม แดดที่มัณฑะเลย์แรงมาก การคมนาคมก็ยากกว่าเมืองอื่น ที่นี่ไม่มีแท็กซี่มีแต่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง วันนี้คงต้องสวมวิญญาณสก๊อยเกาะหลังหม่องแว๊นทั้งวัน ลองสก๊อยมาแล้วเมื่อเย็นวานก็พอเอาอยู่ ต้องระวังแค่เรื่องเดียวคอยหลบนำ้หมากหม่องแว๊นให้ดี ไม่งั้นมีเฮ....
มัณฑะเลย์ (พม่า : หม่านดะเล้) เป็นอดีตเมืองหลวง และเมืองใหญ่อันดับที่สามของพม่ารองจากนครย่างกุ้งและกรุงเนปิดอว์ ตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิรวดี ห่างจากย่างกุ้งไปทางทิศเหนือ 716 กิโลเมตร ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1857 โดยพระเจ้ามินดง โดยตั้งชื่อตามภูเขามัณฑะเลย์ ที่อยู่ใกล้เคียง
มัณฑะเลย์เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าทางตอนเหนือของพม่า และถือเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ รองจากย่างกุ้งเนปยีดอ
จัด ไป... The Sedona โรงแรมติดอันดับหนึ่งของมัณฑะเลย์ ยอมจ่ายไปร้อยกว่าเหรียญ ห้องที่วิวสวยที่สุดมองไปเห็นมัณฑะเลย์ฮิล กะจะนอนแช่นำ้ให้ขี้ไคลเปื่อย ขัดสีฉวีวรรณ เวลคั่มดริ้ง บัทเล่อร์ส่วนตัว สปา เฟสเชียล ชา กาแฟ เอาให้จนกันไปข้างหนึ่ง แต่แอบ หวังว่าคงไม่ต้องถึงขั้นขายไร่ขายนา Thai Cooking Class Chiangrai & Tours ก็กำลังเข้มข้นอีเมล์แคนเซิลเข้ามาเป็นว่าเล่นโดยเฉพาะกลุ่มอเมริกัน เขากลัวเพราะการเมืองบ้านเราไม่นิ่ง มะเป็นไร ชีวิตมันก็ต้องมีหลายรสชาติ เทคนิคมันก็มีอยู่แค่ว่า ต้องมีความสุขกับทุกสถานการณ์ เอ้าาาาาา Cheers!!!!!!
Mandalay Palace - Mandalay Hill - Mahamuni Buddha Temple - U Bein Bridge
ใช้ เวลาค่อนชั่วโมงในตู้อบเคลื่อนที่ฟรีของแอร์เอเชียร์จากดาวน์ทาวน์มัณฑะเลย์ ถึงสนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ สนามบินตั้งอยู่กลางทุ่งและป่าหนาม ดูอ้างว้างและแห้งแล้งเป็นที่สุด นึกไปถึงสนามบินอาดีส อาบาบา เอธิโอเปียที่ไปใช้บริการหลายปีก่อนไม่ได้ มันคล้าย คลึงกันเหลือเกิน และมันชั่งต่างกันยังกับฟ้ากันเหวระหว่างสนามเหล่านี้กับสนามบินหรูๆอย่าง สนามบินดูไบ ต่อแถวสแกนกระเป๋าเหงื่อเม็ดโป้งเริ่มผุด อย่าว่าแต่แอร์เลยพัดลมยังใช้กันแค่สองตัวอยู่ไกลนู่นนนนน... แบกเป้มาถึงตม.ยื่นพาสปอร์ตให้หม่องแกทำหน้ามึนๆตามแบบพม่า ในหัวเราก็จินตนาการไปตามหนังเรื่อง The Terminal ตม.หม่องหน้ามึนมองเราด้วยสายตาอันเย็นชาแล้วบอกเราว่า มีสเราขอโทษด้วยที่ไม่สามารถให้มีสออกนอกประเทศเราได้เพราะประเทศไทยที่มีส จะไปไม่มีอีกแล้ว ประเทศไทบได้ยุบตัวเองลงเพราะปัญหาทางการเมือง Thailand is no longer exist!!! และมีสก็ไม่สามารถออกนอกสนามบินแห่งนี้ได้เพราะพาสปอร์ตเล่มนี้ก็ถือเป็นโมฆะ Miss Miss are you ok???!!! ตกใจตื่นจากภวังค์ อะนี่กุจินตนาการไปเองล้วนๆนี่ หม่องตม.มองหน้าฉันงงแล้วเอ่ยว่า Have a good trip back home Miss....
.......................................................................................................................................................
May 22nd
น่า
ทึ่งสมกับเป็นมหาเจดีย์ เฉพาะยอด The Diamond Orb หมดเพชรเกือบสองพันกะรัต,
ฉัตร The Umbrella ใช้ทองไปครึ่งตันบวกเพชรพลอยอีก 83,850รายการ
นี่สิประเทศที่รวยจริง — at Shwedagon Pagoda.
...............................................................................................................
May 23rd
Aan het wachten op de nachtbus naar Inle Lake — feeling relax at Yangoon - Myanmar.
..............................................................................................................
May 24th
Good morning Inle — at Inle Lake.
...............................................................................................................................
24th May
IT took me almost two years, but finally I'm here... มันเป็นความตั้งใจตั้งแต่ปีก่อนๆว่าจะมาดูชาวอินเลใช้เท้าพายเรือ และวันนี้ก็ทำได้สำเร็จ มันน่าทึ่งขนาดไหนที่ได้เห็นคนยืนบนเรือด้วยขาข้างเดียวในขณะที่อีกข้างต้อง ทำหน้าที่บังคับใบพายหรืออุปกรณ์หาปลา ท่ามกลางสายนำ้ที่ค่อนข้างเชี่ยวความชำนาญเท่านั้นที่เอาอยู่ ชีวิตของชาวอินเลทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Waterworld คนอาศัยอยู่บนนำ้ ทำแพปลูกผัก เชี่ยวชาญเรื่องนำ้ ทำมาหากินกับนำ้. แดดแรงมากที่อินเล ทำเอาผิวส่วนที่พ้นร่มผ้าเปลี่ยนสี จากที่เห็นแดงๆตอนนี้พรุ่งนี้คงเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นและคงใช้เวลาอีกหลาย เดือนที่บางส่วนจะจางลงและแน่นอนว่าจะคงเหลือบางส่วนไว้เป็นอนุสรณ์ ร่องรอยของแสงแดดหรือแมลงกัดต่อยที่ได้จากการเดินทางฉันไม่เคยรังเกียจมัน สำหรับฉันมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ได้มาด้วยความสุข ความอิ่มเอิบในใจ มันเป็นข้อดีของคนไม่สวยที่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นัก บางทีเห็นตัวเองในกระจกยังคิดแบบขำๆ "จุดขายไม่ใช่หน้าตา" สุขจัง ที่ตามล่าความฝันของตัวเองทัน สุขจังที่เห็นตัวเองมีความสุข
— feeling great at Inle Lake.
...............................................................................................................................
May 25th
ตื่น เช้ามาพร้อมกับเสียงเรือ ตอนแรกยังงงอยู่ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน อินเดีย เวียดนาม ลาว กัมพูชา รึว่าศรีลังกา นอนนึกลำดับเหตุการณ์อยู่สักครู่จึงถึงบางอ้อ อยู่ทะเลสาปอินเล รัฐฉาน ประเทศพม่า ด้วยเหตุที่คืนก่อนจะมาอินเลได้ใช้เวลาเกือบ12ชั่วโมงบนรถ บัส เมื่อวานอีกเกือบทั้งวันบนเรือ ตกเย็นมาจึงรู้สึกเหนื่อยอาบนำ้เสร็จนอนยาวตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน ตื่นมาหิวแต่คงดึกเกินไปสำหรับหาอะไรกินข้างนอก ร้านอาหารระดับแฟนซีที่หมายมั่นไว้เป็นอันพับเก็บแทนที่ด้วยคุกกี้ที่หิ้วมา ด้วยจากเทสโก้ กินเสร็จวางแผนการเดินทางต่อนิดหน่อยแล้วหลับไปอีกจนถึงตีสี่ โรงแรมที่พักที่สุ่มมาจากอโกดาราคา25เหรียญ สะอาดและบริการดีใช้ได้ มีบริการตั๋วรถไปพุกามให้เสร็จสรรพทำให้การวางแผนการเดินทางง่ายขึ้นเยอะ อาหารเช้าเป็นแบบง่ายๆตามแบบของที่พักน้อยดาว ที่น่ารักคือสาวพม่าที่เอาอาหารเช้ามาให้ นางพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่พยายามมาคุยด้วย คงกลัวว่าเราจะเหงา พยายามถามนางว่าเย็นวานที่เอานำ้ร้อนใส่กาใบเล็กๆน่ารักไปส่งให้เราถึงใน ห้องจะให้เราใช้ทำอะไร จะว่าชงชากาแฟก็ไม่เห็นมีให้ รึว่าจะให้เราต้มมาม่าที่พกมาเอง เอ๊ะไม่น่าจะใช่เพราะเราไม่ได้พก รึว่าคนพม่าชอบดื่มนำ้ร้อนตอนเย็น อืมมมม... สายแล้วออกไปเหล่พี่หม่องส่องสาวพม่าดีกว่า
— at Inle Star Motel.
...............................................................................................................................
May 25th
ดู จากเอ้าท์ฟิตงานนี้ชักจะไม่แน่ใจว่ามาท่องโลกหรือมาเป็นคนงานตัดอ้อย เช่าจักยานแม่บ้านได้คันนึง ซื้อหมวกสานอีกหนึ่งใบ ปั่นครับปั่น ปั่นให้มันน่องโป่งตัวดำเป็นหม่องกันเลย แอบคิดถึงไอ่ดำMTที่จอดอยู่บ้านไม่ได้ เดี๋ยวกลับไปจะอาบนำ้ให้มันซะหน่อย — feeling hot at Inle Lake.
...............................................................................................................................
May 26th
8 hours a night bus from Inle Lake to Bagan... I will survive!!!!!
มันเป็นแปดชั่วโมงของการนั่งรถบัสกลางคืนที่ทรมารที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต รถออกจากอินเลหนึ่งทุ่มตรงค่ารถหมื่นจ๊าต จะใช้เวลาเจ็ดชั่วโมง รถแอร์พม่าประมาณได้ว่ารถเชียงรายไปเถิน ลำปาง หวานเย็น คลาสสิค. พี่หม่อง ยายอ่อง หอบลูกจูงเมียหิ้วของพะรุงพะรังมาใช้บริการกันแน่นรถ ก้าวแรกที่ขึ้นรถเหลือบเห็นถุงหิ้วสีดำใบเล็กเสียบอยู่หน้าที่นั่งแอบคิดใน ใจ มิน่าบ้านเมืองเขาถึงได้สะอาด ทิ้งขยะกันเป็นระเบียบนี่เอง พอสังเกตไปเรื่อยๆเริ่มไม่แน่ใจ เอถุงดำนี่น่าจะเอาไว้บ้วนนำ้หมากมากกว่านะดูแต่ละหม่องก็เคี้ยวกันเป็น กิจจะลักษณะ อืมมมมนะ ระหว่างทางรถจอดรับผู้โดยสารไปเรื่อยๆจนได้สาวหม่องร่างบางมานั่งข้างๆ แอบดีใจเบาๆ โชคดีแฮะได้คนตัวเล็กมานั่งข้างจะได้ไม่เบียดกัน อิอิ รถแล่นไปได้ไม่ถึงชั่วโมงเริ่มได้ยินเสียงคนเรอ เริ่มมาจากยายแก่ๆแถวหลังตามด้วยเด็กแถวหน้า ตามมาติดๆจากคนนั่งข้างๆ เบอออออบบบบ.... เอาละสิงานเข้าละ จากนั้นไม่ทันได้ลำดับเหตุการณ์ว่าใครก่อนใครหลังหม่องๆทั้งหลายอ้วกกันบนรถ เป็นงานอดิเรกเหมือนเรานั่งแทะเม็ดแตงโมฆ่าเวลา ขวาอ้วก หน้าอ้วก เอ้าาาหลังตามมาติดๆ ฉันไม่ได้เป็นคนขี้เมารถแต่เป็นคนแพ้คนเรอกับคนอ้วก คือเห็นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างทุกอารมณ์มันมาจุกอยู่ที่คอหอยจะอ้วกตามเขา! คว้าแผ่นปิดตามาใส่ ตามด้วย ที่ปิดปาก/จมูก ตามด้วยโสร่งคู่ชีพเอามาห่อตัวเอง ยังเหลือผ้าพันคออีกผืนแกะมาคลุมหัวไว้ นั่งขดตัวให้เล็กที่สุด ทำเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ เท้าขวาก็คอยกันถุงอ้วก (ใช้เต็มที่แล้วแล้วขมวดปม) ที่นางคนข้างๆวางไว้ใต้เบาะหน้านางไม่ให้มาโดนเป้เราที่วางไว้ใต้เบาะหน้า เรา เกิดถุงแตกขึ้นมามันจะลำบากกว่านี้. เราเป็นแค่ฝุ่นเล็กๆ เราไม่มีตัวตน เราไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แล้วมันก็จะผ่านไป...นั่งขดตัวไปก็ปลอบใจตัวเองไปเรื่อยๆกับคำเหล่านี้ เราเป็นแค่ฝุ่นเล็กๆ เราไม่มีตัวตน เราไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แล้วมันก็จะผ่าาาา... อ้วกกกกก เบอออบบบบ ฮืออออ ฮือออออ อ้อกกกกกก หม่องๆทั้งหลายก็บรรเลงมหกรรมอ้วกกันไป เราเป็นแค่ฝุ่นเล็กๆ เราไม่มีตัวตน.... ท่องไปแต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็ยังทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งกลิ่น ทั้งเสียง ทั้งรูป แถมตีนเจ้ากรรมยังหาเรื่องเขี่ยไปโดนถุงอ้วกอุ่นๆที่นางหม่องวางไว้ใต้ที่ นั่งอีก อจ้าาาาากกกกก!!! กรรมจริงๆ.. ขอบอก
รถจอดแวะที่กลางทางรีบกระโจนออกรถมารับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก อาาาาาาาาา.... ขาดใจตายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เอาละวางแผนใหม่ แจกครับ แจกลูกอมที่พกติดตัวมา ทิชชู่เปียกกลิ่นหอมอ่อนๆ ยาหม่องนำ้ทาหลังมือให้นาง คงพอทุเลานะ ผิดคาด มหกรรมอ้วกแห่งชาติคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆหนักบ้าง เบาบ้าง แอบให้รางวัลชาวพม่าว่าเป็นนักอ้วกระดับชาติ นั่งรถมาก็เยอะแทบทุกซีกโลก ยกแชมป์ให้พม่าไปเลย อ้วกจริงอ้วกจังอ้วกจนเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง.
ตีสามรถมาถึงเมืองพุกาม เมืองแห่งทะเลเจดีย์ นั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนหกโมงเช้า ไม่ได้สวยอะไรมากมายอย่างใจหวัง แต่ก็ดีใจที่มาถึง การเดินทางยังสนุกอยู่ อุปสรรค์มันเป็นตัวช่วยชูโรง เหมือนกินก๋วยเตี๋ยวมีพริกมีนำ้ปลานำ้ส้มเป็นตัวเพิ่มรส คอยลุ้นต่อพรุ่งนี้นั่งรถไฟสายไม่มีใครอยากนั่ง พุกาม - มัณฑะเลย์ at Bagan, Myanmar.
.....................................................
May 27th
รถไฟสายไม่มีใครอยากนั่ง พุกาม - มัณฑะเลย์
เหตุเพราะสงสัยมานานแล้วว่าทำไมรถไฟระหว่างสองเมืองนี้ถึงไม่เป็นที่นิยมของ
นักท่องเที่ยว หาข้อมูลมาหลายอาทิตย์ก็ไม่ได้อะไรมากมายจึงตัดสินใจ ลอง
สอบถามจากพี่หม่องคนขับรถพาท่องทะเลเจดีย์เมื่อวานได้ความว่า มีรถไฟจากพุกามไปมัณฑะเลย์วันละหนึ่งเที่ยว ออกเจ็ดโมงเช้าถึงที่หมายบ่ายสอง ขอพี่หม่องจองตั๋วให้พี่แกมองหน้าแล้วทำหน้าแบบไม่เชื่อ " รถไฟพม่าไม่เหมือนรถไฟบ้านเธอนะ แน่ใจนะว่าจะไป ทำไมไม่นั่งรถบัสแอร์ไปสบายๆ ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง " ฉันยืนยันกับพี่หม่องว่าจะไปรถไฟพรุ่งนี้เช้า หม่องส่ายหัวบอกว่าหกโมงจะมารับไปสถานีด้วยค่าจ้างเจ็ดพันห้าร้อยจ๊าต ตั๋วไม่ต้องจองล่วงหน้าพรุ่งนี้ค่อยซื้อก่อนเดินทาง
หกโมงเช้าพี่หม่องมายืนรอหน้าห้องพอเปิดประตูห้องพี่แกรีบถามสถานีรถบัสหรือ สถานีรถไฟ ฉันส่งยิ้มให้พี่หม่องแบบเหี้ยมๆ railway station please... ฉันถึกกว่าที่คุณเห็น หุหุ มาถึงสถานีรถไฟพี่หม่องคงเป็นห่วงเลยพาไปซื้อตั๋ว ฉันปรี่จะไปต่อแถวแต่พี่หม่องชี้ไปที่ประตูเล็กๆหลังช่องขายตั๋ว อารายยยวะ เดินตามพี่หม่องไปอ้ออออเป็นออฟฟิสนายสถานี พี่หม่องว่าค่าตั๋วสามพันจ๊าตแต่ถ้าเพิ่มพิเศษให้พนักงานอีกสักนิดก็จะมี อะไรพิเศษๆตอบแทน เฮ่ยยยย คอรัปชั่น! ระบบนี้มันคุ้นๆยังไงอยู่นะ ด้วยความที่เป็นคนไม่นิยมระบบใต้โต๊ะแต่ความสงสัยคำว่าพิเศษมันมีมากกว่าจึง ควักให้พี่หม่องเพิ่มอีกหนึ่งพัน ดูสิมันจะพิเศษขนาดไหน ตั๋วถูกเขียนเป็นภาษาพม่าขยุกขยิก มีอ่านออกคำเดียว Miss Suwannee ตามพาสปอร์ตที่ถูกเรียกไปดูขณะออกตั๋ว โบกมือลาพี่หม่องคนขับรถ แบกเป้ไปหากาแฟกินล้างขี้ฟันยามเช้า เนสกาแฟ3in1จากไทยแลนด์หนึ่งซองพร้อมนำ้ร้อนหนึ่งถ้วยราคาสองร้อยจ๊าต เวลายังเหลือเดินถ่ายรูปเล่นอีกนิดหน่อย ตั้งแต่มาพม่ามีเรื่องไม่เข้าใจอยู่หลายอย่าง เช่นเรื่องถ่ายรูป มนุษย์หม่องชอบมาขอถ่ายรูปด้วย อันนี้เจอบ่อยมาก ครั้งหนักที่สุดคงเป็นเมื่อวานที่วัดพระอึดอัด นักเรียนพม่าลงรถบัสมาสี่ห้าคันรถมาขอถ่ายรูปด้วย รุมยังกับฉันเป็นซุปเปอร์สตาร์ ตอนแรกไม่แน่ใจว่าเกิดอะไร กุวิ่งหนีดีมั๊ยเนี่ยยย ถ่ายกันจนครบทุกคนคู่บ้างกลุ่มบ้างให้โอบไหล่บ้างให้จับมือบ้าง คนหน้าบานๆฟันโตๆประทานาคาลายพร้อยอย่างฉันคงเป็นของแปลกของที่นี่ อิอิ เหมือนเดิมระหว่างรอรถไฟมีมหกรรมขอถ่ายรูปด้วยเกิดขึ้นอีก หม่องเด็ก หม่องสาว หม่องหนุ่ม หม่องแก่ หม่องพระ หม่องชี โอ๊ยยยยย ยิ้มจนเหนื่อย ถ้ากุรู้จะมาดังในพม่าเนี่ยยยกุมาตั้งนานแระ
รถไฟเทียบชานชาลา ไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องขึ้นตู้ไหน อ่านเลขก็ไม่ออกซักตัวแถมเป็นต่างชาติคนเดียวของทั้งขบวน จะหาแนวร่วมก็ไม่มีอีก ( อืมมม มันก็มีขบวนนี้ขบวนเดียวแหละทั้งสถานี งานนี้ไม่มีหลง ) ตัดสินใจขึ้นมันตู้นี้แหละถ้าไม่ใช่ค่อยเดินหาเอาในขบวน กำลังเล็งๆตัวเลขหงิกๆงอๆพี่หม่องพนักงานมาขอดูตั๋วแล้วพาไปนั่งพอเห็นที่ นั่งก็ถึงบางอ้อ มันพิเศษแบบนี้นี่เอง ที่นั่งธรรมดาซี่เหล็กแข็งๆเราไม่ได้นั่ง ของเราต้องนี่เลยเบาะหุ้มด้วยหนังสีมอยๆ มีโต๊ะวางของด้านหน้า นั่งสบายตุ๊ดกว่าคนอื่นหน่อยนึง ยังไม่หมดความพิเศษพี่หม่องคงกันที่นั่งข้างๆไว้เพราะว่างตลอดเจ็ดชั่งโมง นั่งยืดแข้งยืดขาได้สบายชะมัด พอรถไฟเริ่มออกก็มีมหกรรมขอถ่ายรูปคู่เกิดขึ้นอีกจนสักพักมนุษย์หม่องทั้ง หลายคงเบื่อก็เลยล้วงเสื่อมาปูนอนกันกลางตู้รถไฟ ที่นั่งซื้อแล้วไม่นั่งนะเอาไว้วางของตัวเองพากันลงมานอนแทะเม็ดทานตะวันเฉย ยยยย มนุษย์หม่องเป็นมนุษย์ที่น่ารักมาก เปิดปิ่นโตเอาข้าวมาแบ่งกันกิน ฉันเลยได้อานิสงส์ไปด้วยไม่ว่าจะเป็นมันทอดรสเผ็ดที่บ้านเราเป็นรสปาปริก้า แต่ที่นี่คงใช้พริกขี้หนูเพราะเผ็ดจริงไรจริง เม็ดทานตะวันคั่วเกลืออร่อยมากกกช่วยมนุษย์หม่องแทะจนขี้เกลือเกาะเต็มมุม ปาก พุทราดองสีเหลืองอ๋อยใส่ถุงพลาสติกขายเหมือนที่เคยกินตอนเป็นเด็ก พอรถหยุดตามสถานีก็จะมีคนขึ้นมาขายของ ลูกตาลสดๆเนื้อฉ่ำแน่น ยำข้าวฟืน มะม่วงกับพริกเกลือผงขมิ้น หวานเย็น น้ำอ้อยสด ไข่ต้ม ยังจะพวกยาหอม ยาลมอีก โอ๊ยยยย เยอะแยะไปหมด อารมณ์ประมาณเหมือนที่เคยนั่งรถไฟชั้นสองจากหัวลำโพงไปลพบุรีเมื่อสิบกว่าปี ที่แล้ว นั่งกินนั่งเนียนเป็นหม่องกับเขาไปได้หลายชั่วโมงเกิดเคลิ้มๆหลับตกใจตื่น ได้ยินเสียงเฮท้ายขบวน อดสงสัยไม่ได้เดินไปดู อัยยะ วงไพ่นิ! เล่นไรกันดูตั้งนานไม่เข้าใจ จะช่วยเล่นก็จนใจเพราะเล่นไม่เป็นเห็นถือตังกันเป็นฟ่อนๆน่าสนุก กลับมาที่นั่งสนทนาภาษามือต่อกับหม่องๆรอบตัว กำลังมีการขายตรงเกิดขึ้นอีก ท่อนทานาคาขนาดเท่าแขนถูกนำเสนอโดยหม่องป้า มีการอธิบายคุณสมบัติ ( อันนี้เดาเอา ) ให้ทดลองใช้ ควักแท่นหินออกมาพร้อมกับขวดน้ำ ฝนจนได้ที่เอามาลองทาหน้าทาแขน งานนี้ขายจริงซื้อจริง หน้าขาวว่อกกันทั้งขบวน
รถไฟสายไม่มีใครอยากนั่ง พุกาม- มัณฑะเลย์ สำหรับฉันเป็นรถไฟสายที่น่ารักที่สุดในโลก ไม่ได้เร็วเหมือนรถไฟหัวจรวดของญี่ปุ่น ไม่ได้หรูเหมือนรถไฟของยุโป แต่เป็นรถไฟที่จะอยู่ในความทรงจำดีๆของฉันไปอีกนานแสนนาน...
— at Mandalay City, Mynmar.สอบถามจากพี่หม่องคนขับรถพาท่องทะเลเจดีย์เมื่อวานได้ความว่า มีรถไฟจากพุกามไปมัณฑะเลย์วันละหนึ่งเที่ยว ออกเจ็ดโมงเช้าถึงที่หมายบ่ายสอง ขอพี่หม่องจองตั๋วให้พี่แกมองหน้าแล้วทำหน้าแบบไม่เชื่อ " รถไฟพม่าไม่เหมือนรถไฟบ้านเธอนะ แน่ใจนะว่าจะไป ทำไมไม่นั่งรถบัสแอร์ไปสบายๆ ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง " ฉันยืนยันกับพี่หม่องว่าจะไปรถไฟพรุ่งนี้เช้า หม่องส่ายหัวบอกว่าหกโมงจะมารับไปสถานีด้วยค่าจ้างเจ็ดพันห้าร้อยจ๊าต ตั๋วไม่ต้องจองล่วงหน้าพรุ่งนี้ค่อยซื้อก่อนเดินทาง
หกโมงเช้าพี่หม่องมายืนรอหน้าห้องพอเปิดประตูห้องพี่แกรีบถามสถานีรถบัสหรือ สถานีรถไฟ ฉันส่งยิ้มให้พี่หม่องแบบเหี้ยมๆ railway station please... ฉันถึกกว่าที่คุณเห็น หุหุ มาถึงสถานีรถไฟพี่หม่องคงเป็นห่วงเลยพาไปซื้อตั๋ว ฉันปรี่จะไปต่อแถวแต่พี่หม่องชี้ไปที่ประตูเล็กๆหลังช่องขายตั๋ว อารายยยวะ เดินตามพี่หม่องไปอ้ออออเป็นออฟฟิสนายสถานี พี่หม่องว่าค่าตั๋วสามพันจ๊าตแต่ถ้าเพิ่มพิเศษให้พนักงานอีกสักนิดก็จะมี อะไรพิเศษๆตอบแทน เฮ่ยยยย คอรัปชั่น! ระบบนี้มันคุ้นๆยังไงอยู่นะ ด้วยความที่เป็นคนไม่นิยมระบบใต้โต๊ะแต่ความสงสัยคำว่าพิเศษมันมีมากกว่าจึง ควักให้พี่หม่องเพิ่มอีกหนึ่งพัน ดูสิมันจะพิเศษขนาดไหน ตั๋วถูกเขียนเป็นภาษาพม่าขยุกขยิก มีอ่านออกคำเดียว Miss Suwannee ตามพาสปอร์ตที่ถูกเรียกไปดูขณะออกตั๋ว โบกมือลาพี่หม่องคนขับรถ แบกเป้ไปหากาแฟกินล้างขี้ฟันยามเช้า เนสกาแฟ3in1จากไทยแลนด์หนึ่งซองพร้อมนำ้ร้อนหนึ่งถ้วยราคาสองร้อยจ๊าต เวลายังเหลือเดินถ่ายรูปเล่นอีกนิดหน่อย ตั้งแต่มาพม่ามีเรื่องไม่เข้าใจอยู่หลายอย่าง เช่นเรื่องถ่ายรูป มนุษย์หม่องชอบมาขอถ่ายรูปด้วย อันนี้เจอบ่อยมาก ครั้งหนักที่สุดคงเป็นเมื่อวานที่วัดพระอึดอัด นักเรียนพม่าลงรถบัสมาสี่ห้าคันรถมาขอถ่ายรูปด้วย รุมยังกับฉันเป็นซุปเปอร์สตาร์ ตอนแรกไม่แน่ใจว่าเกิดอะไร กุวิ่งหนีดีมั๊ยเนี่ยยย ถ่ายกันจนครบทุกคนคู่บ้างกลุ่มบ้างให้โอบไหล่บ้างให้จับมือบ้าง คนหน้าบานๆฟันโตๆประทานาคาลายพร้อยอย่างฉันคงเป็นของแปลกของที่นี่ อิอิ เหมือนเดิมระหว่างรอรถไฟมีมหกรรมขอถ่ายรูปด้วยเกิดขึ้นอีก หม่องเด็ก หม่องสาว หม่องหนุ่ม หม่องแก่ หม่องพระ หม่องชี โอ๊ยยยยย ยิ้มจนเหนื่อย ถ้ากุรู้จะมาดังในพม่าเนี่ยยยกุมาตั้งนานแระ
รถไฟเทียบชานชาลา ไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องขึ้นตู้ไหน อ่านเลขก็ไม่ออกซักตัวแถมเป็นต่างชาติคนเดียวของทั้งขบวน จะหาแนวร่วมก็ไม่มีอีก ( อืมมม มันก็มีขบวนนี้ขบวนเดียวแหละทั้งสถานี งานนี้ไม่มีหลง ) ตัดสินใจขึ้นมันตู้นี้แหละถ้าไม่ใช่ค่อยเดินหาเอาในขบวน กำลังเล็งๆตัวเลขหงิกๆงอๆพี่หม่องพนักงานมาขอดูตั๋วแล้วพาไปนั่งพอเห็นที่ นั่งก็ถึงบางอ้อ มันพิเศษแบบนี้นี่เอง ที่นั่งธรรมดาซี่เหล็กแข็งๆเราไม่ได้นั่ง ของเราต้องนี่เลยเบาะหุ้มด้วยหนังสีมอยๆ มีโต๊ะวางของด้านหน้า นั่งสบายตุ๊ดกว่าคนอื่นหน่อยนึง ยังไม่หมดความพิเศษพี่หม่องคงกันที่นั่งข้างๆไว้เพราะว่างตลอดเจ็ดชั่งโมง นั่งยืดแข้งยืดขาได้สบายชะมัด พอรถไฟเริ่มออกก็มีมหกรรมขอถ่ายรูปคู่เกิดขึ้นอีกจนสักพักมนุษย์หม่องทั้ง หลายคงเบื่อก็เลยล้วงเสื่อมาปูนอนกันกลางตู้รถไฟ ที่นั่งซื้อแล้วไม่นั่งนะเอาไว้วางของตัวเองพากันลงมานอนแทะเม็ดทานตะวันเฉย ยยยย มนุษย์หม่องเป็นมนุษย์ที่น่ารักมาก เปิดปิ่นโตเอาข้าวมาแบ่งกันกิน ฉันเลยได้อานิสงส์ไปด้วยไม่ว่าจะเป็นมันทอดรสเผ็ดที่บ้านเราเป็นรสปาปริก้า แต่ที่นี่คงใช้พริกขี้หนูเพราะเผ็ดจริงไรจริง เม็ดทานตะวันคั่วเกลืออร่อยมากกกช่วยมนุษย์หม่องแทะจนขี้เกลือเกาะเต็มมุม ปาก พุทราดองสีเหลืองอ๋อยใส่ถุงพลาสติกขายเหมือนที่เคยกินตอนเป็นเด็ก พอรถหยุดตามสถานีก็จะมีคนขึ้นมาขายของ ลูกตาลสดๆเนื้อฉ่ำแน่น ยำข้าวฟืน มะม่วงกับพริกเกลือผงขมิ้น หวานเย็น น้ำอ้อยสด ไข่ต้ม ยังจะพวกยาหอม ยาลมอีก โอ๊ยยยย เยอะแยะไปหมด อารมณ์ประมาณเหมือนที่เคยนั่งรถไฟชั้นสองจากหัวลำโพงไปลพบุรีเมื่อสิบกว่าปี ที่แล้ว นั่งกินนั่งเนียนเป็นหม่องกับเขาไปได้หลายชั่วโมงเกิดเคลิ้มๆหลับตกใจตื่น ได้ยินเสียงเฮท้ายขบวน อดสงสัยไม่ได้เดินไปดู อัยยะ วงไพ่นิ! เล่นไรกันดูตั้งนานไม่เข้าใจ จะช่วยเล่นก็จนใจเพราะเล่นไม่เป็นเห็นถือตังกันเป็นฟ่อนๆน่าสนุก กลับมาที่นั่งสนทนาภาษามือต่อกับหม่องๆรอบตัว กำลังมีการขายตรงเกิดขึ้นอีก ท่อนทานาคาขนาดเท่าแขนถูกนำเสนอโดยหม่องป้า มีการอธิบายคุณสมบัติ ( อันนี้เดาเอา ) ให้ทดลองใช้ ควักแท่นหินออกมาพร้อมกับขวดน้ำ ฝนจนได้ที่เอามาลองทาหน้าทาแขน งานนี้ขายจริงซื้อจริง หน้าขาวว่อกกันทั้งขบวน
รถไฟสายไม่มีใครอยากนั่ง พุกาม- มัณฑะเลย์ สำหรับฉันเป็นรถไฟสายที่น่ารักที่สุดในโลก ไม่ได้เร็วเหมือนรถไฟหัวจรวดของญี่ปุ่น ไม่ได้หรูเหมือนรถไฟของยุโป แต่เป็นรถไฟที่จะอยู่ในความทรงจำดีๆของฉันไปอีกนานแสนนาน...
.............................................................................................................................
May 27th
มาแบบงงๆ สงสัยจิตใต้สำนึกสั่ง — eating dinner at Ko's Kitchen Thai Restaurant.
.............................................................................................................................
May 28th
ตื่นแต่เช้ามานั่งหลบไอแดดในห้องอาหารบนดาดฟ้าของโรงแรม แดดที่มัณฑะเลย์แรงมาก การคมนาคมก็ยากกว่าเมืองอื่น ที่นี่ไม่มีแท็กซี่มีแต่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง วันนี้คงต้องสวมวิญญาณสก๊อยเกาะหลังหม่องแว๊นทั้งวัน ลองสก๊อยมาแล้วเมื่อเย็นวานก็พอเอาอยู่ ต้องระวังแค่เรื่องเดียวคอยหลบนำ้หมากหม่องแว๊นให้ดี ไม่งั้นมีเฮ....
มัณฑะเลย์ (พม่า : หม่านดะเล้) เป็นอดีตเมืองหลวง และเมืองใหญ่อันดับที่สามของพม่ารองจากนครย่างกุ้งและกรุงเนปิดอว์ ตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิรวดี ห่างจากย่างกุ้งไปทางทิศเหนือ 716 กิโลเมตร ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1857 โดยพระเจ้ามินดง โดยตั้งชื่อตามภูเขามัณฑะเลย์ ที่อยู่ใกล้เคียง
มัณฑะเลย์เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าทางตอนเหนือของพม่า และถือเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ รองจากย่างกุ้งเนปยีดอ
— at Mandalay City, Mynmar.
............................................................................................................................
28th May
จัด ไป... The Sedona โรงแรมติดอันดับหนึ่งของมัณฑะเลย์ ยอมจ่ายไปร้อยกว่าเหรียญ ห้องที่วิวสวยที่สุดมองไปเห็นมัณฑะเลย์ฮิล กะจะนอนแช่นำ้ให้ขี้ไคลเปื่อย ขัดสีฉวีวรรณ เวลคั่มดริ้ง บัทเล่อร์ส่วนตัว สปา เฟสเชียล ชา กาแฟ เอาให้จนกันไปข้างหนึ่ง แต่แอบ หวังว่าคงไม่ต้องถึงขั้นขายไร่ขายนา Thai Cooking Class Chiangrai & Tours ก็กำลังเข้มข้นอีเมล์แคนเซิลเข้ามาเป็นว่าเล่นโดยเฉพาะกลุ่มอเมริกัน เขากลัวเพราะการเมืองบ้านเราไม่นิ่ง มะเป็นไร ชีวิตมันก็ต้องมีหลายรสชาติ เทคนิคมันก็มีอยู่แค่ว่า ต้องมีความสุขกับทุกสถานการณ์ เอ้าาาาาา Cheers!!!!!!
— feeling wonderful at Sedona Hotel at Mandalay.
...............................................................................................................................
May 28th
Mandalay Palace - Mandalay Hill - Mahamuni Buddha Temple - U Bein Bridge
พระราชวังมัณฑะเลย์ ภูมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนี สะพานอูเบ็ง ตามล่าหาฝันฉบับสก๊อย
ตั้งใจมามัณฑะเลย์ด้วยเหตุผลแค่สองข้อ หนึ่งอยากไหว้พระมหามัยมุนี พระมหามัยมุนี พระพุทธรูป คู่บ้านคู่เมืองของพม่า เปรียบได้กับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า สองอยากเห็นสะพานอูเบ็งสะพานที่ทำจากไม้ที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 2 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในตอนใต้ของเมืองอมรปุระ ประเทศพม่า สร้างจากไม้สักที่รื้อมาจากพระราชวังเก่าแห่งกรุงอังวะ เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากอังวะ มายังอมรปุระจำนวน 1,208 ต้น เพื่อใช้ทำเป็นเสา สะพานอูเบ็ง ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน มุ่งตรงไปยังเจดีย์เจ๊าต่อซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ ชื่ออูเบ็งนั้นเป็นชื่อของขุนนางผู้หนึ่งที่พระเจ้าปดุงโปรดฯให้มาทำหน้าที่ เป็นแม่กองงานสร้างสะพาน ซึ่งตั้งอยู่ที่อมรปุระก่อนจะเข้าถึงตัวเมืองมัณฑะเลย์
ด้วยว่าการเดินทางในมัณฑะเลย์ไม่ค่อยมีให้เลือกหลายแบบนัก จึงตกลงใจใช้บริการหม่องเมียว มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่พอพูดภาษาอังกฤษได้ หม่องจัดที่เที่ยวเพิ่มให้อีกสองที่คือพระราชวังกับภูเขามัณฑะเลย์ ซึ่งทั้งสองที่เราไม่ปลื้มเท่าไหร่ ค่าเข้าชมวังหมื่นจ๊าตเสียดายมากเพราะรู้สึกไม่คุ้ม ภูมัณฑะเลย์ได้อารมณ์ประมาณขึ้นดอยเขาควายที่บ้าน เที่ยวสองที่เสร็จพักเบรคกลับมานอนแช่แอร์ที่โรงแรมเพราะกลัวไม่คุ้มที่จ่าย ไปเยอะ หุหุ สี่โมงเย็นอ่องเมียวกลับมารับไปวัดมหามัยมุนี สก๊อยไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย ถอดรองเท้าเหน็บไว้ที่มอไซค์ตามแบบพม่า ในวัดคนเยอะมากศรัทธามหาชนหม่องมากราบไหว้กันอย่างล้นหลาม แต่เห็นมีนักท่องเที่ยวปนอยู่ไม่กี่คน ถ้าตัวเองเป็นผู้ชายจะเลือกมาดูตอนเช้ามืดเพราะมีพิธีล้างหน้าพระพักตร์ แต่สำหรับผู้หญิงมาตอนไหนก็คงไม่ต่างกันเพราะเขาห้ามผู้หญิงเข้าไกล้ในรัสมี กว่าสิบเมตร วินาทีที่เห็นองค์พระรู้สึกทึ่งมาก พระพักตร์งามจับใจ องค์เหลืองอร่ามเพราะปิดทองทับอยู่ทุกเช้า มันstunning มันamazingมากมาย พอๆกับเจดีย์ชเวดากองตอนพลบคำ่ นี่ขนาดว่าตัวฉันเองก็ไม่ได้ลึกซึ้งกับพระพุทธศาสนามากนักแต่ก็ได้ชื่อว่า นับถือเป็นศาสนาประจำตน ชื่นชมพระมหามัยมุนีจนหนำใจหม่องเมียวก็ชวนแว๊นต่อไปสะพานอูเบ็ง มาถึงแสงยังไม่เป็นใจก็นั่งรอกันไปพร้อมกับเบียร์พม่าสองขวดและกุ้งฝอยทอด จิ้มนำ้จิ้มกะปิ กินกับหม่องจนได้ที่ได้เวลาแต่หม่องคงติดลมก็เลยบอกให้นั่งกินต่อฉันจะไป เดินเล่นบนสะพาน สะพานไม้อูเบ็งในความรู้สึกฉันเป็นสะพานที่คลาสสิคมาก ทั้งรูปแบบ โลเคชั่น แม้กระทั่งคนที่เดินอยู่บนสะพาน พระ เถร เณร ชี หม่องน้อย หม่องใหญ่ นุ่งโสร่ง นุ่งผ้าถุง เคี้ยวหมาก ประทานาคา เดินกันยังกับในฉากหนัง ปลื้มจริงๆที่ได้มาสัมผัส พระอาทิตย์ลงตำ่เรื่อยๆรีบลงจากสะพานไปหาหม่องเมียวชวนเขาไปล่องเรือเพราะ เขาคิดเป็นลำ ลำละหกพันจ๊าตจะนั่งกี่คนก็ได้แต่ไม่เกินห้าคน อะนะ กุก็ตัวคนเดียวจ่ายเต็มๆเสียดายที่นั่งเอามันไปด้วยดีกว่า หม่องเมียวทำตาละห้อยเสียดายเบียร์ที่ยังกินไม่หมดแต่ก็คงเสียดายโอกาสที่จะ ได้นั่งเรือมากกว่าเลยตามมาลงเรือ พระอาทิตย์ลับขอบฟ้ามองจากบนเรือเป็นอะไรที่สวยมาก ถึงแม้ว่าจะเมฆมาบังไว้บ้าง แต่ก็งามสุดๆ งามแบบอิ่มมมมมมไปหมด อยากเก็บสามนาทีนั้นไว้ในความทรงจำนานๆจัง...
ตั้งใจมามัณฑะเลย์ด้วยเหตุผลแค่สองข้อ หนึ่งอยากไหว้พระมหามัยมุนี พระมหามัยมุนี พระพุทธรูป คู่บ้านคู่เมืองของพม่า เปรียบได้กับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า สองอยากเห็นสะพานอูเบ็งสะพานที่ทำจากไม้ที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 2 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในตอนใต้ของเมืองอมรปุระ ประเทศพม่า สร้างจากไม้สักที่รื้อมาจากพระราชวังเก่าแห่งกรุงอังวะ เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากอังวะ มายังอมรปุระจำนวน 1,208 ต้น เพื่อใช้ทำเป็นเสา สะพานอูเบ็ง ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน มุ่งตรงไปยังเจดีย์เจ๊าต่อซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ ชื่ออูเบ็งนั้นเป็นชื่อของขุนนางผู้หนึ่งที่พระเจ้าปดุงโปรดฯให้มาทำหน้าที่ เป็นแม่กองงานสร้างสะพาน ซึ่งตั้งอยู่ที่อมรปุระก่อนจะเข้าถึงตัวเมืองมัณฑะเลย์
ด้วยว่าการเดินทางในมัณฑะเลย์ไม่ค่อยมีให้เลือกหลายแบบนัก จึงตกลงใจใช้บริการหม่องเมียว มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่พอพูดภาษาอังกฤษได้ หม่องจัดที่เที่ยวเพิ่มให้อีกสองที่คือพระราชวังกับภูเขามัณฑะเลย์ ซึ่งทั้งสองที่เราไม่ปลื้มเท่าไหร่ ค่าเข้าชมวังหมื่นจ๊าตเสียดายมากเพราะรู้สึกไม่คุ้ม ภูมัณฑะเลย์ได้อารมณ์ประมาณขึ้นดอยเขาควายที่บ้าน เที่ยวสองที่เสร็จพักเบรคกลับมานอนแช่แอร์ที่โรงแรมเพราะกลัวไม่คุ้มที่จ่าย ไปเยอะ หุหุ สี่โมงเย็นอ่องเมียวกลับมารับไปวัดมหามัยมุนี สก๊อยไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย ถอดรองเท้าเหน็บไว้ที่มอไซค์ตามแบบพม่า ในวัดคนเยอะมากศรัทธามหาชนหม่องมากราบไหว้กันอย่างล้นหลาม แต่เห็นมีนักท่องเที่ยวปนอยู่ไม่กี่คน ถ้าตัวเองเป็นผู้ชายจะเลือกมาดูตอนเช้ามืดเพราะมีพิธีล้างหน้าพระพักตร์ แต่สำหรับผู้หญิงมาตอนไหนก็คงไม่ต่างกันเพราะเขาห้ามผู้หญิงเข้าไกล้ในรัสมี กว่าสิบเมตร วินาทีที่เห็นองค์พระรู้สึกทึ่งมาก พระพักตร์งามจับใจ องค์เหลืองอร่ามเพราะปิดทองทับอยู่ทุกเช้า มันstunning มันamazingมากมาย พอๆกับเจดีย์ชเวดากองตอนพลบคำ่ นี่ขนาดว่าตัวฉันเองก็ไม่ได้ลึกซึ้งกับพระพุทธศาสนามากนักแต่ก็ได้ชื่อว่า นับถือเป็นศาสนาประจำตน ชื่นชมพระมหามัยมุนีจนหนำใจหม่องเมียวก็ชวนแว๊นต่อไปสะพานอูเบ็ง มาถึงแสงยังไม่เป็นใจก็นั่งรอกันไปพร้อมกับเบียร์พม่าสองขวดและกุ้งฝอยทอด จิ้มนำ้จิ้มกะปิ กินกับหม่องจนได้ที่ได้เวลาแต่หม่องคงติดลมก็เลยบอกให้นั่งกินต่อฉันจะไป เดินเล่นบนสะพาน สะพานไม้อูเบ็งในความรู้สึกฉันเป็นสะพานที่คลาสสิคมาก ทั้งรูปแบบ โลเคชั่น แม้กระทั่งคนที่เดินอยู่บนสะพาน พระ เถร เณร ชี หม่องน้อย หม่องใหญ่ นุ่งโสร่ง นุ่งผ้าถุง เคี้ยวหมาก ประทานาคา เดินกันยังกับในฉากหนัง ปลื้มจริงๆที่ได้มาสัมผัส พระอาทิตย์ลงตำ่เรื่อยๆรีบลงจากสะพานไปหาหม่องเมียวชวนเขาไปล่องเรือเพราะ เขาคิดเป็นลำ ลำละหกพันจ๊าตจะนั่งกี่คนก็ได้แต่ไม่เกินห้าคน อะนะ กุก็ตัวคนเดียวจ่ายเต็มๆเสียดายที่นั่งเอามันไปด้วยดีกว่า หม่องเมียวทำตาละห้อยเสียดายเบียร์ที่ยังกินไม่หมดแต่ก็คงเสียดายโอกาสที่จะ ได้นั่งเรือมากกว่าเลยตามมาลงเรือ พระอาทิตย์ลับขอบฟ้ามองจากบนเรือเป็นอะไรที่สวยมาก ถึงแม้ว่าจะเมฆมาบังไว้บ้าง แต่ก็งามสุดๆ งามแบบอิ่มมมมมมไปหมด อยากเก็บสามนาทีนั้นไว้ในความทรงจำนานๆจัง...
ระหว่างทางกลับเข้าเมืองหม่องเมียวชวนแวะกินสกายจูสก็เลยเอาซะหน่อยทั้งๆที่
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร
จนชิมเข้าไปพร้อมกับหม่องอธิบายวิธีทำให้ฟังถึงเข้าใจ
ไอ่นำ้สีขาวขุ่นในขวดพลาสติกรีไซเคิลมันก็คือกระแช่หรือนำ้ตาลเมาบ้านเราดีๆ
นะเอง เอาาาาจัดไปกะเขาหน่อยเดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึง
แว๊นต่อมาซักพักหม่องขอจอดอีกที่คราวนี้แวะซื้อหมาก
เอาวะไหนๆกุก็มากับมันละดูซิมันซื้อขายกันยังไง
หม่องคนขายดึงใบพลูออกมาเรียงกันเป็นแถวเจ็ดแปดใบ
ปาดปูนขาวลงไปตามด้วยนำ้เชื่อมผสมมะนาว โรยใบยาสูบแห้งซอย โรยใบยาสูบดอง
โรยหมาก ม้วนเป็นแท่งยาวๆพับหัวท้าย เฮ่ยยยย ศิลป์อ่ะ
หม่องๆทั้งหลายคะยั้นคะยอให้ชิมแต่ซอรี่คะ เดี๊ยนหากินกับลิ้น ( ชิมอาหาร )
ไม่เอาไปแลกกับหมากคำเดียวย่ะ อิอิ
ความจริงเคยแอบชิมของยายตอนเป็นเด็กน้อย รสชาติมันโหดร้ายมากขอบอก
เกือบสองทุ่มกลับมาถึงโรงแรม หิวซ่ก จัดซี่โครงลูกแกะฝีมือเชฟเดวิดที่ว่าดังนักหนา กลั้วคอด้วยไวน์แดงอีกแก้ว กินไปนั่งพิมพ์ไปมีความสุขมั่กมั่กเคอะ วันนี้ได้ข้อคิดอะไร อืมมมมมม....
หนึ่ง มาเที่ยวพม่าควรใส่อีแตะ ทุกวัด ทุกเจดีย์ ทุกวัง เขาให้ถอดรองเท้าหมด หากเที่ยววัดหลายๆวัดแล้วใช้รองเท้าที่ใส่ยากถอดยาก ใส่ๆถอดๆ พอดีบ้าตาย
สอง ถ้าริจะเป็นสก๊อยให้ใส่เสื้อสีเข้มๆและเลือกหม่องแว๊นที่มีหมวกกันน็อคแบบ มีหน้ากากให้คุณใส่ โดนเองเต็มๆวันนี้ ใส่เสื้อสาวจี๋สีขาวมอยตัวเก่ง ได้หมอกกันน็อคที่คลุมแต่หัว พอหมดวันเสื้อมีแต่รอยนำ้หมาก หน้าเป็นจุดแดงๆกระจัดกระจายก็นำ้หมากเหมือนกัน ก้มดูตีนตัวเอง อัยยะ ยิ่งหนักใหญ่ พอบอกหม่องแว๊นพี่ก็ย้อนว่านี่มันหมากพม่าเคี้ยวแล้วนำ้หมากมันต้องถ่ม ไม่ใช่หมากฝรั่งที่กลืนนำ้ลายลงไป เออออออ... ถูกของเมิง
สาม ถ้ามีแฟน/สามีคงไม่ได้กินRack of Lamb ซี่โครงลูกแกะย่าง กับไวน์แดงรสเริ่ดพร้อมรูมเซอร์วิสราคาหกสิบเหรียญ เพราะมันคงบ่นว่าแพง กุกินเอง จ่ายเอง จนเอง จบปะ
มิง กาลาบา เมียนม่า
— at Sedona Hotel at Mandalay.เกือบสองทุ่มกลับมาถึงโรงแรม หิวซ่ก จัดซี่โครงลูกแกะฝีมือเชฟเดวิดที่ว่าดังนักหนา กลั้วคอด้วยไวน์แดงอีกแก้ว กินไปนั่งพิมพ์ไปมีความสุขมั่กมั่กเคอะ วันนี้ได้ข้อคิดอะไร อืมมมมมม....
หนึ่ง มาเที่ยวพม่าควรใส่อีแตะ ทุกวัด ทุกเจดีย์ ทุกวัง เขาให้ถอดรองเท้าหมด หากเที่ยววัดหลายๆวัดแล้วใช้รองเท้าที่ใส่ยากถอดยาก ใส่ๆถอดๆ พอดีบ้าตาย
สอง ถ้าริจะเป็นสก๊อยให้ใส่เสื้อสีเข้มๆและเลือกหม่องแว๊นที่มีหมวกกันน็อคแบบ มีหน้ากากให้คุณใส่ โดนเองเต็มๆวันนี้ ใส่เสื้อสาวจี๋สีขาวมอยตัวเก่ง ได้หมอกกันน็อคที่คลุมแต่หัว พอหมดวันเสื้อมีแต่รอยนำ้หมาก หน้าเป็นจุดแดงๆกระจัดกระจายก็นำ้หมากเหมือนกัน ก้มดูตีนตัวเอง อัยยะ ยิ่งหนักใหญ่ พอบอกหม่องแว๊นพี่ก็ย้อนว่านี่มันหมากพม่าเคี้ยวแล้วนำ้หมากมันต้องถ่ม ไม่ใช่หมากฝรั่งที่กลืนนำ้ลายลงไป เออออออ... ถูกของเมิง
สาม ถ้ามีแฟน/สามีคงไม่ได้กินRack of Lamb ซี่โครงลูกแกะย่าง กับไวน์แดงรสเริ่ดพร้อมรูมเซอร์วิสราคาหกสิบเหรียญ เพราะมันคงบ่นว่าแพง กุกินเอง จ่ายเอง จนเอง จบปะ
มิง กาลาบา เมียนม่า
...............................................................................................................................
May 29th
นั่ง
บรรเลงอาหารเช้าของเซโดน่า ลองหลายอย่างเพราะอยากสัมผัสคุณภาพ
ได้บทสรุปว่าเทียบไม่ได้กับอาหารเช้าของโรงแรมห้าดาวในไทย
ชาติไทยคงเป็นชาติเดียวในโลกที่มีห้องโรงแรมสวยที่สุด
อาหารอลังการงานสร้างที่สุด บริการประทับใจที่สุด
วันนี้เลือกใส่เสื้อผ้าที่สะอาดที่สุด (เหม็นน้อยที่สุด)
การเดินทางจะเริ่มต้นในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า กว่าจะถึงที่หมายคงจะเลยคำ่
เป้เก่าๆ คนแก่ๆ กับใจหนึ่งดวงที่ไม่เคยยอมแพ้ พร้อมแล้วคร้าบบบบผม — eating breakfast at Cafe Mandalay, Sedona Hotel.
............................................................................................................................
29th May
ใช้ เวลาค่อนชั่วโมงในตู้อบเคลื่อนที่ฟรีของแอร์เอเชียร์จากดาวน์ทาวน์มัณฑะเลย์ ถึงสนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ สนามบินตั้งอยู่กลางทุ่งและป่าหนาม ดูอ้างว้างและแห้งแล้งเป็นที่สุด นึกไปถึงสนามบินอาดีส อาบาบา เอธิโอเปียที่ไปใช้บริการหลายปีก่อนไม่ได้ มันคล้าย คลึงกันเหลือเกิน และมันชั่งต่างกันยังกับฟ้ากันเหวระหว่างสนามเหล่านี้กับสนามบินหรูๆอย่าง สนามบินดูไบ ต่อแถวสแกนกระเป๋าเหงื่อเม็ดโป้งเริ่มผุด อย่าว่าแต่แอร์เลยพัดลมยังใช้กันแค่สองตัวอยู่ไกลนู่นนนนน... แบกเป้มาถึงตม.ยื่นพาสปอร์ตให้หม่องแกทำหน้ามึนๆตามแบบพม่า ในหัวเราก็จินตนาการไปตามหนังเรื่อง The Terminal ตม.หม่องหน้ามึนมองเราด้วยสายตาอันเย็นชาแล้วบอกเราว่า มีสเราขอโทษด้วยที่ไม่สามารถให้มีสออกนอกประเทศเราได้เพราะประเทศไทยที่มีส จะไปไม่มีอีกแล้ว ประเทศไทบได้ยุบตัวเองลงเพราะปัญหาทางการเมือง Thailand is no longer exist!!! และมีสก็ไม่สามารถออกนอกสนามบินแห่งนี้ได้เพราะพาสปอร์ตเล่มนี้ก็ถือเป็นโมฆะ Miss Miss are you ok???!!! ตกใจตื่นจากภวังค์ อะนี่กุจินตนาการไปเองล้วนๆนี่ หม่องตม.มองหน้าฉันงงแล้วเอ่ยว่า Have a good trip back home Miss....
................................................................................................................................
29th May
ผู้ลี้ภัยระหว่างรอส่งตัวไปประเทศที่สาม ณ.สนามบินแห่งหนึ่ง — feeling refugee.
.............................................................................................................................
.............................................................................................................................
The Highlight
.......................................................................................................................................................
No comments:
Post a Comment