April 17th 2023
หลังจากที่นอนกระสับกระส่ายมาทั้งคืนก็ถึงเวลาบอกลาAmsterdam ตีห้ากว่าๆฉันลุกออกจากเตียงชั้นล่างของเตียงสองชั้นในห้องดอม เพื่อนร่วมห้องทั้งสามหนุ่มยังหลับไหลไม่ได้สติหลังจากที่กลับเข้ามาในห้องเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ Amsterdamเป็นเมืองปาร์ตี้นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ส่วนมากก็จะออกเที่ยวกลางคืนกันและใช้เวลาสั้นๆหนึ่งถึงสองคืนเพราะค่าครองชีพค่อนข้างสูง จัดการธุระส่วนตัวแบบเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ล้างหน้าแปรงฟันงดการอาบน้ำเพราะแอบเกรงว่าจะส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น กระเป๋าจัดไว้แล้วตั้งแต่คืนก่อน สำรวจทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ลากกระเป๋าออกจากห้องลงลิฟต์มาชั้นล่างเพื่อทำการเช็คเอ้าท์ ส่งคืนคีย์การ์ดพร้อมผ้าเช็ดตัวแล้วรับเงินมัดจำคืนจำนวนหนึ่งและไม่ลืมขอแลกเงินเหรียญมาด้วยเพื่อใช้สำหรับซื้อตั๋วรถไฟ
Amsterdamช่วงเช้าตรู่เงียบสงบ ผู้คนเดินช้าๆมุ่งหน้าไปสถานีหลักAmsterdam Centraal ฉันเดินลากกระเป๋าไปเรื่อยๆไม่รีบร้อนเพราะเผื่อเวลาไว้เยอะพอสมควร แวะถ่ายรูปนั่นนี่แล้วยืนนิ่งๆอยู่ลานกว้างหน้าสถานี หลับตา ลืมตา หลับตา ลืมตา พยายามจดจำบรรยากาศและกลิ่นอายของเมืองนี้ไว้ให้ลึก.. สุดใจ เหรียญยูโรที่แลกมาได้ใช้ระโยชน์เหมือนกับที่คิดไว้จัดการซื้อตั๋วรถไฟชั้นสองจากAmsterdam Centraal ไป Schiphol Airport สแกนตั๋วเข้าไปข้างในสถานีมองหารถไฟขบวนที่ต้องขึ้น สถานีกว้างใหญ่แต่ด้วยความที่ยังเช้าและคนไม่เยอะก็หาได้ไม่ยากหลังจากที่ขึ้นบันไดเลื่อนมาชั้นบนและเดินตามทางแต่จู่ๆก็มีการเปลี่ยนชานชาลาสังเกตได้จากหลายคนเริ่มเปลี่ยนทิศทางเดิน สาวผิวเข้มนักเดินทางคงเห็นฉันเดินลากกระเป๋าเดินทางก็เลยตะโกนบอกว่าไปสนามบินเปลี่ยนเป็นชานชาลาโน่นนะ ฉันผงกหัวยิ้มให้แทนคำขอบคุณ ไม่กี่สิบนาทีรถไฟก็พาผู้โดยสารทั้งหมดมาถึงสนามบินก่อนจะพาผู้โดยสารที่เหลือไปต่อยังสถานีRotterdam
สนามบินSchipholก็เหมือนกับสนามบินใหญ่อื่นๆคือไม่เคยหลับไหล นักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันที่นี่อาจจะไม่ใช่จุดหมายปลายทาง อาจจะเป็นการเริ่มต้น หรืออาจจะเป็นเพียงแค่ทางผ่าน เค้าเตอร์เช็คอินน์ของสายการบินEmirateยังไม่เปิดก็เลยไปยืนดื่มกาแฟรอ กาแฟร้อนแก้วแรกของวันทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมากหลังจากเช็คอินน์และโหลดกระเป๋าที่หนักถึงยี่สิบสามกิโลกรัมเสร็จก็เดินตัวปลิวเข้าช่องimmigration ใช้พาสปอร์ตเนเธอร์แลนด์ในการเข้าออกEU สแกนพาสปอร์ต ถ่ายรูป เป็นอันจบพิธีการ อาหารเช้าง่ายๆประกอบไปด้วยครัวซองหนึ่งอันกับน้ำดื่มหนึ่งขวดตามด้วยยาไทรอยด์หนึ่งเม็ดเพื่อสกัดอาการไฮเปอร์แล้วเดินเตร่ไปร้านขายของ ได้นิตยสารมาสองสามเล่มกับน้ำหอมกลิ่นผู้ชายเอาไว้ใช้เองอีกหนึ่งขวด ว่าด้วยเรื่องของน้ำหอมกลิ่นนี้หามานานแล้วเพราะได้กลิ่นมาจากหนุ่มๆหลายคนแล้วรู้สึกว่าหอมน่าค้นหาดี พยายามหามาหลายทีแล้วแต่ไม่เคยเจอแต่พอจะเจอก็เจอแบบง่ายๆที่สนามบิน
อยู่บนเครื่องหกเจ็ดชั่วโมงก็มาถึงดูไปเพื่อเปลี่ยนเครื่องและมีเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆก็เลยเดินเที่ยวดูสินค้าได้ถ้วยกาแฟเก๋ๆติดมาอีกหนึ่งใบ สนามบินดูไบกว้างมาก ร้านขายของก็เยอะและรับเงินหลากหลายสกุลไม่ต้องแลกให้ยุ่งยาก หกชั่วโมงต่อมาก็มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลาเจ็ดโมงเช้าของที่นี่ เดินทางมาค่อนโลกไม่มีปัญหาเรื่องimmigration มามีปัญหาที่บ้านเกิดเมืองนอนเพราะเครื่องอัตโนมัติไม่ทำงานกับพาสปอร์ตไทยเล่มใหม่ที่พึ่งทำมาไม่กี่เดือนก่อนแต่ขาออกไม่ยักกะมีปัญหา เดินไปต่อแถวเข้ากับเจ้าหน้าที่ พิมพ์นิ้วมือนั่นนี่นั่นกว่าจะออกมาได้ก็ใช้เวลาพอสมควร รับกระเป๋าแบบโล่งอกเพราะแอบกลัวว่าจะชำรุดเสียหายหรือโดนเปิดเพราะโหลดแทปเล็ตไว้ในนั้นหนึ่งเครื่องเพราะแบกไม่ไหวเอามาด้วยหลายเครื่อง ลากกระเป๋าขึ้นไปชั้นสี่เช็คอินน์กับThai Smileเพื่อไปเชียงราย พนักงานน่ารักไม่ว่าอะไรสักคำเรื่องน้ำหนักกระเป๋าเกิน เข้าไปด้านในแล้วตรงไปร้านBootsซื้อแปรงสีฟันยาสีฟันกับน้ำหนึ่งขวดไปหลบมุมทำความสะอาดตัวเองในห้องน้ำแต่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะลืมกระเป๋าแป้งไว้ในกระเป๋าเดินทาง พอสดชื่นขึ้นบ้างก็เดินยืดเส้นยืดสาย เห็นร้านนสะดวกซื้อมีมาม่าคัพต้มยำกุ้งขายพร้อมบริการน้ำร้อนสนนราคา16บาท แอบตกใจและดีใจว่าราคานี้ยังมีอยู่ในโลกของสนามบิน มาม่าต้มยำทำให้ฉันรู้สึกว่า ถึง เมืองไทยแล้วจริงๆ นั่งสัปหงกรอไฟลท์ไปเชียงรายอีกสามสี่ชั่วโมงก็ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง หนึ่งชั่วโมงนิดๆบนเครื่องบินกับอีกยี่สิบนาทีGrabฉันก็กลับมาถึง “บ้าน” มีไอ่หูยาวรอยู่แล้ว มันม้วนตัวนอนหงายหลังทำท่าตลกๆเมื่อเห็นฉันพร้อมกับทำเสียงอ้อนๆร้องไห้น้ำตาซึม น้องเสีอดำนอนอยู่ใต้รถแอบมองฉันแบบกล้าๆกลัวๆก่อนจะเดินออกมาหาทำตาวาวๆก่อนจะเลียมือฉัน