Tuesday, June 14, 2016

The trails of Thanaka 7

14 มิถุนายน 2559
 ย่างกุ้ง ดอนเมือง เชียงราย

   ตื่นมาตอนหกโมงเช้ามานั่งจิบกาแฟนอกระเบียงพร้อมทั้งดูความเคลื่อนไหวของย่างกุ้ง พระนุ่งห่มสีเข้มเดินเรียงแถวยาวบิณฑบาตไปตามริมถนน มือหนึ่งอุ้มบาตรส่วนอีกมือถือตาลปัตรใบลาน เด็กวัดเดินตามหลังพระพร้อมเข็นล้อเข็นสำหรับถ่ายเทข้าวของจากบาตรเมื่อผู้มีจิตรศรัทธาใส่จนเต็ม ผู้คนวัยทำงานยืนถือร่มรอรถเมล์อยู่ริมถนนเป็นกลุ่มๆ ธุรกิจขายหมาก ธุรกิจแท็กซี่ มีลูกค้าแต่เช้าตรู่ นั่งดูนั่นนี่เพลินจนลืมอาหารเช้าที่ถูกยกมาวางไว้ให้เมื่อหลายนาทีก่อน อาหารเช้าง่ายๆจากที่นี่เป็นขนมปังปิ้งสองแผ่น ไข่ดาวหนึ่งฟอง เนยสดและแยมสตรอว์เบอร์รี่พร้อมด้วยกล้วยหอมหนึ่งใบ ฉันทิ้งขนมปังกับไข่ไว้ที่เดิม จัดการกล้วยหอมและกาแฟก่อนจะไปอาบน้ำเก็บข้าวของและพร้อมออกเดินทาง เด็กหนุ่มรีเซฟชั่นยิ้มกว้างเมื่อฉันบอกเช็คเอ้าท์ มีสกลับมาอีกเมื่อไหร่ เขาถามฉัน ฉันตอบไปว่า คงอีกไม่นาน

   สิบหกกิโลเมตรจากในเมืองถึงสนามบินนานาชาติย่างกุ้ง ใช้เวลาค่อนชั่วโมงเพราะอยู่ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน หกพันจ๊าตสำหรับค่าโดยสาร รถเปิดกระจกทุกบานทำให้ฉันสัมผัสย่างกุ้งได้เต็มๆ ฉันคิดถึงพม่าทั้งๆที่ฉันยังอยู่ในประเทศพม่า!  บนเครื่องบินนั่งคุยกับคนไทยที่ได้ที่นั่งติดกัน สองพี่น้องวัยห้าสิบกว่ามาไหว้เจดีย์ชเวดากอง พี่สาวใจดีแบ่งแซนด์วิชทูน่าที่ห่อมาจากบุฟเฟต์อาหารเช้าโรงแรมให้ฉัน ยกมือไหว้ขอบคุณแล้วรับแซนด์วิชมากิน ไม่ได้หิว ไม่ได้ตะกละแต่กลัวคนให้เสียน้ำใจ พี่สาวคนหนึ่งเป็นข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม พี่สาวอีกคนเป็นพยาบาลวิชาชีพ  ทั้งสองมีอพาร์ทเมนท์ริมนำ้แถวฝั่งนนท์ที่กำลังปรับปรุงเป็นที่พักให้นักท่องเที่ยวพร้อมกับเชื้อเชิญฉันไปเยี่ยมเยือนหากมีโอกาสได้ไปทางนั้น การเดินทางทำให้โลกกว้าง นั่นคือความจริงที่สุด

   สองเที่ยวบิน หนึ่งแว๊นเวสป้ากับ12ชั่วโมงต่อมาฉันก็กลับมานั่งที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง การเดินทางครั้งนี้มันจบลงแล้วพร้อมกับประสบการณ์ที่หาค่าไม่ได้ รูปถ่ายกว่าสองร้อยรูปในกล้องยังคงรอเวลาให้ฉันจัดการกับมัน กลิ่นของพม่ายังติดอยู่ปลายจมูกฉัน รอเวลาที่จะกลับไปสัมผัสกับมันอีกครั้ง รอฉันนะพม่า.

  ค่าใช้จ่ายวันนี้
แท็กซี่ 6,000 จ๊าต
ตั๋วเครื่องบิน ย่างกุ้ง-ดอนเมือง 1,200 บาท
ตั๋วเครื่องบิน ดอนเมือง-เชียงราย 650 บาท
อาหาร เครื่องดื่ม 133 บาท















Monday, June 13, 2016

The trails of Thanaka 6

   13 มิถุนายน 2559
 เมืองย่างกุ้ง

    หลับๆตื่นๆอยู่บนรถจากสองทุ่มถึงตีสี่ครึ่งรถทัวร์จากเมืองพุกามก็มาถึงเมืองย่างกุ้ง ตั๋วรถราคา18,500จ๊าตคุ้มค่ากับคุณภาพที่ได้รับ เบาะใหญ่ปรับเอนได้จนเกือบนอนราบ สบายจนเงินที่แบ่งเอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงหล่นออกมาโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่แล้ว ตอนแรกกะว่าชั่งมันเถอะเพราะรถทัวร์ก็คงไปถึงไหนต่อไหนแล้วและเงินที่แบ่งออกจากกระเป๋าสะพายข้างมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงก็เป็นเงินแบ็งค์เล็กๆ 1,000 500 200 และ 100 ให้ง่ายสำหรับจับจ่าย รวมจำนวนเงินก็ไม่น่าจะถึง10,000จ๊าต คนขับแท็กซี่เห็นฉันกระวนกระวายก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้นฉันบอกแค่ว่าลืมของไว้ในรถแต่ไม่เป็นไร เขาบอกว่ารถทัวร์ทุกคันต้องเข้าบริษัทหลังจากส่งผู้โดยสารเสร็จ แล้วพาฉันขับอ้อมมาหน้าบริษัทที่รถจอดอยู่ ฉันเอาตั๋วรถให้เด็กรถดูและเขาก็จำฉันได้ เขาเปิดประตูรถและฉันก็กำลังจะเหยียบขึ้นบันไดแต่คนขับซึ่งยังนั่งอยู่ในรถล้วงมือเข้าไปในเก๊ะหน้ารถพร้อมเงินที่ฉันทำตกไว้คืนให้ ไม่เว้นแม้แต่นามบัตรของโรงแรมที่พักคืนก่อน ความรู้สึกตอนนั้นมันพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแต่ที่แน่ๆตื้นตันใจกับความซื่อสัตย์ของพวกเขา และความมีนำ้ใจของพวกเขา จำนวนเงินมันไม่ได้มากมายอะไรหากคิดเป็นเงินบาทก็คงประมาณ300บาทแต่ค่าของจิตใจมันประเมิณค่าไม่ได้ ฉันแบ่งเงินที่ได้คืนเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้คนรถกับคนขับและอีกส่วนหนึ่งให้คนขับแท็กซี่ พร้อมกับยกมือไหว้พวกเขา

   ตีห้ากว่าๆฉันก็มาถึงที่พักที่จองไว้ เป็นที่ๆเคยพักเมื่อแปดเดือนที่แล้วตอนเขากำลังเปิดโรงแรม และฉันก็เป็นคนแรกที่เขียนรีวิวให้โรงแรมเขา แต่เพราะเช้าเกินไปห้องก็ยังไม่เรียบร้อยก็ได้แต่นั่งจิบกาแฟรอเวลา นักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มตื่นฉันก็เลยมีเพื่อนคุย บางคนก็ต้องไปสนามบิน บางคนก็จะไปขึ้นรถไปเมืองอื่นๆต่อ กาแฟอร่อยๆจากเครื่องชงสดๆที่บริการฟรีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงของโรงแรมทำให้ฉันรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมากจึงไม่อยากนั่งรอห้องพักซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเสร็จกี่โมง ฉันขออนุญาตพนักงานโรงแรมใช้ห้องน้ำและห้องอาบน้ำ จัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็คลี่ผ้าพันคอผืนใหญ่ที่พกมาออก เอาเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าเครื่องใช้ส่วนตัว ห่อให้เป็นถุงผ้าเพราะไม่มีกระเป๋าใบอื่นมาด้วยและจำเป็นต้องใช้เป้สำหรับใส่กล้องถ่ายรูป ขวดนำ้ ไอแพด และอีกหลายอย่างสำหรับพกติดตัวไปด้วย ฝากห่อผ้าไว้กับรีเซฟชั่นแล้วก็ออกเดินเท้าไปสถานีรถไฟย่างกุ้ง ระยะทางเกือบสองกิโลเมตรแต่อากาศเย็นๆตอนเช้าก็ทำให้เดินได้สบายๆ มาถึงที่สถานีทันเวลาพอดีสำหรับรถไฟรอบเมืองย่างกุ้งหรือที่เรียกว่า Circular Train รถไฟที่คนท้องถิ่นใช้สำหรับการซื้อขายสินค้าจากสถานีหนึ่งไปอีกสถานีหนึ่ง รถไฟจะวิ่งช้าๆจอดทุกๆสถานีรายทางถึง37สถานี ระยะทางไม่ได้ไกลแต่เพราะวิ่งช้าจึงใช้เวลาถึง3ชั่วโมงจนกว่าจะครบหนึ่งรอบ ตลอดสามชั่วโมงฉันมีความรู้สึกเหมือนกำลังดูละครในโรงละครไหนซักแห่ง ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมันเคลื่อนไหวตลอด คนนั้นขึ้นคนนี้ลง คนนู้นเอาผักไปส่ง อีกคนไปเอาผลไม้ ในรถไฟก็ว่าดูสนุกแล้ว มองออกไปข้างนอกก็ยิ่งสนุกกว่า มีตลาด ร้านชา คนขายขนม คนหาบไข่นกกระทา แพผักบุ้ง กองขยะ หมากำลังขี้ โอ๊ยยยยยย... สนุกสารพัด รถไฟสายนี้เป็นหนึ่งในขบวนรถไฟที่ฉันสัญญากับตัวเองไว้นานแล้วว่าจะต้องมาสัมผัสให้ได้ ค่าตั๋ว 200จ๊าต ทำเอานำ้ตาฉันจะไหล สามชั่วโมงบนรถไฟกับเงิน7บาทกับประสบการณ์ที่นับค่าไม่ได้ ถ้าฉันอยู่ที่นี่ฉันจะเอารถไฟขบวนนี้มาทำเป็นโปรแกรมทัวร์ ฉันจะพานักท่องเที่ยวขึ้นจากต้นทางจนถึงสถานีที่มีตลาดที่ใหญ่ที่สุดแล้วลง พานักท่องเที่นวชมตลาด จะให้เขาชิมขนมบนรถไฟ จะให้เขาชิมชาที่ตลาด จะ....... วิญญาณนักขายเข้าสิง


   ลงจากรถไฟเดินกลับมาในเมืองแวะกินข้าวกลางวันที่ร้านข้าวแกงร้านเล็กๆหัวมุมถนน ถึงจะเป็นร้านเล็กแต่มีกับข้าวให้เลือกหลายอย่าง ฉันเดินเข้าไปนั่งและหยิบเมนูมาดูแต่อ่านไม่ออกสักตัว เดินไปดูอาหารที่ใส่ถาดเรียงรายไว้แล้วชี้ไปที่อาหารสองอย่าง มันเป็นอาหารพม่าที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมา แกงฮังเล มะเขือยาวผ่าครึ่งแล้วผัดทั้งลูก ข้าวเปล่าหนึ่งจาน มาพร้อมผักสดผักลวกจานโต น้ำพริกอีกสองอย่างใส่มาในถ้วยเล็กๆ มันเป็นข้าวจานแรกที่ฉันกินในระยะเวลาหลายๆสัปดาห์เพราะปรกติเป็นคนไม่กินข้าวแต่กินเส้นหรือกินเฉพาะกับข้าว อาหารพม่าไม่ได้เลวร้ายเหมือนก่อนๆ หรืออาจจะเป็นเพราะฉันรักพม่าเข้าไปแล้วหมดใจ


   ช่วงบ่ายเผลอหลับไปตื่นมาเกือบหกโมงเย็น เดินออกไปดูตรงหน้าต่างเห็นฝนตกปรอยๆก็เลยยกเลิกแผนการที่จะไปไหว้พระที่เจดีย์ชเวดากอง ไม่เป็นไรเพราะไปไหว้มาหลายครั้งแล้ว นึกขึ้นได้ว่ามาเที่ยวพม่าก็ตั้งหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยไปดูหนังในโรงหนังพม่าเลย เปิดดูในGPSเห็นว่าอยู่ไม่ไกลจากที่พักก็เลยตัดสินใจเดินลุยฝนไป ถลกขากางเกงขึ้นกลางน่องพอให้นำ้หมากบวกนำ้โคลนที่เจิ่งนองอยู่ริมถนนไม่กระเด็นโดนกางเกง ลากอีแตะแดงคู่เก่งที่ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีซึ่งถึงแม้ว่ามันจะกัดง่ามเท้าตรงหนีบแต่พลาสเตอร์สามสี่อันก็ช่วยให้ไม่เจ็บมากนัก กลับบ้านไปคงต้องเลิกใส่รองเท้าแตะซักพักรอให้แผลหาย โรงหนังที่ไปดูชื่อโรงหนังเนปิดอว์ น่าจะเป็นโรงใหม่สุดในเมือง หนังที่ฉายก็ใหม่เหมือนหนังบ้านเรา เอ็กซ์ เมน นินจาเต่า แถมบางเรื่องยังมีระบบสามมิติ แต่ถ้าจะดูหนังที่พม่าแล้วดูหนังพวกนั้นมันก็คงธรรมดาไปบวกกับดูดิเอ็กซ์เมนที่เมเจอร์เชียงรายมาแล้ว ก็เลยตัดสินใจดูหนังอินเดียที่พากษ์พม่าแล้วมีแปลตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษด้านล่าง การซื้อตั๋วก็ใช้วิธีชี้ๆเอาเพราะพนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้และคงมีนักท่องเที่ยวไม่กี่คนมาดูหนังที่นี่ ฉันไปถึงไม่กี่นาทีก่อนหนังจะฉายทำให้มีที่หนังเหลือให้เลือกไม่กี่ที่ มันเป็นการดูหนังที่ใกล้ชิดมากเพราะได้นั่งแถวที่สองจากจอหนัง พอหนังจบตาเหล่ไปเลย ก่อนเข้าไปในโรงก็ต้องมีมีป๊แบคอร์นติดมือไปด้วยเพื่อให้ครบรส ซื้อป๊อปคอร์นตามด้วยนำ้อัดลมกระป๋องเล็กแต่ตาเหลือบไปเห็นสาวๆพม่าซื้อเมล็ดทานตะวันกันคนละหลายๆถุง ฉันกลัวตกเทรนด์ก็เลยซื้อตามบ้างและตอนที่แกะกินระหว่างดูหนังปรากฎว่ามันอร่อยมาก เป็นเมล็ดทานตะวันคั่วเกลือใส่ขิงและกระเทียมที่รสชาติดีที่สุดที่เคยกินมา เสียดายไม่ได้ดูว่ายี่ห้ออะไรคราวหน้าจะได้ซื้ออีก ก่อนหนังจะเริ่มก็ต้องลุกขึ้นยืนเคารพเพลงชาติเหมือนโรงหนังบ้านเรา ถึงแม้จอหนังจะไม่ใหญ่เหมือนจอเมเจอร์ และหนังที่ฉายจะไม่ใช่แนวที่ฉันชอบแต่คนดูพม่าก็ทำให้การดูหนังของฉันคำ่นี้สนุกมาก คพพม่าจะซื้อขนม ของกิน เครื่องดื่ม มาจากร้านเพิงหน้าโรงหนัง อันนี้ตลกมากเพราะโรงหนังทันสมัยแต่หน้าโรงหนังจะให้อารมณ์ประมาณหนังกางแปลงบ้านเราสมัยก่อน ถั่วต้ม ไข่นกกระทา(อันนี้ฮิตมากที่พม่า, ถึงว่าข้ามไปท่าขี้เหล็กทุกครั้งก็เจอคนหาบไข่นกกระทาขาย) ยำข้าวซอย ถั่วชุปแป้งทอด แต่ละคนจะซื้อกันเยอะมากเรียกว่าหอบกันเข้ามาในโรงหนัง เห็นบางคนหิ้วปิ่นโตเข้ามาด้วยแต่ฉันไม่แน่ใจว่าเขาเพิ่งเลิกงานแล้วมาดูหนังหรือว่าห่อข้าวมากินในโรงหนัง ดูหนังไปแทะเมล็ดทานตะวันไป ต๊อบแต๊บต๊อบแต๊บกันทั้งโรงมีความสุขมาก สามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่าจะรู้ตัวหนังก็จบแล้วเขาเริ่มเปิดไฟสว่าง ก้มลงไปมองพื้นตกใจ! โหหหหห พื้นปูพรมสวยงามตอนนี้มีแต่เปลือกเมล็ดทานตะวันเต็มไปหมดทั้งโรง ฉันพลาดไปนะที่แกะเปลือกออกใส่ถุงกะจะเอาออกไปทิ้งข้างนอกเพราะความเคยชิน คราวหน้าจะทำแบบพม่าบ้าง เอหรือว่าไม่ทำดีกว่าสงสารคนเก็บ เรื่องราวของหนังเป็นเรื่องของความรัก การหักหลังจากคนรัก ความแค้น มนต์ดำ พระเอกนางเอกอินเดียก็ต้องอวบๆตามความนิยม วิ่งไล่เกี้ยวกันจากที่โน่นไปที่นี่ ภูเขาโน้นไปทะลุภูเขานี้ รักกันก็หวานปานน้ำผึ้ง บทโศกขึ้นมาก็นำ้ตาท่วมจอ ฉากที่ถ่ายทำคือลอนดอนแถวสะพานบิ๊กเบ็น พิคคาดิลลี่ กับสวนสาธารณะครึ่งเรื่อง อีกครึ่งเรื่องที่แคว้นราชาสถานอินเดีย


   ออกจากโรงหนังมาเกือบสามทุ่ม ฝนหยุดตกแล้วก็เลยเดินเที่ยวสั่งลาย่างกุ้ง เดินขึ้นสะพานลอยไปดูเจดีย์สุเหล่จากมุมสูงพร้อมยกมือไหว้ขอพร คนพม่ายังเดินกันขวักไขว่บนถนน บ้างก็หาของกิน บ้างก็คงเสร็จงานอยู่ในระหว่างเดินกลับบ้าน ย่างกุ้งทันสมัยขึ้นมากแค่ระยะเวลาแปดเดือนที่ฉันมาที่นี่ครั้งสุดท้ายเปรียบเที่ยบกับวันนี้ มีร้านรวงใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย มีแสงไฟเพิ่มมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเพิ่มขึ้น ฉันดีใจที่ได้เห็นพม่าตั้งแต่วันที่ถนนเงียบสนิท จนถึงวันนี้ที่มีไฟฟ้าอยู่แทบทุกหัวมุมถนน


   ค่อยๆโตนะพม่า ไม่ต้องรีบร้อน บางที่ความเจริญมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย คนรวยเขาไม่อวด เหมือนพม่าที่มีทรัพยากรอยู่มากมายทั้งบนดินและใต้ดิน มีเพชรพลอยอยู่บนยอดเจดีย์เป็นตันๆ ขอให้พม่าเป็นพม่าแบบเดิมๆไปนานๆ

   "ฉันรักพม่า"

ค่าใช้จ่ายวันนี้
แท็กซี่ 7,000 จ๊าต
รถไฟ 200 จ๊าต
อาหาร เครื่องดื่ม 3,300 จ๊าต
ตั๋วภาพยนต์ 3,500 จ๊าต
โรงแรม 521 บาท

















 

 

Sunday, June 12, 2016

The trails of Thanaka 5

12 มิถุนายน2559
 เมืองพุกาม

   วันที่สามและเป็นวันสุดท้ายของครั้งนี้ที่พุกาม ช่วงเช้าฝนยังตกบางๆทำให้ห้องอาหารบนดาดฟ้าค่อนข้างเหงา พนักงานหญิงสองสามคนปฏิบัติหน้าที่กันเงียบๆ ไข่ดาวหนึ่งฟอง ขนมปังโฮลวีทปิ้งพอกรอบหนึ่งแผ่น โยเกิร์ตราดนำ้ผึ้งถ้วยย่อมเป็นสิ่งที่ฉันโปรดปราน บุฟเฟต์อาหารเช้าที่นี่ดูมีคุณภาพกว่าโรงแรมก่อนๆ มีอาหารหลากหลายให้เลือกชิมแต่ฉันก็ได้แค่ชิมไปไปไม่กี่อย่างและตบท้ายด้วยกาแฟสีดำเข้มถ้วยโต

   หยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กคาดลำตัว พร้อมกล้องถ่ายรูปคล้องใหล่แล้วเดินออกจากโรงแรมตรงไปตลาดเช้าแห่งเมืองพุกาม ตลาดที่ขับอีไบค์มาสังเกตการณ์ไว้ตั้งแต่เมื่อวานตลาดที่คิดว่าเป็นตลาดเล็กๆเพราะมองเห็นแค่ทางเข้าเล็กๆภายในกลับกลายเป็นตลาดที่กว้างใหญ่ไพศาล แบ่งออกเป็นสองส่วนส่วนที่ขายของแห้งและอีกส่วนที่ขายของสด ตลาดของสดที่นี่เป็นหนึ่งในตลาดที่น่าสนใจที่สุดในโลกสำหรับฉัน พื้นที่เฉอะแฉะไปด้วยโคลนมันทำให้ดูมีเสน่ห์ ฉันก็แค่ดึงขากางเกงขึ้นถึงกลางน่องแล้วเดินลุยไปเหมือนกับคนอื่นๆที่นี่ ถึงแม้รองเท้าแตะจะดีดขี้โคลนขึ้นมาจนจนด้านหลังเลอะเทอะแต่มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉัน ผักหน้าตาแปลกๆ มะม่วงลูกอ้วนๆสั้นๆ ไก่ที่ชำแหละแล้ว ปลานำ้จืดหลากหลายชนิดถูกนำมาวางขายบนพื้น หมานับสิบตัวยืนเลียกินนำ้ผสมเลือดไก่ที่ไหลนองอยู่ตามพื้น แมลงวันฝูงใหญ่บินว่อนไปเกาะตรงโน้นที่ตรงนี้ที ฉันยืนในมุมที่ฉันคิดว่าไม่เกะกะใครมากที่สุดแล้วบรรจงสอดส่ายเลนส์ไปหาซุปเปอร์โมเดลของฉัน คนแล้วคนเล่าครั้งแล้วครั้งเล่ากดชัตเตอร์ไล่ไปเรื่อยๆนางแบบของฉันไม่จำเป็นต้องสวย เขาแค่มีโครงหน้าและแววตาที่น่าสนใจ คนแก่ หนุ่มสาว เด็กๆ แต่ละคนมีความงามเป็นเอกลักเฉพาะตน ริ้วรอยบนใบหน้าของหญิงชราที่ฉันบันทึกลงกล้องถ่ายรูปวันนี้เป็นหนึ่งในริ้วรอยที่สวยที่สุดที่ฉันเคยบันทึกมา เดินเข้าออกตามตรอกซอกซอยเล็กๆสวนทางกับแม่ชีที่กำลังเดินบิณฑบาตอยู่เป็นระยะๆ ตะกร้าใบเล็กๆแม่ชีใช้แทนบาตร ของทุกอย่างที่วางขายในตลาดใช้ใส่บาตรได้ แม่ค้าดอกไม้ก็ใส่ดอกไม้ แม่ค้ามะม่วงใส่มะม่วง มะเขือ ข้าวสาร ลูกตาล แตงกวา ทำบุญได้ด้วยทุกอย่างจริงๆ ฉันคิดเข้าใจว่าเขาคงเอาประกอบอาหารกันเองที่วัด พระและแม่ชีที่พม่าจะเดินบิณฑบาตกันทั้งวัน พระห่มผ้าสีคล้ำและไม่โกนคิ้ว แม่ชีนุ่งผ้าสีชมพูโกนหัวหรือไม่แน่ใจว่าตัดสั้นมาก ที่พุกามฉันเห็นแม่ชีเยอะมาก มากกว่าที่เคยเห็นในมัณฑะเลย์และย่างกุ้ง สิ่งที่น่าแปลกใจคือพม่าไม่ได้มีขอทานเยอะเหมือนที่เคยเห็นที่เมืองท่าขี้เหล็ก ทั้งตลาดที่เดินเที่ยววันนี้น่าจะมีขอทานไม่เกินห้าคนและพวกเขาก็แค่นั่งกันเงียบๆริมประตูทางเข้าตลาด ไม่ได้เดินตามหรือรบกวนใครๆ อาจจะเป็นเพราะคนไทยใจดีชอบให้เงินโดยไม่มีเหตุผลจึงทำให้ขอทานชอบมารุมคนไทยเวลาข้ามสะพานท่าขี้เหล็กก็เป็นไปได้

   กลับจากตลาดก็รีบฉวยเป้พร้อมกล้องขึ้นหลังเพราะเห็นแดดเริ่มส่องทะลุเมฆก้อนหนาลงมาเจรจากับรีเซฟชั่นให้หาอีไบค์ให้พร้อมกับขอเลทเช็คเอ้าท์ตอนหนึ่งทุ่มเพราะขี้เกียจนั่งรอที่ล้อบบี้ครึ่งค่อนวัน สิบดอลลาร์สำหรับค่าห่องครึ่งวันกับอีกห้าพันจ๊าตสำหรับอีไบค์สุวรรณีก็เดินตัวปลิวออกไปหน้าโรงแรมพร้อมจะแว๊นสั่งลาทะเลเจดีย์แห่งเมืองพุกาม ก่อนเข้าเมืองพุกามเก่าแวะร้านชาเจ้าประจำตามวัฒนธรรมพม่า เด็กผู้ชายอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบพนักงานร้านชายิ้มกว้างต้อนรับ ผงกหัวแค่ครั้งเดียวแล้วนั่งรอชิวๆชานมสีเข้มหอมฟุ้งก็มารออยูตรงหน้าพร้อมชาเปล่าแบบฟรีรินเองกาใหญ่ จิบชาไปดูโน่นนี่นั่นไปเพลินจนลืมคิดไปว่าคราบชาสีเข้มจัดจะติดฟันและพอร์สเลนอีกสองชิ้นที่อยู่ในปาก เรียกได้ว่าเพลินจนลืมห่วงกันเลยที่เดียว

   ขับอีไบค์ลัดเลาะไปเรื่อยๆตามเจดีย์น้อยใหญ่ บางช่วงเป็นถนนทรายทำให้ขับลำบากต้องคอยประคองรถไม่ให้ล้ม เส้นทางแบบนี้นานๆที่จะสวนทางกับนักท่องเที่ยวที่ใช้อีไบค์เพราะนักท่องเที่ยวส่วนมากเขาจะไปเฉพาะเจดีย์หรือวัดที่ใหญ่ๆที่แนะนำในหนังสือไกด์บุ้ค หรือเช่าแท็กซี่พร้อมคนขับที่ใช้เฉพาะถนนเส้นใหญ่ คงมีคนบ้าบิ่นอย่างฉันไม่กี่คนที่เลือกมาทางเล็กๆแคบๆแบบนี้ สำหรับขนาดของเจดีย์ที่สร้างขึ้นที่นี่ก็บ่งบอกถึงฐานะบรรดาศักดิ์ของผู้สร้าง เจดีย์ใหญ่ๆก็สร้างโดยกษัตริย์ รองลงมาก็พวกเจ้า เศรษฐีคหบดีก็ลดขนาดกันไปเรื่อยๆ บางเจดีย์สูงชันและสามารถปีนขึ้นไปชมวิวได้อย่างวันนี้ฉันก็ปีนขึ้นยอดเจดีย์Bulethi ที่คนจะปีนขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ยอดBulethiช่วงเที่ยงวันๆนี้มีแค่ฉันกับฝรั่งหนุ่มอีกหนึ่งคนที่ปั่นจักรยานมา ลมพัดแรงมากบนยอดเจดีย์จนได้ยินเสียงหวีดหวิวของสายลมที่ผ่านหู ฉันนั่งซึมซับทุกอนูความยิ่งใหญ่ของทะเลเจดีย์ไว้ในความทรงจำเพราะไม่คิดจะมาที่นี่อีกอย่างน้อยห้าปีนับจากวันนี้ โลกมันยังกว้างใหญ่นักสำหรับฉัน ยังมีอีกหลายที่ๆอยากเห็นและอีกหลายอย่างที่อยากสัมผัส

   ไม่ลืมที่จะแวะไปDahmmayan Gyi Phayaวัดที่ใหญ่ที่สุดในพุกามอีกครั้ง ข้างในวิหารมีค้างคาวเยอะมากบินกันขวักไขว่และขี้เยี่ยวออกมารดพื้นและองค์พระ แต่คนดูแลวัดก็คอยรักษาความสะอาดได้จนน่าทึ่ง พ่อค้าแม่ค้าขายของที่ระลึกพูดภาษาไทยกันคล่องปากพร้อมเชื้อเชิญนำเสนอให้ซื้อสินค้า หากนักท่องเที่ยวตอบปฏิเสธพวกเขาก็จะบอกว่าอย่าบอกว่าไม่เอาให้บอกว่าตอนนี้ยังไม่เอาแล้วเดินออกไปเงียบๆ ไม่ทำให้นักท่องเที่ยวรำคาญใจเหมือนที่กัมพูชาหรือเวียดนาม เมื่อวานฉันช่วยอุดหนุนภาพวาดจากทรายของแมค้าช่างเจรจาที่วัดManuha ไม่ใช่เพราะอยากได้ภาพวาดแต่ชอบเทคนิคการขายและการเจรจาของนาง  เห็นยอดโดมสวยๆอยู่ลิบตาข้างหน้าใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะหาทางเข้าเจอและพบว่าเป็นยอดวิหารของวัดSulamaniซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัดที่สวยงามไม่แพ้วัดAnandaแต่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวรู้จัก เห็นมีแต่หนุ่มสาวพม่ามากราบไหว้กันเป็นคู่ๆ น่ารักนะออกเดทกันที่วัดบ้างที่เจดีย์บ้าง

   ขับทะลุแทบทุกเขตจนก้นระบมไปหมดและเริ่มเห็นแต่ละเจดีย์ชักจะคล้ายๆกันหรือที่ภาษาไกด์เรียกว่า temple sick ก็ถึงเวลากลับห้องไปพักผ่อนก่อนที่จะขึ้นรถนอนไปย่างกุ้งคืนนี้ แวะกินผัดผักรวมกับสัปปะรดปั่นเป็นอาหารเย็นก่อนอาบน้ำแพคเป้

    ชีวิตมีความสุขดีกับการเดินทาง

ค่าใช้จ่ายวันนี้
โรงแรม 12,000 จ๊าต
 อีไบค์ 5,000 จ๊าต
 อาหารเครื่องดื่ม 2,600 จ๊าต




















 


Saturday, June 11, 2016

The trails of Thanaka 4


   11 มิถุนายน 2559
พุกาม

   ตีสี่กว่าๆฉันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงคนข้างห้องเปิดปิดประตู พวกฝรั่งนักท่องเที่ยวคงลงไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวไปปีนเจดีย์ดูพระอาทิตย์ขึ้น เปิดผ้าม่านดูเห็นเมฆดำหนาทึบพร้อมกับฝนตกบางๆ น่าเห็นใจนักท่องเที่ยวที่มาจากเมืองไกลที่อากาศไม่เป็นใจสำหรับพวกเขา เสียงคุยกันแว่วๆดังมาถึงห้องฉันว่าคงต้องเสี่ยงไปเพราะเช้านี้จะเป็นเช้าเดียวที่พวกเขาอยู่ที่นี่กัน ฉันไม่ได้มีแผนจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกับเขาเพราะเคยเห็นแล้วเมื่อสองปีก่อนและคราวนี้ก็ไม่ได้พกขาตั้งกล้องมาสำหรับถ่ายรูปแนวนั้น นอนเล่นไปเรื่อยๆจนเกือนแปดโมงเช้าก็หอบหิ้วเป้พร้อมสำภาระการล้างหน้าแปรงฟันลงมา อ่างล้างหน้าทั้งสามอ่างที่ติดไว้ริมฝาห้องสุขาถูกจับจองแล้วทุกอันโดยหนึ่งน่าจะเป็นพนักงานในโรงแรมนี้และอีกสองเป็นฝรั่งชายวัยรุ่น ฝรั่งสาวอีกสองคนยืนอยู่หน้าห้องสุขามือหนึ่งถือขวดนำดื่มอีกมือหนึ่งแปรงฟันไปพร้อมหยุดคุยกันไปเป็นระยะๆ ฝรั่งฮิปปี้แก่ๆที่ผงกหัวทักทายฉันเมื่อคืนหลังจากที่ฉันออกจากห้องน้ำกำลังบรรจงบีบยาสีฟันใส่แปรงสีฟันให้ตรงตามแนวแต่ไม่ค่อยเป็นผลนักเพราะมือสั่นเกินระดับสี่ริกเตอร์ ฉันยืนรอจังหวะอยู่ห่างๆหลังจากพวกเขาเสร็จสรรพแล้วก็เข้าไปยืนยืนประจำการหน้าอ่างล้างหน้าอันที่ฉันคิดว่าสะอาดที่สุด กำลังใส่แปรงสีฟันไปในปากและเริ่มขยับข้อมือก็มีเสียงดังมาจากอ่างข้างๆ เริ่มด้วยเสียงเปิดปิดน้ำและล้วงหาสิ่งของ จังหวะที่ฉันหันไปดูเพื่อนบ้านแปรงฟันคนใหม่นั้นเองก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาเริ่มขากเสลดครั้งแรก หนุ่มฝรั่งหน้าตาดีผมหยิกหยองเต็มหัวรวบรวมพลังงานและลมปรานทั้งหมดที่เขามีสูดอากาศเข้าไปผ่านจมูกและลำคอของเขาแล้วขากออกมา ขากออกมา ขากออกมา แล้วขากออกมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่าจนน่ากลัวว่าตับใตใส้พุงจนถึงลูกอัณฑะของเขามันจะออกมาทางคอจนหมดสิ้น นาทีนั้นฉันนึกไปถึงตัวเองตอนอายุยี่สิบต้นๆที่นั่งรถทัวร์ไปกรุงเทพฯพอถึงหมอชิตตอนเช้ามืดก็ไปยืนล้างหน้าแปรงฟันตรงอ่างหน้าห้องน้ำสาธารณะ คราบยาสีฟันที่คนอื่นบ้วนไว้ คราบเสลดที่ถูกขากออกมาแล้วไหลไปตามคว่ามยาวของอ่าง รูป กลิ่น สี มาเต็มในจินตนาการของฉัน ทำไมฉันต้องทำร้ายตัวเองถึงขนาดนี้ ทำไมฉันต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ ทำไมฉันถึงต้องอยู่ที่นี่?? วินาทีนั้นมันเหมือนกับมีใครสักคนมาเปิดไฟให้ทางในขณะที่ฉันกำลังเดินในที่มืดๆ รีบแปรงฟันให้เสร็จแล้วขึ้นไปบนห้องจัดการเปิดแอพอโกดาแล้วจองห้องใหม่ โรงแรมใหม่ ห้องนำ้ส่วนตัวคือสิ่งแรกที่ฉันมองหา จัดการเรื่องโรงแรมเรียบร้อยฉันแพคข้าวของลงเป้แล้วออกไปเช็คเอาท์พร้อมซดกาแฟร้อนหนึ่งถ้วย

   เดินไปโรงแรมใหม่ระยะทางเกือบสองกิโลเมตรพอได้ออกกำลังให้เหงื่อชุ่มหลัง ถึงหน้าประตูดอร์แมนรีบเปิดประตูให้พร้อมรอยยิ้มสีแดง ฉันบอกพนักงานรีเซฟชั่นว่าได้จองห้องไว้คืนนี้และขอเช็คอินก่อนเวลา พนักงานใจดีน่ารักมากถามว่าฉันมารถไฟหรือรถเที่ยวดึก ฉันบอกว่าเปล่าฉันเดินมาจากอีกโรงแรมหนึ่งเพียงแค่อยากเปลี่ยนที่นอน เขาให้ฉันเช็คอินเช้าได้โดยไม่มีเงื่อนไขทั้งๆที่มันยังไม่ถึงสิบโมงเช้าด้วยซำ้เพราะตามปรกติเวลาเช็คอินต้องเป็นบ่ายสองขึ้นไป โชคดีชะมัด ห้องใหม่มีทุกสิ่งที่ฉันต้องการ เตียงใหญ่พร้อมหมอนหลายใบ ห้องนำ้สะอาด น้ำดื่ม โต๊ะวางของ ผ้าเช็ดตัวหลายๆผืน สำหรับ ทีวี แอร์ พัดลม ก็ถือว่าผลพลอยได้ อาบนำ้จัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยเดินลงมาข้างล่างติดต่อเช่าสกู้ตเตอร์ไฟฟ้าหรืออีไบค์ราคา5,000จ๊าตต่อวันพร้อมจองตัวรถสำหรับไปย่างกุ้งคืนพรุ่งนี้ อีไบค์มีให้เห็นมากมายที่พุกามมากกว่าเมื่อสองปีก่อนเยอะและรูปแบบก็พัฒนาให้สวยมากขึ้นเรื่อยๆ สองปีก่อนยังมีรูปทรงเป็นกึ่งจักรยานกึ่งสกู้ตเตอร์แต่ ณ.วันนี้รูปแบบเป็นสกู้ตเตอร์เต็มตัวพร้อมสีสันสดใสน่าใช้ อีไบค์ขับได้ความเร็วสูงสุด40กม./ชม. ระยะทางใช้งานสูงสุด45กม.ต่อการช้าตแบตเต็มหนึ่งครั้ง เพื่อความมั่นใจฉันพกนามบัตรของโรงแรมที่พักติดกระเป๋ามาด้วยเผื่อกรณีฉุกเฉิน

   อีไบค์สีเขียวสดพาฉันลัดเลาะมาเริ่มต้นมหกรรมชมเจดีย์ที่เจดีย์Swezigonพร้อมด้วยละอองฝนเบาๆจากนั้นก็แวะไปเรื่อยๆทั้งเจดีย์น้อยและใหญ่ จนมาถึงวัดAnandaท้องฟ้าก็เริ่มเปิดเห็นแสงแดดส่องมาบางๆ วัดนี้ฉันคิดว่าสวยงามที่สุดวัดหนึ่งที่เคยเห็นมาทั้งรูปแแบของวิหารและพระพุทธรูปที่อยู่ด้านใน แวะเล่นกับลูกหมาตัวผอมที่อยู่ในบริเวณวัด มันมีสีเดียวกันกับหมาที่ฉันเคยเล่นด้วยเมื่อสองปีก่อนคาดว่าน่าจะเป็นลูกของตัวนั้นหรืออาจจะญาติๆกัน หมาน่ารักและเป็นมิตรแต่ตัวมันผอมโกรกจนแทบจะเดินไม่ไหวแข้งขาคงไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก ฉันล้วงไปในเป้เพราะจำได้ว่ามีโอรีโอ้เหลืออยู่สองสามชิ้น บิออกเป็นชิ้นเล็กๆแล้วยื่นให้มัน หมาอาจจะไม่ชอบโอริโอ้แต่ฉันบอกมันให้พยายามกินจะได้มีแรง ดูเหมือนมันจะฟังรู้เรื่องค่อยๆเล็มกินจนหมดไปสองชิ้น แม่ช่วยได้แค่นี้นะ ถ้าชาติหน้ามีจริงให้ลูกเกิดมาแล้วมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์กว่านี้นะลูกหมานะ เดินทะลุออกมาอีกด้านหนึ่งของวัดมานั่งพักอยู่ใต้ต้นมะขามที่เคยมานั่งพักคราวก่อน ตำรวจสาวสามนางเดินเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยคงนึกว่ามีสไทยแลนด์มาเที่ยววัด 555  แวะอีกหลายเจดีย์ก่อนจะมาปีนขึ้นเจดีย์Shwesandawในเวลาเกือบเที่ยงวัน ซึ่งโชคดีมากที่แสงแดดทำให้ขั้นบันไดทั้ง66ขั้นไม่ค่อยลื่น ระดับการปีนน่าจะเรียกได้ว่าคลานขึ้นเพราะทั้งสูงและชันทำให้แอบคิดในใจว่าถ้าได้มาอีกครั้งไม่แน่ใจว่าจะขึ้นไหวรึเปล่า อายุ สังขาร มันบั่นทอนความสามารถของมนุษย์จริงๆ วิวทะเลเจดีย์จากบนเจดีย์Shwesandawยังงดงามเหมือนเดิมถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เวลาพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกดิน . เจดีย์ วัด และศาสนสถานที่ถูกสร้างขึ้นในเมืองพุกามมีมากราว10,000แห่ง แต่ที่คงเหลือให้เห็นจนถึงทุกวันนี้มีประมาณ2,200แห่ง วิว360องศาของทะเลเจดีย์ทำให้ฉันหายเหนื่อยไปเยอะ

   ไม่ลืมที่จะแวะไปที่วัดMahunaแวะชมพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สร้างไว้ในวิหารขนาดพอดีกับองค์พระ ไหล่ซ้ายขวาและเศียรขององค์พระชนพอดีกับผนังและหลังคาวิหาร คนไทยรู้จักพระองค์นี้ในชื่อว่า พระอึดอัด ไม่รู้ว่าใครมาตั้งชื่อไว้แต่เคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตหลายปีก่อน แวะที่โน่นที่นี่ไปเรื่อยๆ จนถึงวัดเล็กๆแห่งหนึ่งเห็นสาวๆนั่งล้อมวงฝนทะนาคาเอามาประตามตัวและใบหน้า หนึ่งนางในนั้นคงเห็นฉันสนใจก็เลยกวักมือให้เข้าไปร่วมวง ไม้ทะนาคาท่อนโตถูกเอามาฝนกับหินหยาบแล้วค่อยๆเติมนำ้ลงไปจนได้เป็นแป้งสีเหลืองนวล สาวพม่าบรรจงแตะทะนาคาเปียกๆนั้นประไปตามใบหน้าของฉัน ซ้าย ขวา คาง จมูก และเอียงคอดูผลงานของตัวเองแต่นางคงยังไม่ค่อยพอใจจึงประเพิ่มตรงโน้นตรงนี้อีกหลายที่แล้วยิ้มออกมาท่าทางพออกพอใจ หยิบพัดออกมาพัดหน้าฉันจนแห้งแล้วแล้วหยิบกระจกบานเล็กมาให้ส่อง บิ้วตี้ฟูลนางว่า ฉันนึกขึ้นมาได้ว่ามีโลชั่นบำรุงผิวหลอดเล็กติดอยู่ในเป้จึงล้วงออกมาให้เพื่อตอบแทนและช่วยซื้อพุทรากวนอีกหนึ่งกระปุกเล็ก2,000จ๊าต แต่เมื่อมาเปิดดูทีหลังปรากฏว่าขึ้นราแล้วก็เลยโยนทิ้งไป ไม่เป็นไร เขาคงไม่ตั้งใจเอาของไม่ดีมาขาย

   เกือบบ่ายสามขับอีไบค์ผ่านเขตเมืองใหม่พุกามถึงรู้สึกตัวว่าหิว จำได้ว่าเมื่อคืนอ่านเจอเรื่องร้านอาหารอินเดียระแวกนี้ว่าเป็นหนึ่งในสิบร้านอาหารที่อร่อยที่สุดในพุกาม พอนึกได้ปุ๊บตาก็เหลือบเห็นป้ายร้านปั๊บ มันคงเป็นโชคชะตา ลาสซี่มะม่วงแก้วโต ซุปถั่วถ้วยเล็ก แกงเผ็ดไก่มาซาล่า นานกระเทียมอีกแผ่น พร้อมเครื่องเคียงอีกหกอย่าง เสิร์ฟมาในถ้วยและจานเซรามิคอย่างดี ผ้าเช็ดปาก ผ้าปูโต๊ะทำจากผ้าไหมลายเข้าชุดกันสมกับเป็นร้านอาหารมีชื่อ รสชาติอาหารคงให้คะแนนแค่พอใช้ได้เพราะเนื้อไก่ดูเหมือนว่ายังปรุงไม่นานพอแทบเกือบดิบ นึกถึงอาหารคำ่มื้อนั้นที่บาหลีเมื่อหลายเดือนก่อนที่จ่ายเงินไปกว่า100$สำหรับอาหารที่ถือว่าแค่ใช้ได้ สุวรรณีไม่เคยเข็ดเรื่องตามรอยรีวิวร้านอาหาร กี่ปีกี่ปีก็ยังทำเหมือนเดิม

   กลับมาถึงห้องก็รู้สึกว่าตัวเองสกปรกพอสำหรับการสระผมเพราะครั้งสุดท้ายที่สระผมน่าจะห้าหรือหกวันก่อน แชมพูพม่าซองละ50จ๊าต3ซองที่ซื้อมาจากตลาดที่มัณฑะเลย์ถูกนำมาทดลองใช้ เข้าท่าแฮะ หอม ฟองเยอะดี อาบนำ้สระผมเสร็จทนเห็นเตียงใหญ่ๆนุ่มๆไม่ไหวก็เลยใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงนอนกลางวัน

  ตื่นมาเกือบห้าโมงเย็นรีบแว๊นอีไบค์ไป Bu Paya วัดที่ตั้งอยู่ริมน้ำอิระวดีเพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินแต่ไม่กล้าอยู่นานจนถึงมืดเพราะระยะทางค่อนข้างไกลและไม่แน่ใจว่าจะหาทางกลับมาที่พักถูกและอีไบค์จะไม่ตายกลางทาง แม่น้ำอิระวดียามเย็นดูขลังและมีเสน่ห์ เรือรับจ้างล่องแม่น้ำอิระวดีเข้าฝั่งกันหมดแล้ว คนเรือรวมกลุ่มกันทำความสะอาดเรือและอาบน้ำไปพร้อมกันดูครึกครื้น แสงสุดท้ายของวันพาดอยู่บนสีทองของเจดีย์Bu Payaทำให้เกิดเงาดูมีมิติ แต่ก็อดนึกถึงเจดีย์องค์ก่อนที่พังลงไปในแม่น้ำด้วยฤทธิ์ของแผ่นดินไหวในปี2518ไม่ได้ว่าจะงดงามเพียงไหน

   ระหว่างทางกลับมาที่พักแวะดื่มชาร้านที่เคยมาเมื่อวาน ชานมพม่าสีเข้มจัดหอมหวานอร่อยชวนดื่ม สนนราคาถ้วยละ400จ๊าตหรือประมาณ13บาท สลัดใบชาจานเล็กวันนี้มาพร้อมช้อนหนึ่งอัน นั่งจิบชาไปนั่งมองวิถีพม่าไป ลูกค้าทุกคนที่นี่เป็นชายก็เลยคิดว่ากิจกรรมจิบชายามค่ำของพม่าน่าจะเป็นกิจกรรมของผู้ชาย พวกเขาจะมากันเป็นกลุ่ม ดื่มชา สูบบุหรี่ เคี้ยวหมาก คุยกัน หัวเราะเฮฮาน่าสนุก ชาวพม่าชอบนุ่งผ้าลาย ยิ่งลายยิ่งอินเทรนด์ ข้างบนลาย ข้างล่างก็ลาย แอ็บสแตรกมาก ฉันเองทุกครั้งที่มาพม่าก็จะนุ่งแต่ผ้าลาย ยิ่งลายยิ่งงามตามเทรนด์พม่า นอกจากร้านขายหมากที่มีอยู่เกือบทุกๆร้อยเมตรริมถนนแล้ว ชาวพม่าก็ชอบเล่นการพนันเป็นงานอดิเรก ฉันเคยไปชะโงกดูเห็นเป็นหอยเบี้ยเขย่าๆแล้วนับ ไม่แน่ใจว่าเขาเรียกว่าเล่นเบี้ยหรือว่าอะไร คราวก่อนที่นั่งรถไฟจากพุกามไปมัณฑะเลย์ฉันเห็นเขาตั้งวงเล่นไพ่บนพื้นท้ายขบวน ประเทศอะไรกิจกรรมเยอะน่ารักชะมัด

  ค่าใช้จ่ายวันนี้
  โรงแรม 835 บาท
  อาหาร เครื่องดื่ม 13,600 จ๊าต
  ตั๋วรถไปย่างกุ้งสำหรับคืนพรุ่งนี้ 18,500 จ๊าต
  เช่าอีไบค์ 5,000 จ๊าต
   
   **รวมค่าใช้จ่ายวันนี้เยอะกว่าวันก่อนๆมาก แต่ก็ยังงงว่าอยู่พุกามมาสองวันแล้วยังไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าเมือง20$ สงสัยเพราะว่าวันที่เข้าเมืองมา มากับรถพม่าไม่ใช่รถนักท่องเที่ยวเขาเลยไม่เก็บเงินเพราะคิดว่าฉันเป็นพม่า










The trails of Thanaka 3

10 มิถุนายน 2559
มัณฑะเลย์ - พุกาม

   สั่งลามัณฑะเลย์วันนี้ด้วยสายฝนปรอยๆ ฝนเช้านี้ตกแบบแปลกๆเป็นละอองหนาๆเหมือนฝนที่อังกฤษ เสร็จจากอาหารเช้าฉันยังมีเวลาเหลืออยู่กว่าจะถึงเวลาเช็คเอาท์ตอนสิบเอ็ดโมง ก็เลยออกไปเดินเล่นตามที่กำลังขาจะพาไป ลัดเลาะไปตามซอกซอยที่เมื่อวานยังไม่ได้ผ่าน ชีวิตชาวพม่ายามเช้าไม่ได้เร่งรีบอะไร นั่งจิบชาไปพร้อมกับเตรียมหมากสำหรับเคี้ยวหลังจากชา นั่งล้อมวงกันกินเครื่องในหมูเสียบไม้ต้มจิ้มกับนำ้จิ้มรสจัด ตลาดก็ยังคงปลุกประสาทสัมผัสทั้งห้าของฉันให้ตื่นตัวได้เสมอ ทุกหัวมุมถนนจะมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างคอยให้บริการ พวกเขาสุภาพมากทักทายและเสนอบริการหากเราปฏิเสธเขาก็ไม่ตื้อแต่จะฉีกยิ้มให้จนเห็นฟันแดงๆดูน่ารัก

   ผู้ชายพม่าแทบทุกคนจะนุ่งโสร่งหรือที่นี่เรียกว่าลองยี โสร่งที่อินเทรนด์ต้องเป็นโสร่งที่เป็นลายตาๆ สีที่คิดว่าน่าจะเป็นที่นิยมคงเป็นสีน้ำเงินเข้ม สีเทาดำ และสีน้ำตาลแก่ เพราะเห็นแต่ละคนนุ่งสีคล้ายๆกันทั้งๆที่ในตลาดมีสีอื่นวางขายมากมาย แอบดูวิธีนุ่งเห็นเขาทบผ้าซ้ายขวาเข้าหากันแล้วเหน็บชายไว้ด้านหน้า เสร็จแล้วก็จะมีโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าตังค์เหน็บไว้ข้างเอว พวกที่ทำงานออฟฟิศหรือทำงานดีๆก็จะใส่เสื้อเชิ้ตขาวรีดซะเนี๊ยบใส่เข้ากับโสร่ง มือหิ้วปิ่นโตซึ่งคาดว่าคงเป็นอาหารกลางวัน พวกที่ทำงานทั่วๆไปก็ใส่เสื้อยืดเสื้อโปโลแล้วแต่ฐานะและหน้าที่การงานว่ากันไป  หนุ่มซอวมินคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่พาฉันเที่ยวเมื่อวานเขาก็ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวรีดเรียบมาให้บริการฉัน แสดงว่าเขาให้เกียรติ์เรา ฉันเสียอีกที่แอบอายเพราะตัวเองนุ่งกางเกงช้างเอวยืดตัวโคร่งกับเสื้อแขนยาวสีมอๆพร้อมคีบรองเท้าแตะสีแดง ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเราเป็นนักเดินทางต้องเอาแบบสบายเราไว้ก่อนแต่ก็ให้ทิปซอวมินไปอย่างงามเพราะถือว่าเขาทำหน้าที่ได้ดีและวางตัวได้เหมาะสม หญิงพม่าชอบใส่ผ้าถุงกับเสื้อพอดีตัว ถึงแม้ว่าลักษณะโครงสร้างของร่างกายหญิงพม่าจะไม่อรชรออ้อนแอ้นเหมือนหญิงเวียดนามแต่หญิงพม่าก็ดูอ่อนหวานมีเสน่ห์ ทั้งหญิงและชายจะเคี้ยวหมากและประทะนาคากันจนหน้าลายพร้อย ฉันสนใจศิลปะการประทะนาคามากเพราะเห็นแต่ละคนก็มีเทคนิคต่างๆกัน บ้างก็ประธรรมดาแบบแต้มๆให้ติดเต็มหน้า บ้างก็ทำเป็นรูปใบไม้หรือไม่แน่ใจว่าจะใช้ใบไม้เป็นพิมพ์หรือไม่ บางคนก็ประให้เป็นริ้วๆเหมือนเอาหวีมากรีด แต่ที่แน่ๆทะนาคาที่พวกเขาใช้ทำมาจากไม้จริงๆแล้วเอามาฝนกับแท่งหินแล้วถึงเอามาประหน้าไม่ได้เป็นทะนาคาหลอดที่ฉันซื้อมาจากท่าขี้เหล็กหลายอาทิตย์ก่อน


   หลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมฉันก็ขึ้นรถเมล์ขนาดกลางที่คนขับบอกว่าจะใช้เวลาราวสี่ชั่วโมงก็จะถึงพุกาม รถเมล์คันนี้เป็นรุ่นคลาสสิคที่ผู้โดยสารทุกคนยกเว้นฉันเป็นชาวพม่า มีเด็ก หนุ่มสาว คนแก่ กระสอบสินค้า กระบุง ตะกร้า และ ไก่ชน เป็นปรกติของคนเมล์พม่าที่จะมีถุงดำห้อยไว้ข้างหลังคนขับซึ่งฉันรู้จากคราวที่แล้วว่านอกจากจะเป็นถุงอ้วกได้แล้วคนพม่าใช้มันสำหรับถ่มน้ำหมาก เด็กท้ายรถจัดที่นั่งที่ฉันคิดว่ามันคงเป็นที่ดีที่สุดให้ฉัน มันเป็นที่นั่งเดี่ยวริมหน้าต่างที่นั่งเดียวในรถและอยู่ริมประตูหน้า ฉันเอาเป้วางลงบนพื้นและใช้เท้ากันไว้ไม่ให้เป้ลื่นไหลหลังจากที่ล้วงอุปกรณ์การนั่งรถเมล์พม่าออกมา หน้ากากอนามัย ผ้าปิดตา ยาดม และผ้าพันคอผืนยักษ์ที่ใช้สำหรับห่มออกมา หลังจากจัดเต็มกับทุกอย่างยกเว้นผ้าปิดตา ฉันก็ปล่อยจินตนาการฉันลื่นไหลไปกับระยะทางเกือบสองร้อยกิโลเมตร รถจอดรับส่งผู้โดยสารอยู่เป็นระยะๆพร้อมกับฝนที่ตกปรอยๆไม่ขาดสาย พ้นเขตมัณฑะเลย์ถนนคอนกรีตก็เปลี่ยนเป็นคอนกรีตบ้างไม่คอนกรีตบ้าง บางช่วงก็เหลือคอนกรีตตรงกลางกว้างไม่เกินเมตร บางช่วงเป็นหลุมพร้อมขี้โคลนที่กระเด็นขึ้นมาถึงหน้าต่างรถ วิวด้านข้างสวยงามเกินบรรยายนัก กระท่อมที่มุงด้วยใบตาลเรียงตัวกันอยู่เป็นหย่อมๆท่ามกลางต้นตาลสูงชลูด คนขับรถม้าบังคับม้าให้เดินหลบลงข้างทางเมื่อมีรถใหญ่ขับผ่าน วัวเทียมเกวียนกำลังทำหน้าที่ขนสัมภาระ เด็กๆนักเรียนริมทางในชุดสีเขียวโบกไม้โบกมือให้รถ สาวพม่าเดินตัวตรงพร้อมข้าวของชิ้นโตที่เทินไว้บนหัว แม่น้ำอิระวดีทอดตัวมองเห็นอยู่ไกลๆ


   รถจอดเติมน้ำมันที่เมืองMuingyanหลังจากขับมาได้กว่าสามชั่วโมง ฉันควักทิชชู่เปียกออกมาจากเป้แล้วโหนตัวออกมาจากรถโดยไม่ให้เท้าแตะพื้นเพราะขี้โคลนที่รออยู่กะความลึกได้คงไม่ต่ำกว่าห้าเซนติเมตร มือหนึ่งจับราวประตูอีกมือลากทิชชู่เปียกไปบนกระจกรถด้านนอก วิชั่นต้องดีเสมอเหมือนกับซื้อตั๋วหนัง ต้องได้ที่นั่งที่ดีและมองเห็นชัดเจนที่สุด สาวพม่าในรถแอบหัวเราะกันคิกคัก รถจอดก็ต้องมีมหกรรมการซื้อและขายของเกิดขึ้น มันเป็นอารยธรรมนานาชาติ เวอร์ชั่นพม่าก็จะเป็น ไข่นกกระทา ถั่วชุบแป้งทอด ผลไม้แช่อิ่ม บุหรี่ และอีกหลายอย่างที่มองไม่ออกว่าคืออะไร ฉันไม่ได้ซื้ออะไรเพราะมีคุกกี้ที่ซื้อมาจากเซเว่นเด่นห้าหลายวันก่อนเหลืออยู่สองสามชิ้น น้ำดื่มขวดเล็กที่หิ้วมาจากโรงแรมก็ยังมีอยู่เต็มขวดและไม่กล้าแม้แต่จะดื่มมันเพราะกลัวปวดฉี่


   เกือบหกชั่วโมงรถเมล์หวานเย็นก็พาฉันมาถึงหน้าโรงแรมที่จองไว้ในเขตNyaung-U เมืองพุกามแบ่งออกเป็นสามเขต พุกามเก่า พุกามใหม่ และ Nyaung-U  ซึ่งเขตที่ฉันพักถือว่าเป็นเขตหน้าด่านก่อนจะเข้าไปพุกามใหม่และพุกามเก่า เป็นเขตที่มีครึกครื้นที่สุด หลายปีก่อนเคยพักที่พุกามใหม่ปรากฏว่าเงียบเกินไป ไม่มีร้านอาหาร ไม่มีร้านให้เช่ารถ ไม่มีอะไรเลยในระแวกนั้น แบกเป้ลงจากรถเดินเข้ามาในโรงแรมแล้วยื่นหมายเลขการจองให้หนุ่มน้อยรีเซฟชั่นดู มองหน้างงๆของรีเซฟชั่นฉันก็รู้เลยว่างานเข้า ไม่มีการจองมาจากอโกด้าคือคำตอบของหนุ่ม ฉันล้วงกระเป๋าหยิบไอแพดออกมาเปิดแล้วโชว์เวาเชอร์ที่ได้รับจากอโกด้าเมื่อเย็นวานให้ดู พร้อมกับยืนยันว่าได้มีการหักเงินผ่านบัตรเครดิตเรียบร้อยแล้ว หนุ่มบอกให้ฉันรอสักครู่ ระหว่างที่รอฉันก็หันไปคุยกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเผื่อว่ามีใครจะไปปีนเจดีย์ดูพระอาทิตย์ตกดินจะได้มีคนแชร์ค่ารถ หลายคนเบ่งรับเบ่งสู้เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีพระอาทิตย์ให้ดูด้วยว่าเมฆฝนเริ่มก่อตัวและลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายหนุ่มรีเซฟชั่นก็หาห้องให้ฉันได้แต่ไม่ได้เป็นห้องเดี่ยวแบบประหยัดที่จองไว้ กลายเป็นห้องสำหรับสามคนกว้างใหญ่ซะจนแอบเหงา ภายในห้องมีเตียงสามเตียง ไม่มีทีวี ไม่มีโต๊ะวางของ ไม่มีมินิบาร์ ไม่มีกาต้มน้ำพร้อมชากาแฟ ไม่มีโคมไฟ และไม่มีห้องน้ำ ห้องอยู่ชั้นบนมุมขวาสุด ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำอยู่ชั้นล่างเดินอ้อมไปอีกไกล ลำบากสมใจสุวรรณีละทีนี้ ไวไฟไม่ต้องพูดถึง มีนะแต่ไม่มีอินเตอร์เน็ต อันนี้ไม่ใช่ปัญหามี3Gใช้


   มีเสียงเคาะประตูห้องฉันรีบออกไปเปิดประตู มีเด็กหนุ่มถือยาพ่นยุงเดินเข้ามา เขาบอกฉันว่าโนพร้อบแบลมเขาแค่จะพ่นยาฆ่ายุงให้จะทำอะไรก็ทำต่อไปตามสบาย ฉันแอบคิดในใจ จะบ้ารึ! หัวกระโหลกไขว้ข้างกระป๋อง ฉีดเอาฉีดเอาแล้วจะให้เรามานั่งสูดเข้าไป ไอว่าไอออกไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า ยูอยากพ่นก็พ่นตามสบายนะแต่เปิดพัดลมแล้วล้อคประตูห้องให้ไอด้วย บ้ะ...อายยยยย...   เดินออกมาเลือกร้านอาหารที่มีอยู่หลายร้านเรียงรายริมถนน อาหารอิตาลี่ อาหารไทย อาหารยุโรป อาหารฝรั่ง ไม่เอามาพม่าจะกินอาหารพม่า อร่อยไม่อร่อยก็จะกินอาหารพม่า เจอร้านที่พม่ามากๆสมใจฉัน มีหนุ่มๆสาวๆพม่ามานั่งจิบชากันเต็มค่อนร้าน ฉันสั่งยำใบชาหนึ่งจานกับผัดผักรวมอีกหนึ่งจาน น่ำไม่สั่งเขามีชาร้อนฟรีให้เต็มกระติก ยำใบชาของจริงไม่ยักกะเหมือนที่เคยกินที่ร้านภูภิรมย์ในไร่บุญรอด หรือที่ร้านอาหารชื่อดังบนดอยแม่สลอง ของเราจะเป็นแบบใบสดหรือไม่ก็ดองแต่ไม่ดองนาน ยำใบชาของพม่าเป็นใบชาที่ดองนานมากจนเป็นเมี่ยง ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจว่าใบชาดองที่เห็นในตลาดวันก่อนเขาเอาไว้ทำอาหารไม่ได้เอาไว้เคี้ยวเป็นเมี่ยงเหมือนบ้านเรา ถึงว่าไม่เคยเห็นพม่าเคี้ยวเมี่ยง


   ระหว่างเดินกลับมาโรงแรมแวะซื้อเบียร์ติดมือมาหนึ่งกระป๋องกะว่าจะกินฉลองให้ตัวเองที่ได้มาพุกามอีกครั้ง แต่พอเปิดชิมกลับไม่อร่อยหรือเป็นเพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ค่อยสนใจจะดื่มแอลกอฮอล์ อีกหนึ่งวันของการเดินทางได้จบลงแล้ว คงเหลือแค่รวบรวมความขยันลงไปอาบนำ้ข้างล่างแล้วขึ้นมานอนในห้องกว้างๆห้องนี้ ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกเตียงไหนดี เตียงหนึ่ง เตียงสอง หรือเตียงสาม


  ค่าใช้จ่ายวันนี้

  ตั๋วรถ 10,000 จ๊าต
  อาหาร เครื่องดื่ม 3,800 จ๊าต
  โรงแรม 434 บาท








 

Thursday, June 9, 2016

The trails of Thanaka 2

 9 มิถุนายน 2559
ชมตลาดในเมืองมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนี สะพานอูเบ็ง

   ตื่นนอนเจ็ดโมงเช้าเพราะวันนี้ไม่ต้องเร่งรีบอะไร เมื่อคืนนี้นึกชึ้นได้ว่าเมื่อครั้งมามัณฑะเลย์เมื่อสองปีก่อนเคยใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างนามว่าอ่องเมียวและได้เก็บเบอร์โทรศัพท์ของเขาไว้ ลองกดโทรศัพท์หาปรากฏว่าอ่องเมียวรับสายและยังจำฉันได้ดีว่าเคยพาฉันไปชิมน้ำตาลเมาที่สะพานอูเบ็ง และฉันเคยขอร้องให้เขาหาหมวกกันน็อคแบบมีหน้ากากให้ฉันใส่ เพราะนำ้หมากเขากระเด็นใส่หน้าฉันตอนที่เขาหันมาคุยกับฉันระหว่างขับมอเตอร์ไซค์ หลังจากถามสารทุกข์สุขดิบกันพอหอมปากหอมคอฉันก็บอกอ่องเมียวว่าฉันอยากไปไหว้พระมหามัยมุนีอีกครั้งและจะเลยไปสะพานอูเบ็งด้วยเหมือนคราวก่อน อ่องเมียวบอกว่าตอนนี้เขาอยู่นอกเมืองและต้องอยู่ต่ออีกสองวันแต่จะส่งเพื่อนมาแทน นัดกับเพื่อนอ่องเมียวนามว่าซอวมินไว้ตอนเที่ยงตรง แปดโมงกว่าๆเดินลงไปห้องอาหารโรงแรม ถึงแม้ว่าไลน์บุฟเฟต์ที่นี่จะไม่ได้เริ่ดหรูอะไรแต่ก็ถือว่าดีมากๆสำหรับสองดาวบวกกับจำนวนเงินที่จ่ายไป มีขาวผัด หมี่ผัด ผัดผัก ซาโมซ่า ผลไม้ ชา กาแฟ ขนมปัง แถมไข่ดาวทอดให้ร้อนๆอีกด้วย สุวรรณีจัดทุกอย่างที่มีอยู่บนโต๊ะกะกินเผื่อมื้ออื่นๆไปเลยจะได้ประหยัดเงินค่าอาหาร กินไปขำไปตามประสาคนงบน้อยแต่อยากเที่ยว ช่วงสายๆหมายตาตลาดไว้สองสามแห่งในตัวเมือง พอเดินเข้าไปเขตตลาดเท่านั้นแหละก็รู้สึกเลยว่ามันใช่ ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ใช่สถานที่ๆเราค้นหา คนลากรถรับจ้าง แม่ค้าขายผักผลไม้ สาวๆนั่งจีบใบพลู คนนั้นกำลังแล่ปลา คนนี้กำลังกำลังคัดมะม่วง คนนู้นกำลังยุ่งอยู่กับสินค้าขายส่งกองเท่าภูเขา คนโน้นก็กำลังร้อยดอกไม้ขาย คนโน่นก็ขายไม้ทานาคาที่ตัดเป็นท่อนๆวางเป็นหมวดหมู่ โอวววววว นี่มันสวรรค์ชัดๆ สวรรค์ของคนชอบถ่ายรูป สวรรค์ของคนที่ชอบเดินทางเสาะแสวงหาความต่าง สวรรค์ของฉัน!

  เดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้เกือบสามชั่วโมงแต่ในความรู้สึกเหมือนแค่ไม่กี่นาที กดชัตเตอร์ไปนับครั้งไม่ถ้วนจนพอใจแล้วก็หลบมานั่งพักกินนำ้สับปะรดริมทาง ชาวพม่าไม่นิยมน้ำแข็ง ถ้าใส่มาให้ก็แค่น้อยนิดซึ่งก็เข้าทางฉันพอดีที่กำลังอยู่ในช่วงลดนำ้ตาลและน้ำแข็ง นำ้สับปะรดแก้วที่ได้มาเขาก็แค่เอาสับปะรดมาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่ไปในแก้วเติมน้ำแข็งเติมน้ำเปล่า มันคงเป็นเวอร์ชั่นพม่า ฉันบอกกับตัวเองเบาๆ ฉันสนใจอยากซื้อของหลายอย่างกลับบ้านแต่ก็ตัดสินใจไม่ซื้อเพราะยังต้องเดินทางอีกหลายวันและเป้ใบเล็กที่แบกมาก็คงบรรจุอะไรเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว ผ้าทอพม่ามีลวดลายสวยแปลกตาทำให้คนบ้าผ้าอย่างฉันแอบเคลิ้มไปหลายนาทีได้เหมือนกัน กระปุกออมสินที่ทำจากกระป๋องบรรจุอาหารและแกลอนน้ำมันมันก็ทำเอาใจฉันแทบละลาย มันวินเทจชะมัดไอเดียพี่หม่องคนนี้ สุดท้ายฉันได้แค่หวีมาหนึ่งอันเพราะตั้งแต่ออกบ้านมาก็ยังไม่ได้หวีผมด้วยเหตุว่าลืมหวี. คนพม่าน่ารักนักทำให้การเดินทางมันสนุกมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนหลอกหรือโดนโกง พวกเขามีอัธยาสัยดี ชอบยิ้ม ชอบทักทาย พอเห็นฉันถือกล้องก็รีบฉีกยิ้มเชื้อเชิญให้ถ่ายรูป พอฉันเอารูปให้เขาดูเขาก็ดีใจปรบมือโห่ร้องกันครื้นเครง

   ระหว่างที่ฉันเดินๆอยู่มีเด็กผู้ชายตัวผอมอายุไม่น่าเกินห้าขวบอุ้มน้องตัวเล็กแบเบาะมาสะกิดขาฉันพร้อมกับแบมือ ฉันหยุดคิดไปถึงพม่าท่าขี้เหล็กที่พอเราให้เงินเด็กแล้วเขาจะพาพวกมาอีกยี่สิบคน ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง ให้ดีหรือไม่ให้ดี? สุดท้ายฉันตัดสินใจให้ไปสองร้อยจ๊าต เด็กผงกหัวขอบคุณฉันแล้วเดินจากไป ฉันหันมองไปรอบๆรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น.... เงียบมาก มันเป็นนาทีที่เงียบมาก ไม่มีใครตามมาขอเงิน ไม่มีเด็กคนอื่น ไม่มีอะไรทั้งนั้น บางที่ประสบการณ์ที่ไม่ดีมันก็ทำให้เรามองโลกในแง่ร้าย ทำให้เราสูญเสียวินาทีแห่งความสุข ทำให้โลกของเราแคบไปอีกเยอะ จำเอาไว้เป็นบทเรียนสุวรรณี เดินต่อมาเรื่อยๆบนทางเท้าแคบๆที่เลอะไปด้วยนำ้หมากฉันเห็นยายแก่ๆกำลังขายขนมจีนอยู่ใต้ต้นไม้ ใช้มือดำๆของแกขยำเส้นขนมจีนให้เข้ากับน้ำซุปและพริกป่น แล้วยื่นให้กับลูกค้าตรงหน้า ฉันมองตามมือแกแล้วมองเลยไปถึงลูกค้า เด็กชายตัวผอมอุ้มน้องตัวเล็กคนเดียวกันกับที่ฉันเจอเมื่อครู่! เด็กยื่นเงินสองร้อยจ๊าตที่คงจะเป็นใบเดียวกับที่ฉันให้ไปให้กับยายคนขายแลกกับขนมจีนถ้วยนั้น ฉันหย่อนตัวลงนั่งข้างกระจาดขนมจีน ล้วงเงินสองร้อยจ๊าตออกจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้เด็กอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มให้เด็กน้อยแล้วเดินต่อไป กินให้อิ่มนะเด็กน้อย ขอโทษด้วยที่เคยคิดในแง่ร้าย จำเรื่องราวอันนี้ไว้ให้ดีนะสุวรรณี

   เที่ยงตรงเดินกลับมาถึงโรงแรม หม่องซอวมินนั่งควบมอเตอร์ไซค์รอฉันอยู่หน้าโรงแรมแล้ว ทักทายทำความรู้จักกันแล้วก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์หม่องไปวัดมหามัยมุนี หม่องรู้ทันฉันหรือไม่ก็อ่องเมียวคงบอกมาก็เลยจัดหมวกกันน็อคแบบมีหน้ากากให้ ฉันแอบเก้อเพราะมาพม่ารอบนี้จัดมาทั้งหน้ากากอนามัย แว่นกันแดด กันน้ำหมากกระเด็นใส่หน้า 555 มาถึงวัดฉันถอดอีแตะเหน็บไว้ข้างมอเตอร์ไซค์ตามประสาคนรู้งาน เดินเท้าเปล่าเข้าไปในวัดซึ่งตอนแรกกะว่าจะแค่ไปกราบพระแต่เห็นความงามขององค์พระก็อดใจไม่ไหวต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป โดนค่ากล้องไปหนึ่งพันจ๊าตตามธรรมเนียม ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปกราบพระมหามัยมุนีใกล้ๆได้ จะถูกกั้นให้นั่งโซนหลังจากผู้ชาย ผู้ชายสามารถเดินเข้าไปปิดทองถึงองค์พระได้ นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันไม่ได้มาร่วมพิธีล้างหน้าพระตอนตีสี่ทั้งๆที่มีโอกาสได้มาวัดนี้ถึงสองครั้งแล้ว ก็ได้แต่นั่งมองอยู่ไกลๆชื่นชมความงดงามและเหลืองอร่ามขององค์พระที่เกิดจากการปิดทอง เขาเล่ากันว่าองค์พระนิ่มมากเพราะเกิดจากการปิดทองซำ้แล้วซ้ำอีก เป็นบุญตาเหลือเกินที่ได้มาเห็น สาธุ สาธุ สาธุ

   ประวัติพระมหามัยมุนีแบบย่อๆ
พระมหามัยมุนีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของพม่าเปรียบได้กับพระแก้ว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า
คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า "ผู้รู้อันประเสริฐ" ชาวพม่าจะเรียกว่า มหาเมียะมุนี เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ มีตำนานเล่าว่า สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์ สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หนัก 6.5 ตัน ก่อนสร้าง กษัตริย์ผู้สร้างทรงพระสุบินว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทานพรให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้ เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องสืบพระศาสนาไปในภายหน้า โดยในอดีต แม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่นที่ทรงแสนยานุภาพอย่างไร ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ ต้องมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าปดุงแห่งราชวงศ์คองบองสามารถตียะไข่ได้ และได้อัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากยะไข่ได้ในปี2327 โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดีมายังเมืองมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนีจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์เป็นการถาวรนับแต่นั้นเป็นต้นมา.

   จากวัดมหามัยมุนีก็มาต่อที่สะพานอูเบ็ง สะพานไม้คลาสสิคที่ฉันคิดว่าเป็นสะพานที่สวยที่สุดที่เคยเห็นมา เป็นสะพานที่ทำจากไม้ที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 2 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในตอนใต้ของเมืองอมรปุระ สร้างจากไม้สักที่รื้อมาจากพระราชวังเก่าแห่งกรุงอังวะเมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากอังวะ มายังอมรปุระจำนวน 1,208 ต้น เพื่อใช้ทำเป็นเสา สะพานอูเบ็ง ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน มุ่งตรงไปยังเจดีย์เจ๊าต่อซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ ชื่ออูเบ็งนั้นเป็นชื่อของขุนนางที่มีนามว่า “อูเบียน” พระเจ้าปดุง โปรดฯให้มาทำหน้าที่เป็นแม่กองงานสร้างสะพาน ซึ่งตั้งอยู่ที่อมรปุระก่อนจะเข้าถึงตัวเมืองมัณฑะเลย์ ฉันเดินข้ามสะพานไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งและใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในวัดและเจดีย์แถวนั้น มีเด็กผู้หญิงตัวดำๆสามสี่คนมาคุยด้วย น่าขำที่เด็กๆพยายามสื่อสารกับฉันด้วยประโยคเดียวว่า มาย เนม อีส แล้วก็ชี้ไปเป็นคนคนว่า คนนี้ก็มายเนมอีส คนนั้นก็มายเนมอีส พอชี้มาถึงฉันก็บอกว่าฉันว่ามายเนมอีส พอฉันบอกชื่อเด็กๆดีใจที่สามารถสื่อสารกันได้ เด็กคนหนึ่งล้วงเมล็ดสีเขียวเล็กๆออกมาใส่มือฉันพร้อมกับทำท่าเอาใส่ปากแล้วทำท่าเข็ดฟัน ฉันทำตามและรู้รสว่าน่าจะเป็นผลผลิตจากป่าแถวนี้ เด็กคนที่แก่นที่สุดชี้ไปที่เป้ฉันและทำท่าทางกิน ฉันส่ายหัวบอกไปว่าไม่มีของกินติดมาด้วย มีแต่นำ้เปล่าครึ่งขวด พวกเขาทำหน้าตาผิดหวังทำให้ฉันนึกไปถึงตอนตัวเองเป็นเด็ก ตอนนั้นก็อดอยากนักไม่ค่อยได้ลิ้มรสขนม ไม่มีของเล่น ไม่ได้ไปไหน ฉันตัดสินใจหยิบเงินออกมาสี่ร้อยจ๊าตยื่นให้พวกเขาเอาไปแบ่งกันแล้วชี้ไปที่ทางร้านขายของหน้าวัดพร้อมแสดงท่ากินให้ดู เด็กๆดีใจ เข้ามาแตะมือไฮไฟว์พร้อมกับจูบหน้าผากฉันทีละคน รักเด็กนะสุวรรณีนะ

  เดินข้ามสะพานกลับมานั่งพักเหนื่อยที่ร้านริมทะเลสาปตองตะมานเห็นเมฆฝนก่อตัวมาแต่ไกลก็เลยตัดสินใจจะไม่รอดูพระอาทิตย์ตกดิน ปลอบใจตัวเองว่าพระอาทิตย์ตกดินที่สะพานอูเบ็งคราวที่แล้วยังสวยงามอยู่ในใจฉันอยู่ สั่งผัดหมี่มากินระหว่างรอซอวมินกลับมารับ หมี่จานยักษ์พร้อมราคานักท่องเที่ยวกับลูกตาลสดที่ซื้อมาจากบนสะพานเข้าไปนอนรอเวลาย่อยอยู่ในท้อง อิ่มท้อง อิ่มตา อิ่มใจ ซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับมาถึงโรงแรมก่อนฝนลงเม็ดแต่ไม่กี่นาที ลาหม่องแว๊นพร้อมยื่นค่าบริการบวกทิปให้ หม่องบอกรอเดี๋ยวแล้วกดโทรศัพท์ให้ฉันคุยกับอ่องเมียว อืมมมม ทีมงานนี้เขาบริการดีจริงๆ

  จัดการจองตั๋วรถรอบเที่ยงไปพุกามพรุ่งนี้ นอนแช่น้ำอุ่นจนหนำใจเพราะคืนพรุ่งนี้ที่พุกามคงไม่โชคดีได้นอนห้องดีๆแบบนี้อีก ใครจะไปรู้โชคชะตาอาจจะนำพาให้เจออะไรดีๆอีกก็ได้ ก้าวต่อไปสุวรรณีน้อย

  ค่าใช้จ่ายวันนี้
  ค่าโรงแรม 623 บาท
  น้ำดื่ม + อาหาร 3,600 จ๊าต
  หวี 800 จ๊าต
  ให้ขอทาน ซื้อดอกไม้ไหว้พระ ขนมเด็ก 1,200 จ๊าต
  ค่าธรรมเนียมกล้องถ่ายรูป 1,000 จ๊าต
  ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง 10,000 จ๊าต










The trails of Thanaka 1

8 มิถุนายน 2559
เชียงราย - กรุงเทพ - มัณฑะเลย์

   ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีสี่ นาทีแรกๆที่ตื่นขึ้นมายังรู้สึกงงๆว่าทำไมต้องตื่นมาแต่มืด หรือวันนี้มีงานแต่เช้า หรือว่าจะไปใส่บาตร หรือว่า??  ไม่ใช่สิ!!!! วันนี้ต้องรีบไปสนามบินให้ทันไฟรท์เช้าที่สุดที่ออกจากเชียงรายไปดอนเมือง แล้วต่อเครื่องดอนเมืองไปมัณฑะเลย์  งานอาบนำ้แต่งตัวจึงเกิดขึ้นแบบเนิบๆเพราะวางแผนเวลาไว้แล้ว เป้28ลิตรที่บรรจุเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งกล้องถ่ายรูปตัวเก่งตั้งรออยู่แล้วพร้อมที่จะเหวี่ยงขึ้นหลังได้ทุกเมื่อ

   ควบเวสป้าคันเก่งออกจากบ้านมาตอนตีห้ากว่าๆ อากาศเย็นสบาย ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะไม่แจ่มใสสักเท่าไหร่แต่ก็ยังโชคดีที่ฝนไม่ตก ลมเย็นๆตีใส่หน้าทำให้ฉันรู้สึกเรียลเป็นที่สุด เรียลที่กำลังมีชีวิตอยู่ เรียลที่กำลังออกเดินทางในโลกกว้าง และเรียลมากจนมองเห็นตัวเองเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง   คนกวาดถนน หมาคุ้ยขยะ แม่ค้าหมูปิ้งกำลังก่อไฟ นักปั่นจักรยาน ภูเขาเขียวๆที่มีเมฆขาวๆลอยต่ำคาดทับ อืมมมมมม อากาศตอนเช้ามันดีอย่างนี้เอง คนตื่นสายไม่มีทางได้สัมผัสฟิลนี้หรอก

  จอดเวสป้าไว้ในโรงจอดมอเตอร์ไซค์สนามบินที่มีหลังคากันแดดกันฝนให้เป็นอย่างดี แอบหัวเราะเบาๆประหยัดค่าแท็กซี่ไปกลับเหนาะๆสามร้อยบาท คริคริ เรื่องหายไม่ต้องกลัวชิปที่ติดไว้เอาอยู่ เดินสบายๆเข้าไปในตัวอาคารสนามบิน ไม่มีกระเป๋าให้โหลด ไม่ต้องเช็คอิน ทุกอย่างจัดการออนไลน์มาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน แค่เดินตรงไปข้างในแล้วโชว์บอร์ดดิ้งพาสที่ปริ้นท์ออกมาจากบ้านก็ผ่านชิวๆ หนุ่มน้อยเอ็กซเรย์กระเป๋าทักมาว่าคุณพี่มีของเหลวในเป้นะครับ อืมมมม คุณพี่ลืมไปว่าคุณพี่มีนำ้ส้มครึ่งลิตรกับนมเปรี้ยวอีกครึ่งลิตรที่แวะซื้อมาจากเซเว่นเด่นห้าและกะจะมากินก่อนเข้าเกท ไม่เป็นไรครับคุณพี่ก็เลยโชว์การกินของเหลวหนึ่งลิตรในเวลาสามนาทีให้เจ้าหน้าที่ตรวจสัมภาระดูซะตรงนั้น ผ่านเข้ารอบต่อไปคะ

   แปดโมงกว่าๆมาถึงดอนเมืองเดินขึ้นไปชั้นบนต่อไปขาออกระหว่างประเทศชิวๆเหมือนเดิมเพราะอันนี้ก็เช็คอินมาล่วงหน้าแล้วแบบอี-บอร์ดดิ้งพาส แค่ควักสมาร์ทโฟนโชว์เจ้าหน้าที่หน้าประตู เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ก็ได้มานั่งเกร๋ๆรอหน้าเกท ประหยัดเวลาเข้าแถวรอเช็คอิน โน่น นี่ นั่นอีกนับชั่วโมง เทคโนโลยีมันดีอย่างนี้นี่เองเนาะ

   เที่ยงกว่าๆหางแดงเจ้าประจำก็พาร่อนลงสนามบินมัณฑะเลย์ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีสุวรรณีน้อยก็นั่งในแชร์แท็กซี่พร้อมจะเข้าเมืองแล้ว มาพม่าคราวนี้ไม่ต้องเสียเวลาแลกเงินที่สนามบินเพราะของเก่ายังพอมีเหลือบวกกับเมื่อวานได้แลกมาจากแม่สายด้วย ไม่ต้องเสียเวลาซื้อซิมการ์ดเพราะซิมการ์ดของคราวที่แล้วยังใช้ได้อยู่ อีเมล์ ไลน์ เฟสบุ๊ค สวาม บล้อคสปอต พร้อมเสมอจ้ะ

   หนึ่งชั่วโมงในแชร์แท็กซี่กับเพื่อนร่วมทางอีกสามคน หนึ่งคนจากอเมริกา สองคนจากอัฟริกาใต้ เม้าท์มอยซอยหยวกกันไปพอหอมปากหอมคอก่อนจะแยกย้ายกันไปที่พักใครที่พักมันแต่คงต้องได้เจอกันอีกแน่เพราะแผนของแต่ละคนคล้ายๆกัน หม่องแท็กซี่มาส่งฉันเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม ไนล่อนโฮเทล โรงแรมสองดาวเล็กๆที่จองผ่านอโกด้าไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน เพราะโรงแรมในพม่าค่อนข้างแพงและฉันเองก็งบน้อยถึงน้อยมากจึงจองแค่ห้องเดี่ยวแบบถูกที่สุดและใช้ห้องน้ำรวม สนนราคาหกร้อยกว่าบาทต่อคืน แต่พอมาเช็คอินลุงหม่องเจ้าของโรงแรมเกิดใจดีมากกกกกก ให้พนักงานพามีสสุวรรณีเดินอ้อมหลังโรงแรมไปอีกตึกหนึ่งซึ่งก็เป็นไนล่อนโฮเทลเหมือนกันแต่ใหม่มาก คงน่าจะพึ่งสร้างเสร็จและเปิดให้บริการมาไม่กี่เดือน ห้องที่ให้พักถึงจะเป็นห้องเล็กๆแต่ก็เหมาะสำหรับคนเดินทางคนเดียว ห้องพร้อมอาหารเช้า มีแอร์ มีทีวีจอแบนติดฝาผนัง มีกาต้มนำ้พร้อมชา กาแฟ ตู้เย็นพร้อมน้ำดื่ม ไฮไลต์คือห้องน้ำที่มีอ่างอาบน้ำ!! มายก้อด กะจะมาแบกเป้ กินอยู่แบบมินิมั่ม กลับกลายเป็นชีวิตดี๊ดีไปซะงั้น ต้องขอบคุณลุงหม่องจาก Nylon Hotel, corner of 25 & 83 Street, North Mandalay ที่เอ็นดูสุวรรณี. ใครมาเที่ยวมัณฑะเลย์ก็ขอแนะนำโรงแรมนี้นะ ทำเลดี สะอาด บริการเยี่ยม.

   พักผ่อน จิบชาพม่าอยู่ในห้อง พร้อมกับชาร์จแบตกล้องถ่ายรูป แบตโทรศัพท์ บ่ายแก่ๆออกไปเดินเล่นโดยตั้งจุดหมายไว้ที่หอนาฬิกาและตลาดสองสามที่ในระแวกเดียวกัน ระหว่างทางเดินผ่านร้านไอติมเห็นคนนั่งกันเยอะแยะเพราะโลเคชั่นดีอยู่ติดถนนหมายเลขแปดสิบสาม มีคนผ่านไปมาน่าสนใจดี ลองนั่งดูพร้อมกับสั่งไอติมอาโวคาโด้ตามที่เห็นในเมนู คำตอบคือไม่มี สั่งอันถัดไปไอติมมะม่วง ไม่มีคือคำตอบครั้งที่สองของหนุ่มพม่า อืมมมมมม งั้นเอาไอติมทุเรียนละกัน อันนี้มี! หนุ่มตอบพร้อมยิ้มกว้างโชว์ฟันสีแดงคล้ำทั้งปาก หนุ่มถ่มน้ำหมากปริ้ดลงพื้นก่อนจะเข้าไปหลังร้านตักไอติมทุเรียนถ้วยเล็กมาเสิร์ฟ นั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาจนเบื่อก็ลุกขึ้นไปจ่ายตังสนนราคา800จ๊าต แล้วเดินต่อไปทางหอนาฬิกา ข้ามสี่แยกไปตลาดเห็นแม่ค้ากำลังเร่งเก็บข้าวของกันชุลมุนเพราะเมฆฝนกำลังก่อตัว ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปได้ไม่กี่รูปก็ต้องยอมแพ้เพราะนายแบบนางแบบทั้งหลายอยู่ไม่นิ่ง พรุ่งนี้ค่อยกลับมาใหม่ก็ได้

   เดินทะลุตลาดมาเจอยอดเจดีย์แหลมๆอยู่ข้างหน้าลิบๆ เร่งฝีเท้าเข้าไปหาปรากฏว่าเป็นเจดีย์ Shwe Kye Myin เป็นเจดีย์เดียวกันกับที่เคยมาเมื่อสองปีก่อน คงเป็นเพราะโชคชะตา หรือบุญวาสนาถึงได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ถอดอีแตะหิ้วตั้งแต่ทางเดินเข้าเจดีย์จนถึงสุดทางออกเจดีย์ คนพม่าเคร่งครัดกับเรื่องการถอดรองเท้าในบริเวณศาสนะสถานมาก เรื่องนี้ฉันเตรียมพร้อมมาอย่างดี ทุกครั้งที่มาพม่าจะมีรองเท้ามาด้วยสองคู่ รองเท้าผ้าใบใช้เดินทาง อีแตะแบบบ้านๆถอดง่ายพกสะดวกเอาไว้ใส่ไปเที่ยววัดชมเจดีย์ ถอดออกปุ๊บเอาใส่ถุงหิ้วเหน็บไว้ข้างเป้เดินเท้าเปล่า ออกนอกเขตก็ล้วงมาใส่ต่อสบาย เจดีย์ Swe Kye Myinนี้สร้างโดยเจ้าชายMin Shin Saw, พระราชบุตรองค์แรกของพระเจ้า Alaung Sithu แห่งเมืองพุกาม ระหว่างปีพ.ศ.1655 ถึงปีพ.ศ.1710  (ไม่ขอสะกดชื่อเจดีย์กับชื่อคน เพราะไม่แน่ใจว่าเขาออกเสียงยังไง) เดินชมความงามของเจดีย์ไปทะลุออกอีกฝั่งของเมือง เดินเลาะกำแพงไปเรื่อยไเพื่อหาทางกลับโรงแรมแต่ปรากฏว่าฝนลงมาห่าใหญ่ ชายคาตึก/บ้านของพม่าสั้นเกินกว่าจะใช้เป็นที่หลบฝนจึงไปแอบหลบอยู่ใต้ต้นไม้แต่ด้วยเหตุที่ฝนตกหนักเกินไปร่มไม้ก็เอาไม่อยู่ นึกสมน้ำหน้าตัวเองที่ลืมซื้อเสื้อกันฝนมาด้วย โชคยังดีที่เป้ที่ใช้อยู่มีผ้ายางคลุมฝนในตัว ควักผ้ายางขึ้นคลุมเป้ซึ่งบรรจุกล้องถ่ายรูป โทรศัพท์ พาสปอร์ต เงินและอีกหลายๆอย่าง ไหนๆก็เปียกแล้วเลยเดินลุยฝนเป็นเพื่อนพม่าซะเลย พวกเขาไม่เห็นจะสนใจกับสายฝนที่ตกลงมา ยังเดินตากฝนกันชิวๆตัวเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า หนุ่มขายหมากก็นั่งเฮฮาตากฝนขายหมากกันไป ฉันถลกขากางเกงขึ้นถึงกลางน่องเพราะเริ่มเห็นนำ้ที่เดินลุยอยู่เป็นสีแดงคล้ำจากนำ้หมากที่ถูกถ่มลงพื้น ไม่ได้นึกรังเกียจนำ้แดงๆนั่นแต่กลัวกางเกงยีนส์ที่เอามาด้วยแค่ตัวเดียวตัวนี้จะเปื้อนแล้วจะไม่มีอะไรนุ่งกลับบ้าน แค่น้ำหมากไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร เผลอๆอาจจะเป็นยาด้วยซ้ำเพราะตอนเด็กๆเคยเห็นยายใช้สีเสียดทาแก้น้ำกัดเท้า เดินลุยนำ้มาพอชื่นฉ่ำหัวใจก็แวะกินหมี่เหลืองแห้งริมทาง อาศัยชี้ๆเอาก็ได้หมี่ถ้วยโตมาเป็นอาหารมื้อแรกของวันถ้าไม่นับแซนวิชจากเซเว่นเด่นห้าเช้ามืดวันนี้ รสชาติเที่ยบไม่ได้กับหมี่เหลืองไทยแต่ก็ได้อีกฟิลหนึ่ง แปลกสถานที่ แปลกผู้คน แปลกภาษา

  กลับมาถึงโรงแรมเปิดน้ำอุ่นจัดใส่อ่างนอนแช่จนสบายแล้วรีบเช็ดผมเช็ดตัวให้แห้งก่อนที่หวัดจะถามหา วันแรกของการเดินทางของสุวรรณีน้อยจบลงแบบง่วงๆ พรุ่งนี้ว่ากันใหม่นะ ราตรีสวัสดิ์มัณฑะเลย์

ค่าใช้จ่ายวันนี้
ตั๋วเครื่องบินเชียงราย-ดอนเมือง 625 บาท
ตั๋วเครื่องบินดอนเมือง-มัณฑะเลย์ 1,350 บาท
ค่าโรงแรม 623 บาท
ขนมเซเว่นเด่นห้า 132บาท
น้ำดื่มที่สนามบินดอนเมือง 25 บาท
เติมเงินอินเตอร์เน็ตพม่า 12,000 จ๊าต
แท็กซี่สนามบินมัณฑะเลย์-ไนล่อนโฮเทล 4,000 จ๊าต
ไอติมทุเรียน 800 จ๊าต
ให้ขอทาน100 จ๊าต
หมี่เหลือง 800 จ๊าต

1บาทแลกได้ประมาณ33จ๊าต
ลงให้แบบละเอียดยิบ เผื่อใครจะตามรอย ขออานิสงส์นั้นส่งผลให้สุวรรณีน้อยได้เที่ยวจนครบทุกประเทศเต้ออออออ สาธุ