Tuesday, April 14, 2015

Penang Malaysia Street Arts & Street Foods. March 2015


    สืบเนื่องมาจากกลางปีก่อนทนราคาตั๋วโปรไปกลับทั้งสี่ขาศิริรวมสองพันหนึ่ง กับหกสิบไม่ได้จึงได้สอยมาครอบครองไว้จนเกือบลืม ค่าตั๋วตัดจากบัตรเครดิตไปตั้งนมนานละ ค่าอยู่ค่ากินคงไม่หนักหนาสาหัสเท่าไหร่ จองห้องผ่านอาโกคืนแรกที่หาดใหญ่ อีกสามคืนจองไว้ฝั่งมาเลย์ผ่านอาโกเหมือนเคยพร้อมกับสะสมแต้ม คืนที่สี่กะว่าจะมาวอร์คอินที่หาดใหญ่ก่อนกลับเพราะเช็คราคาได้ความว่าถูก กว่าจองผ่านอาโก
    ตื่นแต่เช้า แอบตื่นเต้นนิดๆรู้สึกเหมือนสมัยยังทำงานสังกัดบริษัทแล้วได้พักร้อนปีละสี่ สัปดาห์ วางแผนไว้ว่าทริปนี้จะไม่อะไรมากมาย จะกินให้หนำใจ จะไปชมศิลปะบนกำแพง จะนอนตื่นสาย จะถ่ายรูป...
    แว้นมอไซค์ไปจอดไว้ที่สนามบินประหยัดค่าแทกซี่อีกหลายร้อยบาท ดีใจที่ประหยัดได้แต่ลืมตัวไปนั่งกินกาแฟร้านดอยตุงหมดไปแปดสิบ เฮ่ย ถึงดอนเมืองดันหิวอีกและแทนที่จะเดินไปกินที่ศูนย์อาหารดั้นนนนอยากกินว้อป เปอร์ของเบอร์เกอร์คิง หมดไปอีกสองร้อยสิบห้า แม่เจ้า! เบอร์เกอร์อันเดียวนี่นะตั้งเจ็ดเหรียญ แพงกว่าเมืองนอกอีกนะเมิง ชั่งมันถือว่าฉลองฮอลิเดย์
    บ่ายสี่ถึงสนามบินหาดใหญ่ ทำการบ้านมาดี อ่านเจอในพันทิปว่าให้เดินออกมาหน้าสนามบินมีรถสองแถวเข้าเมืองคนละยี่สิบ บาท ฝ่าแสงแดดกับอุณหภูมิสามสิบหกองศาหาจนเจอสองแถวสีฟ้าอยู่ตรงสุดลานจอดรถ คนยี่สิบคนนั่งเบียดกันจนปลากระป๋องเรียกพี่ระยะทางสิบกิโลก็ถึงหน้าตลาด กิมหยง ลงจากรถเดินไปหาคนขับยื่นเหรียญสิบสองเหรียญให้ หนุ่มเรียกตามเสียงหลง "สามสิบบาทครับพี่" นึกในใจ กูว่าแล้วเหมือนที่เขาโพสลงพันทิป กูหน้าตาไม่ใช่คนแถวนี้จ่ายเพิ่มซะดีๆสิบบาท ควักเหรียญห้าสองเหรียญให้คนขับไป ชิว ชิว รถฟ้า รถแดง ใต้ เหนือ วัฒนธรรมรถสองแถวนี่มันไม่เคยลบเลือนเลยจริงๆ ให้ตายสิโรบิ้นนน..
    เดินย้อนกลับไปโรงแรมวีแอลตามที่ลายแทงบอกไว้และข้ามถนนไปตามหาธนาคารธนชาติ เพื่อที่จะได้เจอบริษัททัวร์เคเอสทีที่ให้บริการรถตู้ข้ามไปจอร์จทาวน์ปีนัง เดินจนเหงื่อซก อยากถอดเต่วยีนส์ขายาวที่นุ่งมาพาดบ่า คิดถึงเต่วสะดอ เป้บนหลังก็รู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆทั้งๆที่บรรจุมาไม่ไม่เกินเจ็ดโล หยุดถามเจ้าถิ่นสองสามครั้งในที่สุดก็หาเจอ คุยถูกคอเจ้เจ้าของทัวร์ลดให้ห้าสิบบาท รถตู้สองขา ขาละสี่ร้อยคิดให้เจ็ดร้อยห้าสิบแถมพรุ่งนี้เช้าไปรับถึงหน้าปากซอยที่พัก ขากลับก็รับจากที่พักส่งถึงที่พักอีกฝั่งหนึ่ง เจ้ถามเบอร์โทรศัพท์ติดต่อเผื่อกรณีฉุกเฉิน บอกแกไปว่าไม่มีเบอร์โทรมีแต่โทรศัพท์ เฮ่ยยยย เจ้ทำหน้างง ต้องอธิบายให้ฟังว่าโอนเบอร์โทรทิ้งไว้ที่ทำงานให้น้องที่ทำงานแทนใช้สำหรับ ติดต่องาน ตัวเองก็เลยไม่มีเบอร์โทร เห็นหน้าเจ้ยิ่งยุ่งไปกว่าเดิมก็เลยหยุดอธิบาย แกถามว่ามีไลน์มั้ย ตอบแกว่ามีแกก็เลยสรุปรวมให้ว่างั้นติดต่อกันทางไลน์ละกัน ก่อนจากกันแกยังหันมาถามอีกว่าไหงไม่มีเบอร์โทรแต่ไลน์ได้ อืมมมม.. เดี๋ยวจะส่งพนักงานเอไอเอสมาอธิบายเรื่องเบอร์เดียวสองซิมให้เจ้ฟังนะ
เดินย้อนกลับมาผ่านตลาดกิมหยงเพื่อที่จะทะลุออกไปที่พัก ผลไม้สดๆลูกโตๆ จำพวก องุ่น แอปเปิ้ล พลัม พีช สาลี่ มะยงชิด สวยฉ่ำกว่าตลาดเชียงรายมากมาย แต่ราคาก็แพงจับใจ ขนม ของกินเล่น อาหาร เต็มตลาดไปหมดแต่ยังไม่เจออะไรที่เชียงรายไม่มี แวะคุยกับแม่ค้าแว่นตาริมทาง แม่ค้าคุยสนุกก็เลยอุดหนุนมาหนึ่งอัน แม่ค้าแซวว่าจะเอาแว่นไปคืนถิ่นรึ คนหาดใหญ่พูดสั้นๆ ห้วนๆ แต่ใจดี อาหารการกินก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย ระหว่างเดินหาที่พักที่จองไว้แวะกินมะม่วงปั่นแถวตลาดกิมหยง มะม่วงลูกโตหนึ่งลูกปั่นขายในราคา30บาท อิ่ม อร่อย สดชื่นเป็นที่สุด
    เดินหาที่พักจนเจอ ได้ห้องพักอยู่บนชั้นสองของตึกคูหาเล็กๆ ตกแต่งเก๋ไก๋ แอร์ นำ้อุ่น อินเตอร์เน็ต เคเบิ้ลทีวี อุปกรณ์ในห้องนำ้ครบครัน แถมนำ้ดื่มสองขวดกับกาแฟอีกสองชุด ราคาก็เก๋ไม่แพ้ห้อง โชคดีจุงเบย
    ออกไปเดินเล่นถ่ายรูปมั่ง โน่น นี่ นั่น เดินหาของกินตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนน ยากมากกกก ไม่ใช่ไม่มีที่กินแต่มีเยอะเกินไป เยอะจนตาลายเลือกไม่ถูก สวรรค์ของคนชอบกินชัดๆ โน่นก็น่ากิน นี่ก็น่าลอง นู้นก็น่าชิม นั่นก็ยั่วน้ำลายอีก สรุปละไปนั่งกินเย็นตาโฟเส้นหมี่ใส่มะระยัดใส้หมูสับ มันเป็นเย็นตาโฟที่บรรเจิดที่สุดที่ได้เคยลิ้มลองมา มันไม่ได้ใส่ซอสสีชมพูแปร๊ดเหมือนที่เคยกิน แต่มันเป็นซอสสีแดงเข้มเหมือนซอสมะเขือเทศบวกกับซอสพริก เส้นหมี่เหลืองลวกพอกรึบๆ ปลาหมึกเคี้ยวทีดังกรุ้บ เลือดก้อนพอดีๆ ลูกชิ้นไม่เหม็นคาว ผักบุ้งเน้นก้าน มะระยัดใส้ที่สั่งเพิ่มพิเศษออกรสขมอ่อนๆ กินไปก็บ่นตัวเองไปว่าทำไมใช้ชีวิตไปถึงสี่สิบปีโดยที่ไม่กินมะระ อร่อยแบบนี้น่าจะกินมาตั้งนานละนี่พึ่งจะมาเริ่มกินได้ไม่กี่วัน เสียดายเวลานะนั่น จ่ายค่าเสียหายมื้อนี้ไปห้าสิบบาท น้ำดื่มฟรี ระหว่างเดินกลับที่พัก ตบท้ายวันแห่งการเดินทางด้วยขนมหม้อแกงริมทางที่ให้คะแนนไปแค่ห้าจากเต็มสิบ ไม่แน่ใจว่าขนมไม่อร่อยโดนใจหรืออิ่มเกินไป
    เตียงกว้าง หมอนสี่ใบ สุวรรณีน้อยนอนหลับสร้างฝัน ฝันถึงโลกใบใหญ่ที่จะพยายามย่อมันให้เล็ก สืบเสาะ ค้นหา เยี่ยมเยือน ฝันมันไม่ได้ไกลเกินเอื้อม ยื่นมืออีกนิด เขย่งเท้าอีกหน่อย อื้มมมม... ถึงแระ


   ตื่นแต่เช้าแต่นอนแช่บนเตียงดูข่าวสรยุทธ์แบบชิว ชิว ไม่ได้เร่งรีบอะไรเพราะกว่ารถตู้ข้ามไปปีนังจะมารับก็เก้าโมงเช้า ดูข่าวไปจิบกาแฟของสมนาคุณจากที่พักไป มีความสุขชะมัด ไม่ต้องเร่งรีบอะไร ไม่ต้องวางแผนอะไร อาบนำ้อาบท่าเสร็จเดินออกมาปากซอยแวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งติดกระเป๋าไว้ เผื่อหิว แว้ปเข้าเซเว่นซื้อยาดมกับยาหม่องแถมทิชชู่แบบเปียกอีกห่อใหญ่กันไว้ อันนี้เป็นบทเรียนจากทริปพม่าคราวก่อน เก้าโมงกว่าๆรถตู้ที่จองไว้ก็มารับ รถตู้สภาพดีคนขับน่ารักจองกับบริษัทเคเอสที อันนี้โฆษณาให้ฟรีๆเลย นั่งคู่กับคนขับเม้ามอยกันมาตลอดทาง แถมยังชวนเข้าป่าตั้งแต่เข้าเขตมาเลย์ แฮ่... ขับเข้าป่าเลี่ยงด่านตรวจ เพราะรถไทยไม่ได้รับอนุญาติให้วิ่งฝั่งมาเลย์ มีตื่นเต้นนิดๆที่เห็นถนนแคบลงๆ แต่ไม่นานเท่าไหร่พอพ้นด่านก็กลับมาวิ่งบนไฮเวย์เหมือนเดิม งานนี้มีใต้โต๊ะเหมือนตอนวิ่งรถตู้ไปเชียงตุง เมิงลา หลายปีก่อน มันเป็นวัฒนธรรมอ่ะนะ
    ถึงด่านใช้เวลาทำเรื่องออก-เข้าประเทศแป๊บเดียวสบายๆ ฝั่งมาเลย์ไม่ต้องใช้แบบฟอร์มอะไร แค่สแกนนิ้วก็เรียบร้อย บนสะพานข้ามไปเกาะปีนังรถติดอยู่นานเหตุเพราะรถสิบล้อยางแตกอยู่ปลายสะพาน เข้ามาถึงในเมืองรถทยอยส่งผู้โดยสารตามสถานที่ต่างๆ คนขับใจดีส่งฉันถึงหน้าที่พัก ห้องที่จองไว้อยู่ในทำเลที่แจ่มมาก ถึงแม้ห้องจะแคบมากถึงมากที่สุดและฝักบัวห้อยอยู่บนชักโครก อาบนำ้ไปก็นึกถึงสมัยที่นั่งรถไฟตู้นอน กทม. ชม. บรรยากาศอาบนำ้เหมือนกันเด๊ะ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ลำบากมั่งไรมั่งมันก็เป็นอีกหนึ่งรสชาติ ที่สำคัญคือเจ้าของที่พักอัธยาศัยดีมวาาากกกก... เอานำ้เย็นๆมาเลี้ยง เอาแผนที่มาอธิบาย มารู้ทีหลังว่าคุณลุงมีภรรยาเป็นคนไทย ได้คุยกับป้าแก แกบอกว่าถ้าไม่ติดเวียนหัวจะพาไปเที่ยว นั่นนนนน...
    ใช้เวลาสองสามชั่วโมงก่อนมืดเดินตามลายแทงสตรีทอาร์ต เป็นการเดินที่สนุกมากเหมือนแข่งแรลลี่ มีแผนที่กับรูปภาพอยู่ในมือและพยายามตามหาศิลปะเหล็กดัดกับภาพจิตรกรรมฝา ผนังเหล่านั้นให้เจอ เจอภาพแรกงี้แอบกรี๊ดคนเดียวเบาๆ มาถึงแล้วววว ได้เห็นแล้ววว ไอ่ที่ตั้งใจมาดู ดีใจจัง เดินหาจนเจอไปเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เดินจนทะลุไปถึงฝั่งชายทะเลเจ้ทตี้แล้วย้อนกลับมาแวะกินเบียร์ที่ผับดูดีมี ชาติตระกูลแถวเลิฟเลนที่อวดนักอวดหนาว่าเชฟมาจากฮอลแลนด์ ค่าเบียร์แก้วเล็กก็สมกับความดูดีมีชาติตระกูลของผับ แต่ยังไม่ได้ชิมฝีมือเชฟเพราะทริปนี้โฟกัสไปที่สตรีทฟู้ด
    กลับเข้าห้องพักมาชาร์ตแบตโทรศัพท์ชาร์ตแบตคน นั่งเม้ามอยกับเด็กหน้าฟร้อนท์จนเกือบสามทุ่มก็ออกไปหาอะไรกิน ด้วยความที่ไม่ค่อยกินมื้อเย็นจึงทำให้ไม่รู้สึกหิว แต่ความสงสัย ใคร่รู้ในเรื่องอาหารมันมีมากกว่าจึงตัดสินใจไปตามลายแทงที่คุณลุงเจ้าของ โรงแรมแนะนำไว้ เดินยังไม่ถึงศูนย์อาหารที่ถูกแนะนำก็เจอสี่แยกที่เต็มไปด้วยร้านอาหารล้อ เข็นเล็กๆ หมี่แห้ง หมี่นำ้ หอยทอด สะเต๊ะ และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่รู้จัก โอ!!! แม่เจ้า ว่าหาดใหญ่เมื่อคืนอลังฯละมาเจอที่นี่ สูสีนะเนี่ย ตั้งสติควบคุมอารมณ์ไม่ให้กระเจิงเกินไปแล้วคิดทบทวนว่าเมนูไหนนะที่ตั้งใจ มากิน อืมมม.. เอาไอ้นี่ก่อน Char Koay Teow ก๋วยเตี๋ยวผัด นางเอกของเมือง ตามด้วยFried Oyster อันนี้นางรอง. Char Koey Teow ใส่กุ้งตัวเล็กๆและหอยนางรมตัวจิ๋ว เคี้ยวแต่ละทีงี้หอมกลิ่นกะทะบวกกับกลิ่นเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของหอย นางรม มีถั่วงอกปนนิดๆ นั่งใกล้คนผัดจนได้ยินเสียงข้อพับแกกระทบกันตอนแกควงตะหลิว จานนี้จ่ายไป4ริงกิตบวกนำ้เปล่าอีก1.2ริงกิต กินเสร็จย้ายมุมนั่งขยับไปทางFried Oyster หอยนางรมทอดใส่แป้งหนืดๆและไข่ กินกับนำ้จิ้มเผ็ดๆ จานนี้แอบผิดหวังอยู่หน่อยๆเพราะนำ้มันค่อนข้างเยิ้ม หรืออาจจะเป็นเพราะเป็นอาหารประเภทผัดจานที่สองในเวลาไล่ๆกัน จ่ายไป8ริงกิตสำหรับหอยทอด อยากรู้ว่ากี่บาทก็คิดง่ายๆเอาสิบคูณเข้าไป ถ้ากลัวแพงก็ไม่ต้องคูณ เอาไว้คิดเล่นๆพอเคลิ้มๆว่า8บาทเอ้งงง..
     เดินลากสังขารกลับมาห้องพัก อืมมม อิ่มจนเดินไม่ไหวมันเป็นงี้นี่เอง แต่ใจก็ยังถวิลหาผลไม้ซักหน่อยอยู่นะ ร่างกายต้องการวิตามิน
    ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ พรุ่งนี้ไปตามล่าหาสตรีทฟู้ด สตรีทอาร์ต กันต่อครัชชชชช...

   วันนี้จัดว่าเป็นวันเดินแห่งชาติอีกหนึ่งวันในชีวิตก็ว่าได้ จัดไปเต็มๆห้าชั่วโมง ถามพี่มาเลยว่าแต่ละซอกแต่ละมุมของเมืองเป็นยังไง พี่คงจัดมาเกือบหมดแระ เริ่มต้นแบบสายๆหน่อยเพราะมัวแต่เอ็นจอยกาแฟทรีอินวันราคาหนึ่งจุดห้าริงกิต ของที่พัก มโนไปว่ากำลังซดกาแฟสดรสนุ่มพร้อมฟองนมที่เกาะอยู่บนริมฝีปากบน ทีวีไม่มีให้เสพก็ได้อาศัยจอโทรศัพท์ติดตามข่าวสารบ้านเมือง นึกสมนำ้หน้าตัวเองที่เขาทำโทรศัพท์จอใหญ่ออกมาขายแต่ดันไม่ซื้อหามาใช้ เดินตามรายแทงมาเรื่อยๆ ชื่นชมกับชิ้นงานบนผนังชิ้นแล้วชิ้นเล่าแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ เดินตากแดดหัวแดงลากอีแตะไปตามถนนเส้นโน้นเส้นนี้ สายตาก็คอยสอดส่ายหาชิ้นงาน บางชิ้นก็ไม่ได้หาเจอกันง่ายๆ หาๆดูตามระดับสายตาจนตาแทบเหล่และทนไม่ไหวจนเกือบจะยอมแพ้ พอหันหลังจะเดินกลับอะไรแว๊บๆ โน่นนนนนน... วาดไว้บนนู้นนนน จะติดหลังคาอยู่ละ บางทีก็มองๆหายังไงก็ไม่เจอจนอ่อนใจ บทจะเจอก็เจอ นั่นนนน เล็กกระติ๊ดแถมวาดซะเนียนเข้ากับสภาพแวดล้อม คนท้องถิ่นเขาก็น่ารักนะ ไม่แนะนำ ไม่ชี้ให้ดู ไม่อะไรทั้งนั้น เมิงอยากเจอเมิงเดินหากันเอาเอง แต่ก็นะ ความสนุก ความท้าทายมันก็อยู่ตรงนี้แหละ นั่งท่องเที่ยวเดินสวนกันควั่กไปมาแต่ละคนก็มุ่งมั่นที่จะตามหาลายแทงบน แผนที่ สรุปแล้วสิริรวมสองวันหาได้สิบสามภาพพร้อมกับตุ่มนำ้และแผลที่ขึ้นตามตีนจน พลาสเตอร์หนึ่งแพคเอาไม่อยู่ ก้มดูตีนตัวเองตกใจ อั่ยยะตีนมัมมี่... ไม่เป็นไรพี่อึด พรุ่งนี้ตามเก็บสองภาพที่เหลือ ศิลปะขดลวดไม่เน้น ไม่ครบไม่เป็นไร
     เดินผ่านหัวมุมที่ขึ้นชื่อว่ามีCendolที่อร่อยสุดยอดก็ลองจัดไปหนึ่งถ้วย ราคาสองริงกิตสี่สิบ อร่อยสมคำเล่าลือจริงๆ มื้อบ่ายแวะกินNoodle Curry อันนี้มันข้าวซอยบ้านพี่ชัดๆ สี่ริงกิต กินไม่หมดเพราะรสชาติมันไม่แปลกใหม่ แถเข้าไปเดินเล่นในตึกคอมต้าที่ได้ชื่อว่าเป็นห้างใหญ่ที่สุดของปีนังแต่ไม่ เห็นอะไรแปลกใหม่แต่มีH&Mนะเออ เดินต่อไปเรื่อยๆจนหมดแรงและอยู่ในช่วงที่แดดร้อนจัดสุดราวบ่ายสามนึกขึ้นมา ได้ว่าที่นี่มีรถเมล์ฟรีที่ชื่อว่าCAT พอนึกขึ้นได้ปุ๊บก็เจอป้ายปั๊บ รถเมล์ฟรีแอร์เย็นนั่งสบายแต่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องลงตรงไหน นั่งไปก็สอดสายตาไปก้มดูแผนที่ไปเห็นเป็นเลขๆ ไกล้ที่พักป้ายเลขแปด อ้าวแล้วจะรู้ได้ไงว่าไกล้จะถึงจะยังจะกดกริ่งลงตอนไหน??? อ๊ากกกก โชคช่วยมีคนลงป้ายแปด รีบลงตาม เดินสามนาทีถึงที่พัก
    พักผ่อนสองชั่วโมงแล้วออกไปเดินเที่ยวลิตเติ้ลอินเดีย ชอบโลกเราก็เพราะงี้แหละ ในหนึ่งเมืองก็จะมีไชน่าทาวน์ มีลิตเติ้ลอินเดีย มีเวนิส มีโทสคาน่า พอหลุดเข้ามาในลิตเติ้ลอินเดียก็เหมือนกับผ่านไทม์แมชชีนมาเมืองแขก ป้าคนโน้นก็แขก ลุงคนนี้ก็แขก เด็กนี่ก็แขก คนขายของก็แขก คนซื้อก็แขก คนถีบรถรับจ้างก็ยังเป็นแขกอีก วัดแขก ร้านแขก เปิดเพลงแขกกันลั่นถนน ได้ยินแล้วอยากสวมวิญญาณนางเอกหนังแขกวิ่งร้องเพลงข้ามดอย ลิตเติ้ลอินเดียที่นี่อลังฯมากกว่าของสิงคโปร์อีก ฟินสุดๆนึกไปถึงตอนแบกเป้ไปเที่ยวอินเดียใต้หลายๆปีก่อน ไหนๆก็ฟินจัดละเย็นนี้ก็เลยจัดอาหารอินเดียเป็นดินเนอร์ ไปด้อมๆมองๆหลายเจ้าละ ใจก็อยากจะกินที่เขาขายตามถนนแต่พอเห็นท่าทางพี่แขกคนขายแล้วก็เปลี่ยนใจ อากาศร้อนพี่แกยืนอยู่หน้าเตา เหงื่อไหลจากหัวลงหน้า ลงคาง ลงคอ ลงอก ลงจั๊กกะแร้ ลงแขน ลงหม้อ อื่มมมม.. ไปนั่งกินตามร้านให้เป็นเรื่องเป็นราวน่าจะดีกว่า ถึงแม้ว่าสภาพการทำอาหารในครัวมันอาจจะไม่แตกต่างจากทำอาหารบนถนนแต่อย่าง น้อยเราก็ไม่ต้องเห็น เลือกร้านที่พอใจและพอสื่อสารกันรู้เรื่อง สั่งแกงเผ็ดไก่ แกงปลาหมึก นานอีกหนึ่งแผ่น นำ้สับปะรดคั้นสดหนึ่งแก้ว รอแกงไม่กี่นาทีก็ได้แสดงว่าต้องแกงไว้หม้อใหญ่ นานรอนานสมชื่อแต่พอมาแล้วก็สมใจอยาก เสิร์ฟมาในจานหลุมเหมือนกับที่เคยใช้ในโรงเรียนสมัยประถม แขกชอบจานหลุมแบบนี้มากเวลาไปเที่ยวบ้านเราเห็นขนกลับประเทศกันคนละหลายโหล นานอุ่นๆฉีกจิ้มกับแกงเผ็ด ซ้อสถั่ว อร่อยเว่อร์ นั่งกินไปก็แอบดูแขกคุยกันไป ภาพแขกส่ายหัวดุ๊กดิ๊กดูน่ารัก แขกส่ายหัวเนี่ยเหมือนกับเราพยักหน้านะ มันแปลในเชิงบวกเช่น ใช่ ตกลง เอา ยอมรับ อะไรประมาณนี้ ค่าเสียหายมื้อนี้สิบห้าริงกิต ไม่รู้เหมือนกันว่าถูกหรือแพง รู้แต่ว่าอร่อย อิ่ม และตอนนี้ท้องร้องโครกครากเข้าห้องนำ้ไปสองรอบละ
     พรุ่งนี้อีกหนึ่งวันเต็มๆที่จอร์จทาวน์กับปฏิบัติการตามล่าหาสตรีทฟู้ดและสตรีทอาร์ตครัชชชช...




















No comments:

Post a Comment