Wednesday, September 13, 2023

The 50th

 At my 50th in Hanoi

 The pain doesn't go away, I just learn to live with it...  and its ok 



Saturday, April 29, 2023

Goodbye Amsterdam

April 17th 2023

    หลังจากที่นอนกระสับกระส่ายมาทั้งคืนก็ถึงเวลาบอกลาAmsterdam ตีห้ากว่าๆฉันลุกออกจากเตียงชั้นล่างของเตียงสองชั้นในห้องดอม เพื่อนร่วมห้องทั้งสามหนุ่มยังหลับไหลไม่ได้สติหลังจากที่กลับเข้ามาในห้องเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ Amsterdamเป็นเมืองปาร์ตี้นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ส่วนมากก็จะออกเที่ยวกลางคืนกันและใช้เวลาสั้นๆหนึ่งถึงสองคืนเพราะค่าครองชีพค่อนข้างสูง จัดการธุระส่วนตัวแบบเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ล้างหน้าแปรงฟันงดการอาบน้ำเพราะแอบเกรงว่าจะส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น กระเป๋าจัดไว้แล้วตั้งแต่คืนก่อน สำรวจทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ลากกระเป๋าออกจากห้องลงลิฟต์มาชั้นล่างเพื่อทำการเช็คเอ้าท์ ส่งคืนคีย์การ์ดพร้อมผ้าเช็ดตัวแล้วรับเงินมัดจำคืนจำนวนหนึ่งและไม่ลืมขอแลกเงินเหรียญมาด้วยเพื่อใช้สำหรับซื้อตั๋วรถไฟ
 
    Amsterdamช่วงเช้าตรู่เงียบสงบ ผู้คนเดินช้าๆมุ่งหน้าไปสถานีหลักAmsterdam Centraal ฉันเดินลากกระเป๋าไปเรื่อยๆไม่รีบร้อนเพราะเผื่อเวลาไว้เยอะพอสมควร แวะถ่ายรูปนั่นนี่แล้วยืนนิ่งๆอยู่ลานกว้างหน้าสถานี หลับตา ลืมตา หลับตา ลืมตา พยายามจดจำบรรยากาศและกลิ่นอายของเมืองนี้ไว้ให้ลึก.. สุดใจ เหรียญยูโรที่แลกมาได้ใช้ระโยชน์เหมือนกับที่คิดไว้จัดการซื้อตั๋วรถไฟชั้นสองจากAmsterdam Centraal ไป Schiphol Airport สแกนตั๋วเข้าไปข้างในสถานีมองหารถไฟขบวนที่ต้องขึ้น สถานีกว้างใหญ่แต่ด้วยความที่ยังเช้าและคนไม่เยอะก็หาได้ไม่ยากหลังจากที่ขึ้นบันไดเลื่อนมาชั้นบนและเดินตามทางแต่จู่ๆก็มีการเปลี่ยนชานชาลาสังเกตได้จากหลายคนเริ่มเปลี่ยนทิศทางเดิน สาวผิวเข้มนักเดินทางคงเห็นฉันเดินลากกระเป๋าเดินทางก็เลยตะโกนบอกว่าไปสนามบินเปลี่ยนเป็นชานชาลาโน่นนะ ฉันผงกหัวยิ้มให้แทนคำขอบคุณ ไม่กี่สิบนาทีรถไฟก็พาผู้โดยสารทั้งหมดมาถึงสนามบินก่อนจะพาผู้โดยสารที่เหลือไปต่อยังสถานีRotterdam
สนามบินSchipholก็เหมือนกับสนามบินใหญ่อื่นๆคือไม่เคยหลับไหล นักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันที่นี่อาจจะไม่ใช่จุดหมายปลายทาง อาจจะเป็นการเริ่มต้น หรืออาจจะเป็นเพียงแค่ทางผ่าน เค้าเตอร์เช็คอินน์ของสายการบินEmirateยังไม่เปิดก็เลยไปยืนดื่มกาแฟรอ กาแฟร้อนแก้วแรกของวันทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมากหลังจากเช็คอินน์และโหลดกระเป๋าที่หนักถึงยี่สิบสามกิโลกรัมเสร็จก็เดินตัวปลิวเข้าช่องimmigration ใช้พาสปอร์ตเนเธอร์แลนด์ในการเข้าออกEU สแกนพาสปอร์ต ถ่ายรูป เป็นอันจบพิธีการ อาหารเช้าง่ายๆประกอบไปด้วยครัวซองหนึ่งอันกับน้ำดื่มหนึ่งขวดตามด้วยยาไทรอยด์หนึ่งเม็ดเพื่อสกัดอาการไฮเปอร์แล้วเดินเตร่ไปร้านขายของ ได้นิตยสารมาสองสามเล่มกับน้ำหอมกลิ่นผู้ชายเอาไว้ใช้เองอีกหนึ่งขวด ว่าด้วยเรื่องของน้ำหอมกลิ่นนี้หามานานแล้วเพราะได้กลิ่นมาจากหนุ่มๆหลายคนแล้วรู้สึกว่าหอมน่าค้นหาดี พยายามหามาหลายทีแล้วแต่ไม่เคยเจอแต่พอจะเจอก็เจอแบบง่ายๆที่สนามบิน
 
    อยู่บนเครื่องหกเจ็ดชั่วโมงก็มาถึงดูไปเพื่อเปลี่ยนเครื่องและมีเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆก็เลยเดินเที่ยวดูสินค้าได้ถ้วยกาแฟเก๋ๆติดมาอีกหนึ่งใบ สนามบินดูไบกว้างมาก ร้านขายของก็เยอะและรับเงินหลากหลายสกุลไม่ต้องแลกให้ยุ่งยาก หกชั่วโมงต่อมาก็มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลาเจ็ดโมงเช้าของที่นี่ เดินทางมาค่อนโลกไม่มีปัญหาเรื่องimmigration มามีปัญหาที่บ้านเกิดเมืองนอนเพราะเครื่องอัตโนมัติไม่ทำงานกับพาสปอร์ตไทยเล่มใหม่ที่พึ่งทำมาไม่กี่เดือนก่อนแต่ขาออกไม่ยักกะมีปัญหา เดินไปต่อแถวเข้ากับเจ้าหน้าที่ พิมพ์นิ้วมือนั่นนี่นั่นกว่าจะออกมาได้ก็ใช้เวลาพอสมควร รับกระเป๋าแบบโล่งอกเพราะแอบกลัวว่าจะชำรุดเสียหายหรือโดนเปิดเพราะโหลดแทปเล็ตไว้ในนั้นหนึ่งเครื่องเพราะแบกไม่ไหวเอามาด้วยหลายเครื่อง ลากกระเป๋าขึ้นไปชั้นสี่เช็คอินน์กับThai Smileเพื่อไปเชียงราย พนักงานน่ารักไม่ว่าอะไรสักคำเรื่องน้ำหนักกระเป๋าเกิน เข้าไปด้านในแล้วตรงไปร้านBootsซื้อแปรงสีฟันยาสีฟันกับน้ำหนึ่งขวดไปหลบมุมทำความสะอาดตัวเองในห้องน้ำแต่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะลืมกระเป๋าแป้งไว้ในกระเป๋าเดินทาง พอสดชื่นขึ้นบ้างก็เดินยืดเส้นยืดสาย เห็นร้านนสะดวกซื้อมีมาม่าคัพต้มยำกุ้งขายพร้อมบริการน้ำร้อนสนนราคา16บาท แอบตกใจและดีใจว่าราคานี้ยังมีอยู่ในโลกของสนามบิน มาม่าต้มยำทำให้ฉันรู้สึกว่า ถึง เมืองไทยแล้วจริงๆ นั่งสัปหงกรอไฟลท์ไปเชียงรายอีกสามสี่ชั่วโมงก็ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง หนึ่งชั่วโมงนิดๆบนเครื่องบินกับอีกยี่สิบนาทีGrabฉันก็กลับมาถึง “บ้าน” มีไอ่หูยาวรอยู่แล้ว มันม้วนตัวนอนหงายหลังทำท่าตลกๆเมื่อเห็นฉันพร้อมกับทำเสียงอ้อนๆร้องไห้น้ำตาซึม น้องเสีอดำนอนอยู่ใต้รถแอบมองฉันแบบกล้าๆกลัวๆก่อนจะเดินออกมาหาทำตาวาวๆก่อนจะเลียมือฉัน
 
     เรื่องราวของการเดินทางครั้งนี้ได้จบลง แต่เป็นการจบลงเพื่อจะเริ่มต้นใหม่ โครงการย้ายประเทศยังคงอยู่ ทีละนิด ละนิด.
 






 

Wednesday, April 19, 2023

Amsterdam

 

Amsterdam Day 2
 
    เช้าวันใหม่ของเมืองAmsterdamปกคลุมไปด้วยเมฆฝนสีเทาตัดกับตึกสีน้ำตาลบ้างขาวบ้างและสีน้ำเงินบ้างทำให้บรรยากาศดูน่าค้นหา ฉันตื่นมานั่งเขียนบันทึกอย่างเงียบๆตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงสายเพราะหนุ่มๆเพื่อนร่วมห้องทั้ง4คนยังคงสลบไสลไปด้วยฤทธิ์ของปาร์ตี้เมื่อคืน แง้มผ้าม่านหน้าต่างออกนิดหน่อยพอให้แสงสว่างลอดเข้ามาได้และมองออกไปข้างนอกได้ ที่พักเป็นโฮสเทลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและสถานีหลักของAmsterdam มองออกไปด้านล่างเห็นรางรถTramและร้านรวงต่างๆสำหรับนักท่องเที่ยว สายๆเพื่อนร่วมห้องเริ่มตื่นก็พอดีกับที่ฉันเขียนบันทึกจบลง เราคุยกันนิดหน่อยก่อนที่จะบอกลากันไป พวกเขาขับรถกลับประเทศอังกฤษส่วนฉันย้ายที่พักไปอีกที่หนึ่งไม่ไกลจากที่เดิมมากนักและสะดวกกว่าสำหรับการเดินทางไปสนามบินวันพรุ่งนี้ 
 
    จัดการขนย้ายสัมภาระเข้าที่พักใหม่ซึ่งก็เป็นโฮสเทลเหมือนกันแต่อยู่ในตึกที่มีลิฟท์ทำให้การขนย้ายกระเป๋าเป็นไปได้ง่ายกว่ามากและราคาที่พักก็ถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง จะว่าไปแล้วฉันเลิกคิดถึงเรื่องจำนวนเงินไปแล้วเพราะคิดอยู่ว่าไม่ได้มาเนเธอร์แลนด์ทุกวันและในเมื่อฉันอยู่ที่นี่วันนี้ฉันจะอยู่จะกินตามที่ใจปรารถนา ไม่มีอะไรมาปิดกั้นและหยุดยั้งได้ เงินที่ฉันหามาด้วยความเหนื่อยยากมันจะถูกใช้ให้สนองความต้องการของฉันเอง หลังจากอาหารเช้าง่ายๆก็เดินลัดเลาะไปตามถนนจนใกล้จะถึงคลองริมสถานีรถไฟเห็นมีทัวร์นั่งเรือชมคลองกำลังจะออกจากท่าก็เลยรีบไปซื้อตั๋วและได้ขึ้นเรือทันเวลาเป็นคนสุดท้ายพอดี Canal Tours เป็นอีกทัวร์ที่ขึ้นชื่อของเมืองAmsterdam เพราะที่นี่มีคลองเยอะแยะไปหมดและมีผู้คนอาศัยอยู่บนเรือในคลองเป็นเหมือนบ้าน คนขับเรือถามว่าฉันสะดวกจะฟังคำอธิบายเป็นภาษาไหนทำให้ฉันเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าตัวเองฟังพูดอ่านเขียนภาษาดัชท์ได้และใช้ชีวิตเกือบสองสัปดาห์ด้วยภาษาดัชท์ บางครั้งก็มัวแต่ปล่อยชีวิตไปตามวิถีจนลืมไปเสียสนิทถึงเรื่องราวพื้นฐาน
 
     Canal Tours พาฉันล่องคลองไปเรื่อยๆพร้อมเรื่องราวของAmsterdamและชีวิตริมน้ำ ในอดีตเจ้าของบ้านจะจ่ายภาษีตามขนาดของความกว้างของบ้านเพราะฉะนั้นจะเห็นบ้านหลายหลังมีหน้าแคบๆไม่ถึงสองเมตรแต่สูงหลายๆชั้นแทรกตัวติดกับบ้านที่มีขนาดกว้างกว่า บ้านหลังนั้นเป็นที่อยู่ของผู้ว่าเมือง ตึกนั้นเป็นโรงโอเปร่า โน่นเป็นโบสถ์เก่า หนึ่งชั่วโมงกับค่าตั๋ว13ยูโรรู้สึกสมเหตุสมผล ครั้งหนึ่งนานมาแล้วยี่สิบปีก่อนฉันเคยเชิญพี่สาวคนโตมาเที่ยวเนเธอร์แลนด์และก็ได้พาเขามาขึ้นเรือชมคลองที่นี่เหมือนกัน เวลาผ่านไปเร็วและผ่านไปเรื่อยๆ
 
     ขึ้นจากเรือก็เดินต่อไปเรื่อยๆแวะร้านนั้นร้านนี้ได้เสื้อยืดตัวโคร่งเอามาไว้ใส่ปั่นจักรยานหนึ่งตัว อยากซื้อนั่นนี่แต่เกรงว่าจะหอบไม่ไหวเพราะตอนนี้กระเป๋าก็หนังอึ้งแล้ว เดินเข้าไปในห้างHEMAสั่งชาร้อนหนึ่งแก้วกับApple flap หรือพายแอปเปิลหนึ่งชิ้นมานั่งกินรำลึกถึงความหลังสมัยที่ใช้ชีวิตอยู่แถบBrabant ทุกวันศุกร์หลังเลิกงานจะขับรถเข้าไปในเมืองเพื่อซื้ออาหารไว้ให้พอกินตลอดสัปดาห์ พอซื้อของเสร็จก็จะไปนั่งที่คอฟฟี่ช็อปของห้างHEMAสั่งชาร้อนกับApple flap ศุกร์แล้วศุกร์เล่ายาวนานถึงเจ็ดแปดปี วันนี้ฉันกลับมาอีกครั้งมานั่งจิบชาร้อนช้าๆ กัดพายคำเล็กๆ หลับตาลงแล้วนึกถึงอตีตวันคืนที่ผ่านไปของฉันในเนเธอร์แลนด์
 
      ช่วงค่ำๆออกไปเดินเล่นอีกครั้ง เดินไปถึงไชน่าทาวน์แวะร้านอาหารจีนสั่งบะหมี่น้ำเป็ดย่างมาทานพร้อมกับcassisหนึ่งขวด cassisคือแฟนต้ายี่ห้อหนึ่งมีสีออกม่วงๆเหมือนน้ำองุ่น เมื่อก่อนตอนอยู่ที่นี่ดื่มบ่อยมากแต่ไม่เห็นมีขายในเมืองไทย บะหมี่เน้ำเป็ดย่างร้านเดิมกับที่เคยกินเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว รสชาติก็ยังเหมือนเดิมคือไม่ว่าจะปรุงยังไง ใส่พริกใส่ซ้อสอะไรก็ไม่มีทางอร่อยขึ้นมาได้ แต่ก็นั่งกินจนหมดชามเพื่อระลึกถึงอดีต เดินข้ามถนนมาอีกไม่กี่มากน้อยก็มาถึงred light district แหล่งทำมาหากินของหญิงบริการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เขาจะเช่าห้องเล็กๆลักษณะเหมือนตู้กระจกแล้วตกแต่งด้วยไฟสีแดงสวย ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นยืนให้ลูกค้าเลือกซื้อบริการอยู่ในตู้ วันนี้ดูจะเงียบเหงากว่าเมื่อก่อนมากเพราะหลายๆห้องมากกว่า50เปอร์เซ็นต์ติดป้ายให้เช่า นอกจากจะมีหญิงขายบริการแล้วก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เซ็กส์ พิพิธภัณฑ์โสเภณี ร้านขายเซ็กส์ทอยและเครื่องมือเครื่องเล่นบำบัดอารมณ์หลายรูปแบบ 
 
     เดินหลายชั่วโมงจนรู้สึกเมื่อยก็เลยหยุดพักที่คาเฟ่ริมทาง นั่งข้างนอกแต่ไม่หนาวเพราะมีฮีตเตอร์ให้ สั่งเบียร์ขาวของโรงเบียร์อัมสเตอร์ดัมมาชิมได้รสชาติก็คล้ายๆกับเบียร์ขาวของเบลเยี่ยมอย่างhoegaardenแต่เปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์คงจะแรงกว่าเพราะพอดื่มหมดแก้วก็รู้สึกตึงๆหน้า พอหายเมื่อยออกเดินต่อข้ามสะพานใหญ่น้อยหยุดมองคลองบ้างผู้คนบ้างก่อนจะเดินกลับโฮสเทลก็แวะสั่งลาจัตุรัสดามและอีกหลายๆสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองAmsterdam 
 
        แค่แวะมาเยี่ยมเยียน ไม่ได้อยากจะครอบครอง
 
















 
 

Amsterdam

 

Amsterdam here I come …
 
     บอกลาเมืองEindhovenหลังจากที่ทานอาหารเช้ากับเจ้าของสถานที่เรียบร้อยแล้ว การร่ำลาไม่ใช่สิ่งที่โปรดปรานแต่ก็ต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ จนกว่าโลกเหวี่ยงให้เรามาเจอกันอีก หรือเหวี่ยงให้เราแยกย้ายจากกันไปชั่วชีวิต คุณสิงโต
เดินเข้าไปต่อคิวซื้อตั๋วรถไฟจากเคาน์เตอร์เพราะต้องจ่ายเป็นเงินสดด้วยเหตุผลที่ว่าเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติไม่ยอมอ่านบัตรธนาคารไทยที่ใช้อยู่ไม่ว่าจะเป็นบัตรvisaหรือmaster กำลังจะถึงคิวอยู่แล้วมีคนแก่เดินงกๆเงิ่นๆเข้ามาขอแซงคิวแค่จะถามพนักงานขายตั๋วว่าเห็นแว่นตาที่อาจจะลืมไว้ตอนมาซื้อตั๋วเมื่อกี้นี้ไหม ฉันสงสารคนแก่และไม่ได้รีบร้อนอะไรก็เลยพนักหน้าให้แซงคิว จู่ๆหนุ่มที่ยืนข้างหลังก็ตะโกนขึ้นมาโหวกเหวกไม่พอใจ เขาเอื้อมมือมาแต่ไหล่คนแก่แล้วพูดเสียงดังว่าเขารอตั้งนานแล้วมาทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง ทุกคนในเงียบกริบ ฉันเองได้แต่ยืนถอนหายใจ
 
     ค่าโตยสาร22.70ยูโรพาฉันเดินทางจากเมืองEindhoven ผ่านเมือง's-Hertogenbosch เมืองUtrecht เมืองAmstel มาถึงสถานีที่หมาย สถานีสุดท้ายของขบวนรถไฟ สถานีAmsterdam Centraal เดินลากกระเป๋าใบใหญ่น้ำหนักมากข้ามถนนลัดเลาะมาเรื่อยๆ เข้าซอยเล็กซอยน้อยมาไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงโฮสเทลที่จองไว้ ที่พักในเมืองAmsterdamแพงมากที่สุดตั้งแต่เคยเจอจากประสบการณ์เดินทางชั่วชีวิต45ประเทศ ลากกระเป๋าขึ้นชั้น4ไม่มีลิฟต์เพราะเป็นตึกเก่าแก่มาถึงห้องรวม6เตียงมีห้องอาบน้ำและห้องสุขาในตัวฉันจ่ายไปถึง5,228บาท เพื่อนร่วมห้องเป็นกลุ่มหนุ่มๆจากอังกฤษถึง4คน หนุ่มๆบอกว่าไม่ต้องห่วงพวกเขาจะออกเที่ยวกันตั้งแต่บ่ายแล้วกลับมาราวๆเที่ยงคืนตีหนึ่งให้ใช้ห้องได้ตามสบาย แต่ตอนกลับมาอาจจะหัวเราะเสียงดังบ้างเพราะจะไปสูบกัญชาและดื่มกัน
 
      กระเป๋าตัง สมบัติมีค่า กล้องถ่ายรูป ถูกยัดใส่กระเป๋าcross body ใส่เสื้อกันหนาวทับอีกทีเพื่อความมั่นใจ เมืองใหญ่ไม่ปลอดภัยเหมือนเมืองเล็ก เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆชมความเป็นAmsterdam คลอง จักรยาน บ้านAnne Frank โบสถ์ จัตุรัสดาม มาดามทุชโซ พอเหนื่อยก็แวะซื้อมันฝรั่งทอดกับเครื่องดื่มมานั่งกินตามม้านั่งริมคลอง หายเหนื่อยก็เดินต่อไปเรื่อยๆจนพอใจแล้วก็แวะกดเงินจากตู้ATM บัตรธนาคารม่วงของไทยกดเงินที่นี่เสียค่าธรรมเนียม100บาทก็ถือว่าสมเหตุสมผล 
 
     Amsterdamไม่ได้เปลี่ยนไปมากสักเท่าไหร่เปรียบเทียบกับครั้งสุดท้ายที่มาเมื่อ13ปีก่อน กลิ่นของเมืองยังเป็นกลิ่นเดิมคือกลิ่นของกัญชาที่โชยมาตามลมเป็นระยะๆ เสียงของเมืองยังเป็นเสียงเสียดสีของล้อรถTramกับราง ค่ำคืนในAmsterdamมีลมหนาวที่บาดลึกลงไปในผิวจนคันๆชา กลุ่มคนหนุ่มสาวเดินล้วงกระเป๋าส่งเสียงโหวกเหวกเป็นระยะๆตามระดับของแอลกอฮอล์ในร่างกาย แสงสีอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้Amsterdamเป็นAmsterdam 






























🌷