ชมตลาดในเมืองมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนี สะพานอูเบ็ง
ตื่นนอนเจ็ดโมงเช้าเพราะวันนี้ไม่ต้องเร่งรีบอะไร เมื่อคืนนี้นึกชึ้นได้ว่าเมื่อครั้งมามัณฑะเลย์เมื่อสองปีก่อนเคยใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างนามว่าอ่องเมียวและได้เก็บเบอร์โทรศัพท์ของเขาไว้ ลองกดโทรศัพท์หาปรากฏว่าอ่องเมียวรับสายและยังจำฉันได้ดีว่าเคยพาฉันไปชิมน้ำตาลเมาที่สะพานอูเบ็ง และฉันเคยขอร้องให้เขาหาหมวกกันน็อคแบบมีหน้ากากให้ฉันใส่ เพราะนำ้หมากเขากระเด็นใส่หน้าฉันตอนที่เขาหันมาคุยกับฉันระหว่างขับมอเตอร์ไซค์ หลังจากถามสารทุกข์สุขดิบกันพอหอมปากหอมคอฉันก็บอกอ่องเมียวว่าฉันอยากไปไหว้พระมหามัยมุนีอีกครั้งและจะเลยไปสะพานอูเบ็งด้วยเหมือนคราวก่อน อ่องเมียวบอกว่าตอนนี้เขาอยู่นอกเมืองและต้องอยู่ต่ออีกสองวันแต่จะส่งเพื่อนมาแทน นัดกับเพื่อนอ่องเมียวนามว่าซอวมินไว้ตอนเที่ยงตรง แปดโมงกว่าๆเดินลงไปห้องอาหารโรงแรม ถึงแม้ว่าไลน์บุฟเฟต์ที่นี่จะไม่ได้เริ่ดหรูอะไรแต่ก็ถือว่าดีมากๆสำหรับสองดาวบวกกับจำนวนเงินที่จ่ายไป มีขาวผัด หมี่ผัด ผัดผัก ซาโมซ่า ผลไม้ ชา กาแฟ ขนมปัง แถมไข่ดาวทอดให้ร้อนๆอีกด้วย สุวรรณีจัดทุกอย่างที่มีอยู่บนโต๊ะกะกินเผื่อมื้ออื่นๆไปเลยจะได้ประหยัดเงินค่าอาหาร กินไปขำไปตามประสาคนงบน้อยแต่อยากเที่ยว ช่วงสายๆหมายตาตลาดไว้สองสามแห่งในตัวเมือง พอเดินเข้าไปเขตตลาดเท่านั้นแหละก็รู้สึกเลยว่ามันใช่ ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ใช่สถานที่ๆเราค้นหา คนลากรถรับจ้าง แม่ค้าขายผักผลไม้ สาวๆนั่งจีบใบพลู คนนั้นกำลังแล่ปลา คนนี้กำลังกำลังคัดมะม่วง คนนู้นกำลังยุ่งอยู่กับสินค้าขายส่งกองเท่าภูเขา คนโน้นก็กำลังร้อยดอกไม้ขาย คนโน่นก็ขายไม้ทานาคาที่ตัดเป็นท่อนๆวางเป็นหมวดหมู่ โอวววววว นี่มันสวรรค์ชัดๆ สวรรค์ของคนชอบถ่ายรูป สวรรค์ของคนที่ชอบเดินทางเสาะแสวงหาความต่าง สวรรค์ของฉัน!
เดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้เกือบสามชั่วโมงแต่ในความรู้สึกเหมือนแค่ไม่กี่นาที กดชัตเตอร์ไปนับครั้งไม่ถ้วนจนพอใจแล้วก็หลบมานั่งพักกินนำ้สับปะรดริมทาง ชาวพม่าไม่นิยมน้ำแข็ง ถ้าใส่มาให้ก็แค่น้อยนิดซึ่งก็เข้าทางฉันพอดีที่กำลังอยู่ในช่วงลดนำ้ตาลและน้ำแข็ง นำ้สับปะรดแก้วที่ได้มาเขาก็แค่เอาสับปะรดมาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่ไปในแก้วเติมน้ำแข็งเติมน้ำเปล่า มันคงเป็นเวอร์ชั่นพม่า ฉันบอกกับตัวเองเบาๆ ฉันสนใจอยากซื้อของหลายอย่างกลับบ้านแต่ก็ตัดสินใจไม่ซื้อเพราะยังต้องเดินทางอีกหลายวันและเป้ใบเล็กที่แบกมาก็คงบรรจุอะไรเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว ผ้าทอพม่ามีลวดลายสวยแปลกตาทำให้คนบ้าผ้าอย่างฉันแอบเคลิ้มไปหลายนาทีได้เหมือนกัน กระปุกออมสินที่ทำจากกระป๋องบรรจุอาหารและแกลอนน้ำมันมันก็ทำเอาใจฉันแทบละลาย มันวินเทจชะมัดไอเดียพี่หม่องคนนี้ สุดท้ายฉันได้แค่หวีมาหนึ่งอันเพราะตั้งแต่ออกบ้านมาก็ยังไม่ได้หวีผมด้วยเหตุว่าลืมหวี. คนพม่าน่ารักนักทำให้การเดินทางมันสนุกมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนหลอกหรือโดนโกง พวกเขามีอัธยาสัยดี ชอบยิ้ม ชอบทักทาย พอเห็นฉันถือกล้องก็รีบฉีกยิ้มเชื้อเชิญให้ถ่ายรูป พอฉันเอารูปให้เขาดูเขาก็ดีใจปรบมือโห่ร้องกันครื้นเครง
ระหว่างที่ฉันเดินๆอยู่มีเด็กผู้ชายตัวผอมอายุไม่น่าเกินห้าขวบอุ้มน้องตัวเล็กแบเบาะมาสะกิดขาฉันพร้อมกับแบมือ ฉันหยุดคิดไปถึงพม่าท่าขี้เหล็กที่พอเราให้เงินเด็กแล้วเขาจะพาพวกมาอีกยี่สิบคน ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง ให้ดีหรือไม่ให้ดี? สุดท้ายฉันตัดสินใจให้ไปสองร้อยจ๊าต เด็กผงกหัวขอบคุณฉันแล้วเดินจากไป ฉันหันมองไปรอบๆรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น.... เงียบมาก มันเป็นนาทีที่เงียบมาก ไม่มีใครตามมาขอเงิน ไม่มีเด็กคนอื่น ไม่มีอะไรทั้งนั้น บางที่ประสบการณ์ที่ไม่ดีมันก็ทำให้เรามองโลกในแง่ร้าย ทำให้เราสูญเสียวินาทีแห่งความสุข ทำให้โลกของเราแคบไปอีกเยอะ จำเอาไว้เป็นบทเรียนสุวรรณี เดินต่อมาเรื่อยๆบนทางเท้าแคบๆที่เลอะไปด้วยนำ้หมากฉันเห็นยายแก่ๆกำลังขายขนมจีนอยู่ใต้ต้นไม้ ใช้มือดำๆของแกขยำเส้นขนมจีนให้เข้ากับน้ำซุปและพริกป่น แล้วยื่นให้กับลูกค้าตรงหน้า ฉันมองตามมือแกแล้วมองเลยไปถึงลูกค้า เด็กชายตัวผอมอุ้มน้องตัวเล็กคนเดียวกันกับที่ฉันเจอเมื่อครู่! เด็กยื่นเงินสองร้อยจ๊าตที่คงจะเป็นใบเดียวกับที่ฉันให้ไปให้กับยายคนขายแลกกับขนมจีนถ้วยนั้น ฉันหย่อนตัวลงนั่งข้างกระจาดขนมจีน ล้วงเงินสองร้อยจ๊าตออกจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้เด็กอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มให้เด็กน้อยแล้วเดินต่อไป กินให้อิ่มนะเด็กน้อย ขอโทษด้วยที่เคยคิดในแง่ร้าย จำเรื่องราวอันนี้ไว้ให้ดีนะสุวรรณี
เที่ยงตรงเดินกลับมาถึงโรงแรม หม่องซอวมินนั่งควบมอเตอร์ไซค์รอฉันอยู่หน้าโรงแรมแล้ว ทักทายทำความรู้จักกันแล้วก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์หม่องไปวัดมหามัยมุนี หม่องรู้ทันฉันหรือไม่ก็อ่องเมียวคงบอกมาก็เลยจัดหมวกกันน็อคแบบมีหน้ากากให้ ฉันแอบเก้อเพราะมาพม่ารอบนี้จัดมาทั้งหน้ากากอนามัย แว่นกันแดด กันน้ำหมากกระเด็นใส่หน้า 555 มาถึงวัดฉันถอดอีแตะเหน็บไว้ข้างมอเตอร์ไซค์ตามประสาคนรู้งาน เดินเท้าเปล่าเข้าไปในวัดซึ่งตอนแรกกะว่าจะแค่ไปกราบพระแต่เห็นความงามขององค์พระก็อดใจไม่ไหวต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป โดนค่ากล้องไปหนึ่งพันจ๊าตตามธรรมเนียม ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปกราบพระมหามัยมุนีใกล้ๆได้ จะถูกกั้นให้นั่งโซนหลังจากผู้ชาย ผู้ชายสามารถเดินเข้าไปปิดทองถึงองค์พระได้ นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันไม่ได้มาร่วมพิธีล้างหน้าพระตอนตีสี่ทั้งๆที่มีโอกาสได้มาวัดนี้ถึงสองครั้งแล้ว ก็ได้แต่นั่งมองอยู่ไกลๆชื่นชมความงดงามและเหลืองอร่ามขององค์พระที่เกิดจากการปิดทอง เขาเล่ากันว่าองค์พระนิ่มมากเพราะเกิดจากการปิดทองซำ้แล้วซ้ำอีก เป็นบุญตาเหลือเกินที่ได้มาเห็น สาธุ สาธุ สาธุ
ประวัติพระมหามัยมุนีแบบย่อๆ
พระมหามัยมุนีพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของพม่าเปรียบได้กับพระแก้ว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า
คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า "ผู้รู้อันประเสริฐ" ชาวพม่าจะเรียกว่า มหาเมียะมุนี เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ มีตำนานเล่าว่า สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์ สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หนัก 6.5 ตัน ก่อนสร้าง กษัตริย์ผู้สร้างทรงพระสุบินว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทานพรให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้ เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องสืบพระศาสนาไปในภายหน้า โดยในอดีต แม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่นที่ทรงแสนยานุภาพอย่างไร ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ ต้องมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าปดุงแห่งราชวงศ์คองบองสามารถตียะไข่ได้ และได้อัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากยะไข่ได้ในปี2327 โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดีมายังเมืองมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนีจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์เป็นการถาวรนับแต่นั้นเป็นต้นมา.
จากวัดมหามัยมุนีก็มาต่อที่สะพานอูเบ็ง สะพานไม้คลาสสิคที่ฉันคิดว่าเป็นสะพานที่สวยที่สุดที่เคยเห็นมา เป็นสะพานที่ทำจากไม้ที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 2 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในตอนใต้ของเมืองอมรปุระ สร้างจากไม้สักที่รื้อมาจากพระราชวังเก่าแห่งกรุงอังวะเมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากอังวะ มายังอมรปุระจำนวน 1,208 ต้น เพื่อใช้ทำเป็นเสา สะพานอูเบ็ง ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน มุ่งตรงไปยังเจดีย์เจ๊าต่อซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ ชื่ออูเบ็งนั้นเป็นชื่อของขุนนางที่มีนามว่า “อูเบียน” พระเจ้าปดุง โปรดฯให้มาทำหน้าที่เป็นแม่กองงานสร้างสะพาน ซึ่งตั้งอยู่ที่อมรปุระก่อนจะเข้าถึงตัวเมืองมัณฑะเลย์ ฉันเดินข้ามสะพานไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งและใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในวัดและเจดีย์แถวนั้น มีเด็กผู้หญิงตัวดำๆสามสี่คนมาคุยด้วย น่าขำที่เด็กๆพยายามสื่อสารกับฉันด้วยประโยคเดียวว่า มาย เนม อีส แล้วก็ชี้ไปเป็นคนคนว่า คนนี้ก็มายเนมอีส คนนั้นก็มายเนมอีส พอชี้มาถึงฉันก็บอกว่าฉันว่ามายเนมอีส พอฉันบอกชื่อเด็กๆดีใจที่สามารถสื่อสารกันได้ เด็กคนหนึ่งล้วงเมล็ดสีเขียวเล็กๆออกมาใส่มือฉันพร้อมกับทำท่าเอาใส่ปากแล้วทำท่าเข็ดฟัน ฉันทำตามและรู้รสว่าน่าจะเป็นผลผลิตจากป่าแถวนี้ เด็กคนที่แก่นที่สุดชี้ไปที่เป้ฉันและทำท่าทางกิน ฉันส่ายหัวบอกไปว่าไม่มีของกินติดมาด้วย มีแต่นำ้เปล่าครึ่งขวด พวกเขาทำหน้าตาผิดหวังทำให้ฉันนึกไปถึงตอนตัวเองเป็นเด็ก ตอนนั้นก็อดอยากนักไม่ค่อยได้ลิ้มรสขนม ไม่มีของเล่น ไม่ได้ไปไหน ฉันตัดสินใจหยิบเงินออกมาสี่ร้อยจ๊าตยื่นให้พวกเขาเอาไปแบ่งกันแล้วชี้ไปที่ทางร้านขายของหน้าวัดพร้อมแสดงท่ากินให้ดู เด็กๆดีใจ เข้ามาแตะมือไฮไฟว์พร้อมกับจูบหน้าผากฉันทีละคน รักเด็กนะสุวรรณีนะ
เดินข้ามสะพานกลับมานั่งพักเหนื่อยที่ร้านริมทะเลสาปตองตะมานเห็นเมฆฝนก่อตัวมาแต่ไกลก็เลยตัดสินใจจะไม่รอดูพระอาทิตย์ตกดิน ปลอบใจตัวเองว่าพระอาทิตย์ตกดินที่สะพานอูเบ็งคราวที่แล้วยังสวยงามอยู่ในใจฉันอยู่ สั่งผัดหมี่มากินระหว่างรอซอวมินกลับมารับ หมี่จานยักษ์พร้อมราคานักท่องเที่ยวกับลูกตาลสดที่ซื้อมาจากบนสะพานเข้าไปนอนรอเวลาย่อยอยู่ในท้อง อิ่มท้อง อิ่มตา อิ่มใจ ซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับมาถึงโรงแรมก่อนฝนลงเม็ดแต่ไม่กี่นาที ลาหม่องแว๊นพร้อมยื่นค่าบริการบวกทิปให้ หม่องบอกรอเดี๋ยวแล้วกดโทรศัพท์ให้ฉันคุยกับอ่องเมียว อืมมมม ทีมงานนี้เขาบริการดีจริงๆ
จัดการจองตั๋วรถรอบเที่ยงไปพุกามพรุ่งนี้ นอนแช่น้ำอุ่นจนหนำใจเพราะคืนพรุ่งนี้ที่พุกามคงไม่โชคดีได้นอนห้องดีๆแบบนี้อีก ใครจะไปรู้โชคชะตาอาจจะนำพาให้เจออะไรดีๆอีกก็ได้ ก้าวต่อไปสุวรรณีน้อย
ค่าใช้จ่ายวันนี้
ค่าโรงแรม 623 บาท
น้ำดื่ม + อาหาร 3,600 จ๊าต
หวี 800 จ๊าต
ให้ขอทาน ซื้อดอกไม้ไหว้พระ ขนมเด็ก 1,200 จ๊าต
ค่าธรรมเนียมกล้องถ่ายรูป 1,000 จ๊าต
ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง 10,000 จ๊าต
No comments:
Post a Comment