เมืองย่างกุ้ง
หลับๆตื่นๆอยู่บนรถจากสองทุ่มถึงตีสี่ครึ่งรถทัวร์จากเมืองพุกามก็มาถึงเมืองย่างกุ้ง ตั๋วรถราคา18,500จ๊าตคุ้มค่ากับคุณภาพที่ได้รับ เบาะใหญ่ปรับเอนได้จนเกือบนอนราบ สบายจนเงินที่แบ่งเอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงหล่นออกมาโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่แล้ว ตอนแรกกะว่าชั่งมันเถอะเพราะรถทัวร์ก็คงไปถึงไหนต่อไหนแล้วและเงินที่แบ่งออกจากกระเป๋าสะพายข้างมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงก็เป็นเงินแบ็งค์เล็กๆ 1,000 500 200 และ 100 ให้ง่ายสำหรับจับจ่าย รวมจำนวนเงินก็ไม่น่าจะถึง10,000จ๊าต คนขับแท็กซี่เห็นฉันกระวนกระวายก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้นฉันบอกแค่ว่าลืมของไว้ในรถแต่ไม่เป็นไร เขาบอกว่ารถทัวร์ทุกคันต้องเข้าบริษัทหลังจากส่งผู้โดยสารเสร็จ แล้วพาฉันขับอ้อมมาหน้าบริษัทที่รถจอดอยู่ ฉันเอาตั๋วรถให้เด็กรถดูและเขาก็จำฉันได้ เขาเปิดประตูรถและฉันก็กำลังจะเหยียบขึ้นบันไดแต่คนขับซึ่งยังนั่งอยู่ในรถล้วงมือเข้าไปในเก๊ะหน้ารถพร้อมเงินที่ฉันทำตกไว้คืนให้ ไม่เว้นแม้แต่นามบัตรของโรงแรมที่พักคืนก่อน ความรู้สึกตอนนั้นมันพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแต่ที่แน่ๆตื้นตันใจกับความซื่อสัตย์ของพวกเขา และความมีนำ้ใจของพวกเขา จำนวนเงินมันไม่ได้มากมายอะไรหากคิดเป็นเงินบาทก็คงประมาณ300บาทแต่ค่าของจิตใจมันประเมิณค่าไม่ได้ ฉันแบ่งเงินที่ได้คืนเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้คนรถกับคนขับและอีกส่วนหนึ่งให้คนขับแท็กซี่ พร้อมกับยกมือไหว้พวกเขา
ตีห้ากว่าๆฉันก็มาถึงที่พักที่จองไว้ เป็นที่ๆเคยพักเมื่อแปดเดือนที่แล้วตอนเขากำลังเปิดโรงแรม และฉันก็เป็นคนแรกที่เขียนรีวิวให้โรงแรมเขา แต่เพราะเช้าเกินไปห้องก็ยังไม่เรียบร้อยก็ได้แต่นั่งจิบกาแฟรอเวลา นักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มตื่นฉันก็เลยมีเพื่อนคุย บางคนก็ต้องไปสนามบิน บางคนก็จะไปขึ้นรถไปเมืองอื่นๆต่อ กาแฟอร่อยๆจากเครื่องชงสดๆที่บริการฟรีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงของโรงแรมทำให้ฉันรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมากจึงไม่อยากนั่งรอห้องพักซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเสร็จกี่โมง ฉันขออนุญาตพนักงานโรงแรมใช้ห้องน้ำและห้องอาบน้ำ จัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็คลี่ผ้าพันคอผืนใหญ่ที่พกมาออก เอาเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าเครื่องใช้ส่วนตัว ห่อให้เป็นถุงผ้าเพราะไม่มีกระเป๋าใบอื่นมาด้วยและจำเป็นต้องใช้เป้สำหรับใส่กล้องถ่ายรูป ขวดนำ้ ไอแพด และอีกหลายอย่างสำหรับพกติดตัวไปด้วย ฝากห่อผ้าไว้กับรีเซฟชั่นแล้วก็ออกเดินเท้าไปสถานีรถไฟย่างกุ้ง ระยะทางเกือบสองกิโลเมตรแต่อากาศเย็นๆตอนเช้าก็ทำให้เดินได้สบายๆ มาถึงที่สถานีทันเวลาพอดีสำหรับรถไฟรอบเมืองย่างกุ้งหรือที่เรียกว่า Circular Train รถไฟที่คนท้องถิ่นใช้สำหรับการซื้อขายสินค้าจากสถานีหนึ่งไปอีกสถานีหนึ่ง รถไฟจะวิ่งช้าๆจอดทุกๆสถานีรายทางถึง37สถานี ระยะทางไม่ได้ไกลแต่เพราะวิ่งช้าจึงใช้เวลาถึง3ชั่วโมงจนกว่าจะครบหนึ่งรอบ ตลอดสามชั่วโมงฉันมีความรู้สึกเหมือนกำลังดูละครในโรงละครไหนซักแห่ง ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมันเคลื่อนไหวตลอด คนนั้นขึ้นคนนี้ลง คนนู้นเอาผักไปส่ง อีกคนไปเอาผลไม้ ในรถไฟก็ว่าดูสนุกแล้ว มองออกไปข้างนอกก็ยิ่งสนุกกว่า มีตลาด ร้านชา คนขายขนม คนหาบไข่นกกระทา แพผักบุ้ง กองขยะ หมากำลังขี้ โอ๊ยยยยยย... สนุกสารพัด รถไฟสายนี้เป็นหนึ่งในขบวนรถไฟที่ฉันสัญญากับตัวเองไว้นานแล้วว่าจะต้องมาสัมผัสให้ได้ ค่าตั๋ว 200จ๊าต ทำเอานำ้ตาฉันจะไหล สามชั่วโมงบนรถไฟกับเงิน7บาทกับประสบการณ์ที่นับค่าไม่ได้ ถ้าฉันอยู่ที่นี่ฉันจะเอารถไฟขบวนนี้มาทำเป็นโปรแกรมทัวร์ ฉันจะพานักท่องเที่ยวขึ้นจากต้นทางจนถึงสถานีที่มีตลาดที่ใหญ่ที่สุดแล้วลง พานักท่องเที่นวชมตลาด จะให้เขาชิมขนมบนรถไฟ จะให้เขาชิมชาที่ตลาด จะ....... วิญญาณนักขายเข้าสิง
ลงจากรถไฟเดินกลับมาในเมืองแวะกินข้าวกลางวันที่ร้านข้าวแกงร้านเล็กๆหัวมุมถนน ถึงจะเป็นร้านเล็กแต่มีกับข้าวให้เลือกหลายอย่าง ฉันเดินเข้าไปนั่งและหยิบเมนูมาดูแต่อ่านไม่ออกสักตัว เดินไปดูอาหารที่ใส่ถาดเรียงรายไว้แล้วชี้ไปที่อาหารสองอย่าง มันเป็นอาหารพม่าที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมา แกงฮังเล มะเขือยาวผ่าครึ่งแล้วผัดทั้งลูก ข้าวเปล่าหนึ่งจาน มาพร้อมผักสดผักลวกจานโต น้ำพริกอีกสองอย่างใส่มาในถ้วยเล็กๆ มันเป็นข้าวจานแรกที่ฉันกินในระยะเวลาหลายๆสัปดาห์เพราะปรกติเป็นคนไม่กินข้าวแต่กินเส้นหรือกินเฉพาะกับข้าว อาหารพม่าไม่ได้เลวร้ายเหมือนก่อนๆ หรืออาจจะเป็นเพราะฉันรักพม่าเข้าไปแล้วหมดใจ
ช่วงบ่ายเผลอหลับไปตื่นมาเกือบหกโมงเย็น เดินออกไปดูตรงหน้าต่างเห็นฝนตกปรอยๆก็เลยยกเลิกแผนการที่จะไปไหว้พระที่เจดีย์ชเวดากอง ไม่เป็นไรเพราะไปไหว้มาหลายครั้งแล้ว นึกขึ้นได้ว่ามาเที่ยวพม่าก็ตั้งหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยไปดูหนังในโรงหนังพม่าเลย เปิดดูในGPSเห็นว่าอยู่ไม่ไกลจากที่พักก็เลยตัดสินใจเดินลุยฝนไป ถลกขากางเกงขึ้นกลางน่องพอให้นำ้หมากบวกนำ้โคลนที่เจิ่งนองอยู่ริมถนนไม่กระเด็นโดนกางเกง ลากอีแตะแดงคู่เก่งที่ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีซึ่งถึงแม้ว่ามันจะกัดง่ามเท้าตรงหนีบแต่พลาสเตอร์สามสี่อันก็ช่วยให้ไม่เจ็บมากนัก กลับบ้านไปคงต้องเลิกใส่รองเท้าแตะซักพักรอให้แผลหาย โรงหนังที่ไปดูชื่อโรงหนังเนปิดอว์ น่าจะเป็นโรงใหม่สุดในเมือง หนังที่ฉายก็ใหม่เหมือนหนังบ้านเรา เอ็กซ์ เมน นินจาเต่า แถมบางเรื่องยังมีระบบสามมิติ แต่ถ้าจะดูหนังที่พม่าแล้วดูหนังพวกนั้นมันก็คงธรรมดาไปบวกกับดูดิเอ็กซ์เมนที่เมเจอร์เชียงรายมาแล้ว ก็เลยตัดสินใจดูหนังอินเดียที่พากษ์พม่าแล้วมีแปลตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษด้านล่าง การซื้อตั๋วก็ใช้วิธีชี้ๆเอาเพราะพนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้และคงมีนักท่องเที่ยวไม่กี่คนมาดูหนังที่นี่ ฉันไปถึงไม่กี่นาทีก่อนหนังจะฉายทำให้มีที่หนังเหลือให้เลือกไม่กี่ที่ มันเป็นการดูหนังที่ใกล้ชิดมากเพราะได้นั่งแถวที่สองจากจอหนัง พอหนังจบตาเหล่ไปเลย ก่อนเข้าไปในโรงก็ต้องมีมีป๊แบคอร์นติดมือไปด้วยเพื่อให้ครบรส ซื้อป๊อปคอร์นตามด้วยนำ้อัดลมกระป๋องเล็กแต่ตาเหลือบไปเห็นสาวๆพม่าซื้อเมล็ดทานตะวันกันคนละหลายๆถุง ฉันกลัวตกเทรนด์ก็เลยซื้อตามบ้างและตอนที่แกะกินระหว่างดูหนังปรากฎว่ามันอร่อยมาก เป็นเมล็ดทานตะวันคั่วเกลือใส่ขิงและกระเทียมที่รสชาติดีที่สุดที่เคยกินมา เสียดายไม่ได้ดูว่ายี่ห้ออะไรคราวหน้าจะได้ซื้ออีก ก่อนหนังจะเริ่มก็ต้องลุกขึ้นยืนเคารพเพลงชาติเหมือนโรงหนังบ้านเรา ถึงแม้จอหนังจะไม่ใหญ่เหมือนจอเมเจอร์ และหนังที่ฉายจะไม่ใช่แนวที่ฉันชอบแต่คนดูพม่าก็ทำให้การดูหนังของฉันคำ่นี้สนุกมาก คพพม่าจะซื้อขนม ของกิน เครื่องดื่ม มาจากร้านเพิงหน้าโรงหนัง อันนี้ตลกมากเพราะโรงหนังทันสมัยแต่หน้าโรงหนังจะให้อารมณ์ประมาณหนังกางแปลงบ้านเราสมัยก่อน ถั่วต้ม ไข่นกกระทา(อันนี้ฮิตมากที่พม่า, ถึงว่าข้ามไปท่าขี้เหล็กทุกครั้งก็เจอคนหาบไข่นกกระทาขาย) ยำข้าวซอย ถั่วชุปแป้งทอด แต่ละคนจะซื้อกันเยอะมากเรียกว่าหอบกันเข้ามาในโรงหนัง เห็นบางคนหิ้วปิ่นโตเข้ามาด้วยแต่ฉันไม่แน่ใจว่าเขาเพิ่งเลิกงานแล้วมาดูหนังหรือว่าห่อข้าวมากินในโรงหนัง ดูหนังไปแทะเมล็ดทานตะวันไป ต๊อบแต๊บต๊อบแต๊บกันทั้งโรงมีความสุขมาก สามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่าจะรู้ตัวหนังก็จบแล้วเขาเริ่มเปิดไฟสว่าง ก้มลงไปมองพื้นตกใจ! โหหหหห พื้นปูพรมสวยงามตอนนี้มีแต่เปลือกเมล็ดทานตะวันเต็มไปหมดทั้งโรง ฉันพลาดไปนะที่แกะเปลือกออกใส่ถุงกะจะเอาออกไปทิ้งข้างนอกเพราะความเคยชิน คราวหน้าจะทำแบบพม่าบ้าง เอหรือว่าไม่ทำดีกว่าสงสารคนเก็บ เรื่องราวของหนังเป็นเรื่องของความรัก การหักหลังจากคนรัก ความแค้น มนต์ดำ พระเอกนางเอกอินเดียก็ต้องอวบๆตามความนิยม วิ่งไล่เกี้ยวกันจากที่โน่นไปที่นี่ ภูเขาโน้นไปทะลุภูเขานี้ รักกันก็หวานปานน้ำผึ้ง บทโศกขึ้นมาก็นำ้ตาท่วมจอ ฉากที่ถ่ายทำคือลอนดอนแถวสะพานบิ๊กเบ็น พิคคาดิลลี่ กับสวนสาธารณะครึ่งเรื่อง อีกครึ่งเรื่องที่แคว้นราชาสถานอินเดีย
ออกจากโรงหนังมาเกือบสามทุ่ม ฝนหยุดตกแล้วก็เลยเดินเที่ยวสั่งลาย่างกุ้ง เดินขึ้นสะพานลอยไปดูเจดีย์สุเหล่จากมุมสูงพร้อมยกมือไหว้ขอพร คนพม่ายังเดินกันขวักไขว่บนถนน บ้างก็หาของกิน บ้างก็คงเสร็จงานอยู่ในระหว่างเดินกลับบ้าน ย่างกุ้งทันสมัยขึ้นมากแค่ระยะเวลาแปดเดือนที่ฉันมาที่นี่ครั้งสุดท้ายเปรียบเที่ยบกับวันนี้ มีร้านรวงใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย มีแสงไฟเพิ่มมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเพิ่มขึ้น ฉันดีใจที่ได้เห็นพม่าตั้งแต่วันที่ถนนเงียบสนิท จนถึงวันนี้ที่มีไฟฟ้าอยู่แทบทุกหัวมุมถนน
ค่อยๆโตนะพม่า ไม่ต้องรีบร้อน บางที่ความเจริญมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย คนรวยเขาไม่อวด เหมือนพม่าที่มีทรัพยากรอยู่มากมายทั้งบนดินและใต้ดิน มีเพชรพลอยอยู่บนยอดเจดีย์เป็นตันๆ ขอให้พม่าเป็นพม่าแบบเดิมๆไปนานๆ
"ฉันรักพม่า"
ค่าใช้จ่ายวันนี้
แท็กซี่ 7,000 จ๊าต
รถไฟ 200 จ๊าต
อาหาร เครื่องดื่ม 3,300 จ๊าต
ตั๋วภาพยนต์ 3,500 จ๊าต
โรงแรม 521 บาท
No comments:
Post a Comment