Friday, September 26, 2014

My heart


        

 

   My heart finally said

 

    " ENOUGH IS ENOUGH "




Monday, September 22, 2014

Classic USA Road Trip September 2014. The images






















Chapter 4


   แสงแดด ยามเช้ากระจายไออุ่นผ่านเข้ามาถึงเก้าอี้บุหนังหนานิ่มตัวโตที่ฉันนั่งอยู่ มองออกไปข้างนอกเห็นนกตัวเล็กสองสามตัวจิกกินผลองุ่นที่เถาเลื้อยขึ้นมาถึง ระเบียงหลังบ้าน ถัดจากเถาองุ่นเป็นเถากี่วี่กิ่งก้านอวบอ้วนแต่ไม่เคยออกลูกมาใหัเชย ชมสักครั้งไม่ว่าจะกี่ปีๆที่ฉันแวะเวียนมาดู จนเขารำ่ๆจะตัดทิ้งไปหลายครั้งแต่ฉันก็ขอร้องเขาไว้โดยให้เหตุผลว่า "อะไรบางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ แค่มีไว้เพื่อให้รู้ว่ามันยังอยู่ณ.จุดนั้น" เขาทำหน้าแปลกๆขณะรับฟังเหตุผลของฉัน แต่ก็ยอมล้มเลิกความคิดที่จะตัดเถากี่วี่เถานั้น ลมพัดเอื่อยๆปะทะกิ่งสนน้อยใหญ่ไหวเอนไปมา อากาศช่วงอาทิตย์สุดท้ายของเดือนกันยายนในเขตนอร์ทเวสท์ปีนี้ดีกว่าปีก่อนๆ มาก แต่ฉันก็ยังสมัครใจที่จะนั่งอยู่ริมหน้าต่างด้านในให้แสงแดดโลมเลียมากกว่า นั่งข้างนอกให้ไอเย็นมากระทบตัว
    อีกไม่กี่วันภาระกิจของฉันที่นี่ก็จะเสร็จสิ้น และฉันก็จะกลับไปสานต่อการงานที่ฉันคงค้างไว้ข้างหลัง ฉันค่อนข้างพึงพอใจกับวิถีการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเลือก มันไม่มีอะไรมั่นคงถาวรทำให้ดีที่สุดและสนุกกับทุกสิ่งที่ทำฉันเฝ้าบอกตัว เองครั้งแล้วครั้งเล่า นึกถึงคำพูดของศิลปินที่ฉันเคารพครั้งหนึ่งท่านเคยพูดไว้ว่า "ถ้ามึงคิดว่ามึงทำไม่ได้หรือมึงจะอดตายแสดงว่ามึงกระจอก ถ้ามึงไม่อยากเป็นคนกระจอกมึงก็ต้องทำให้มันดีๆ" คำสอนนี้ก้องอยู่ในหูฉันทุกครั้งที่ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าและไร้แรงใจ
    กาแฟอุ่นๆ มุสลี่โยเกิร์ตถ้วยเล็กพร้อมถั่วอบหลายๆชนิดเป็นอาหารกึ่งเช้ากึ่งเที่ยงที่ ฉันชื่นชอบและจัดว่าเป็นโมเม้นท์ส่วนตัวเหมือนเช่นขณะนี้ จนเขาเก็บเอามาล้อว่าฉันเป็นมนุษย์ผู้หญิงที่ถูกที่สุดเท่าที่เขาเคยคบหามา "คุณกินอย่างอื่นบ้างก็ได้นะตัวเล็กผมเลี้ยงคุณไหว" เขาล้อฉันทุกครั้งที่ฉันจับมูสลี่กล่องโตออกมาจากชั้นวางของในซุปเปอร์มา เก็ตขณะที่เราเดินซื้อของด้วยกัน "คุณก็รู้นี่ว่าฉันทำงานฟรีแลนซ์ ต้องอยู่ง่ายกินง่าย" ฉันล้อเขากลับไป แต่ทุกเช้าที่เราอยู่ด้วยกันก็จะมีมูสลี่ถ้วยเล็กกับกาแฟอุ่นๆวางไว้บนโต๊ะ รอฉันเสมอยกเว้นเช้านี้เพราะเขาต้องทำงานช่วงกลางคืน หลายวันก่อนเขากลับมาจากโรงพยาบาลหลังจากงานกะดึกด้วยสีหน้าตื่นเต้น "เมื่อเย็นวานมีหมอคนใหม่มาจากเมืองไทย เธอชื่อริตา ผมต้องเทรนด์งานให้เธอประมาณสามเดือน" จากนั้นเรื่องราวต่างๆของหมอริตาก็ถูกถ่ายทอดมาทุกรายระเอียด "หมอริตาไม่ได้ตัวเล็กๆบางๆเหมือนคุณนะ เธอตัวท้วมๆผมหยิกเต็มหัว ผมคุยเรื่องคุณให้เธอฟังเธอยังอยากจะเจอคุณเลย" ฉันไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่ในใจก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกันเพราะฉัน ต้องเดินทางกลับอีกไม่กี่วัน
    ฉันใช้เวลาช่วงที่เหลือเก็บกวาดห้องหับให้เขา ผู้ชายที่อยู่ตัวคนเดียวมักจะไม่ค่อยดูแลสถานที่สักเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่ได้ ยากอะไรในการเก็บกวาดเพราะแต่ละห้องก็เป็นห้องโล่งๆตามแบบผู้ชาย ย้อนนึกถึงวันก่อนที่เขาขอร้องให้ฉันอยู่ต่ออีกสักพัก "อยู่ต่ออีกสักหน่อยไม่ได้เหรอครับ ผมยังไม่หายคิดถึงคุณเลย แล้วเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก ผมอยากบินตามคุณไปเลยแต่ติดอยู่ที่งานผม ทั้งงานสอนที่มหาวิทยาลัยแล้วไหนจะดูแลคนไข้ที่โรงพยาบาลอีก" ฉันยืนกรานที่จะกลับเพราะมีอีกหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่อยากจะทำที่ไทย ดวงตาคู่นั้นดูสลดไปทันใดเมื่อฉันตอบปฏิเสธ
    เสียงประตูเปิดเข้ามาพร้อมกับเสียงทักทายเบาๆทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ คนตัวโตปรากฎขึ้นที่มุมห้องด้านหน้า "โวววว... คุณทำความสะอาดห้องให้ผมเหรอ ขอบคุณครับ คุณเหนื่อยมั๊ย คุณไม่ต้องลำบากทำเองก็ได้ ผมมีคนทำความสะอาดชาวแม็คซิกันมาทำให้ทุกๆเดือนอยู่แล้ว" ฉันบอกเขาว่าฉันก็อยากทำอะไรให้เขาบ้าง ทดแทนกับความมีนำ้ใจ ห่วงหา อาทร ที่เขาเคยมีให้กับฉันตลอดมา มือใหญ่แข็งแรงแตะลงมาบนแก้มฉัน "ผมก็อยากดูแลคุณให้มากและนานที่สุดเท่าที่ชีวิตผมมี" ฉันโน้มตัวอิงแอบกับอกกว้างอันแสนจะอบอุ่นคุ้นเคย
 
 

Saturday, September 20, 2014

Classic USA Road Trip, 4th September - 27th September 2014. Part 3

ก้นแฟ้บ พุงโต 916ไมล์ กว่าเก้าชั่วโมงจากไอดาโฮ ฟอลส์ ถึงเรโน Road trip is fun! 916 Miles, more than 9 hours from Idaho Falls to Reno.

    ตื่นแต่มืดเตรียมตัวสำหรับการเดินทางอันยาวไกลอีกหนึ่งวัน วันนี้กะจะทำระยะให้ยาวที่สุดและเร็วที่สุดเลยเลื อกที่จะใช้แต่ไฮเวย์ ขับกันมันมากแซงรถบรรทุกสวยๆคันแล้วคันเล่า ขับไปเล่นทายกับตัวเองไปว่าแมลงที่จะมาชนกระจกหน้ารถจะเละมาเป็นสีอะไร แดง เหลือง ขาว ฟ้า หรือว่า เขียว? แมลงเยอะมากตายเละเต็มกระจกทำเอาที่ปัดนำ้ฝนทำงานไม่ได้หยุด จากรัฐไอดาโฮข้ามมารัฐเนวาดาภูมิทัศน์เริ่มเปลี่ยน ความเขียวเริ่มลดลงเรื่อยๆความแห้งแล้งเริ่มมาเยือน และเปลี่ยนเป็นเขตเกือบทะเลทราย มองไปไกลๆเห็นลมหมุนทวิสเตอร์หลายอันกำลังปั่นอยู่กลางทุ่ง พุ่มไม้แห้งๆกลมๆหลุดจากรากหมุนกลิ้งขึ้นมาบนถนน ทำให้นึกถึงหนังคาวบอยเก่าๆที่เคยดู อยากเห็นคาวบอยตัวจริงจะได้ถามว่ารองเท้าบู้ทที่ใส่กันมันมีไอ้เหล็กกลมๆขอบ หยักๆเหมือนเหมือนมีดตัดพิซซ่าติดอยู่ตรงท้ายของบู้ทใช้ทำอะไรอย่างอื่นได้ บ้างนอกจากเอาไว้กระทุ้งสีข้างม้า    

   จอดรถเติมนำ้มันที่ปั๊มนำ้มันเก๋ๆในเขตเนวาดา ข้างปั๊มมีซาลูนแบบที่เคยเห็นในหนังแต่ไม่เห็นมีม้าผูกไวัข้างนอก ไปด้อมๆมองๆเห็นคนแก่สองสามคนนั่งอยู่ข้างใน ไม่เห็นใส่กางเกงยีน เสื้อเชิ้ต รองเท้าบู้ท หมวกปีก ไม่มีท่าทางจะเป็นคาวบอยเลย หรือว่าคาวบอยก็พัฒนาแล้วเหมือนกลุ่มชาติพันธุ์แถวบ้านฉัน? อีกฟากหนึ่งของปั๊มนำ้มันเป็นคาสิโน สังเกตได้ว่าปั๊มนำ้มันขนาดใหญ่ในอเมริกาจะมีคาสิโนอยู่ด้วยทุกที่ โดยเฉพาะเมืองเรโนที่มาถึงวันนี้เป็นเป็นเมืองของการเสี่ยงโชคอันดับที่สอง รองจากลาสเวกัส คิดๆอยู่ว่าจะลองเข้าไปดูในคาสิโนดูลองเล่นซัก100$เสียก็ถือว่าเป็นกรรมถ้า ได้รวยขึ้นมาจะขับรถเที่ยวให้ครบ50รัฐ อิอิ ได้แค่คิดเพราะชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะเอาเงินหลักพันมาเล่นการพนัน อยู่บ้านแค่ซื้อลอตเตอรี่100บาทแล้วไม่ถูกยังแอบเสียใจเสียดายตังไปตั้งหลาย วัน ชีวิตนี้มี   
   หลายอย่างที่อยากทำแต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงคือยาเสพติด การพนัน และสร้างหนี้สิน
กว่าจะหาโรงแรมเจอเล่นเอาเหนื่อย เรโนเป็นเมืองใหญ่แถมมีกลิ่นตุๆ กลิ่นควันรถ กลิ่นมลพิษ กลิ่นของความเป็นเมืองใหญ่ คงแค่คืนเดียวที่เมืองนี้ พักให้หายเหนื่อยวางแผนเดินทางสำหรับวันถัดไป ดินเนอร์วันนี้งัดมาม่าออกมาเติมนำ้ร้อน คิดถึงพริกป่น.......




  กินลมชมวิวบนไฮเวย์1 ทางหลวงที่สวยที่สุดในอเมริกา
   หลังจากที่ได้ชื่นชมกับต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ Redwood National and State Parks วัน นี้ได้เติมเต็มความอยากให้เป็นจริงสักที โดยการขับรถเที่ยวบน Highway 1 (หรืออีกชื่อหนึ่งที่คุ้นเคยกันดีกับ California State Route 1 และ Pacific Coast Highway) ทางหลวงที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายและสวยที่สุดในอเมริกา เนื่องจากทางหลวงเส้นนี้สร้างขนานไปกับ Pacific Coastline ลัดเลาะชายฝั่งตั้งแต่เหนือจรดใต้ของรัฐ California (บางช่วงบรรจบกับทางหลวงเส้นอื่นด้วย) ทำให้ทางเส้นนี้มีความคดเคี้ยว ลาดชัน ตามลักษณะภูมิประเทศของรัฐแคลิฟอร์เนีย และด้วยเหตุนี้รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อขับรถบนถนนสายนี้ มองไปทางซ้ายก็เห็นภูเขา มองไปทางขวาก็เป็นหุบเหวและมหาสมุทรแปซิฟิก จึงทำให้ถนนเส้นนี้เป็นทางหลวงที่จัดว่าสวยที่สุดในอเมริกา อีกทั้งบรรยากาศที่แปรปรวนตลอดเวลา ทำให้สามารถเจอกับทุกสภาพอากาศได้ในวันเดียว!
    จากเมืองยูริก้ารัฐแคลิฟอร์เนียถึงเมืองนิวพอร์ทรัฐออริกอนใช้เวลา กว่า7ชั่วโมง สามร้อยกว่าไมล์ แวะนั่นชมนี่ไปเรื่อยๆแบบตามใจฉันน่าเสียดายที่อากาศไม่ดีเท่าที่หวังไว้ ขับรถไปเรื่อยๆฝ่าฝน ฝ่าหมอก ดูๆไปก็เหมือนเมืองปริศนา ข้างทางด้านหนึ่งมีต้นสนต้นใหญ่น้อยที่เต็มไปด้วยมอสห้อยตัวลงมาดูเหมือนใน หนังเรื่อง เดอะ ลอร์ดออฟเดอะริง อีกด้านหนึ่งเป็นแนวมหาสมุทแปซิฟิกที่เต็มไปด้วยหุบเหว มันไม่ได้เป็นการขับรถในเส้นทางที่น่ากลัวที่สุดสำหรับฉัน ฉันเคยเจอหนักกว่านี้ที่ปาปัวนิวกีเนียและเอธิโอเปียเมื่อหลายปีก่อน แต่ไฮเวย์1ก็ยังเป็นความใฝ่ฝันที่สวยงามของฉันอยู่ดี
   ก่อนจะถึงนิวพอร์ทเจอหนุ่มขายบาบีคิวริมทางแวะซื้อซี่โครงหมูมาหนึ่งแถบกับ พริกจาลิเปโนพันแฮมรสจัดจ้านอีกสามอัน ดินเนอร์เกร๋ๆในห้องคืนนี้กับไวน์ที่หนีบมาจากซุปเปอร์อีกขวดใหญ่ Life ain't bad
— at Shilo Inn Suties Oceanchfront Hotel-Newport.


  แปดคืนเก้าวันกับรถคันเล็กบนพื้นที่แค่ส่วนเล็กๆของประเทศอเมริกา
  กลับมาถึงณ.จุดเริ่มต้นเช็คระยะการเดินทางได้ที่3,100ไมล์ ( 4,650กม. ) นับว่าเป็นroad tripที่ยาวที่สุดที่เคยทำมา ยิ่งใช้เวลาในอเมริกานานเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกถึงความกว้างใหญ่ของประ เทศนี้ และยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวฉันเล็กลงๆไปเรื่อยๆ อเมริกาประเทศอันดับท้ายๆที่ฉันจัดไว้ในรายการ "ต้องได้สัมผัส" ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดไว้ในด้านของการท่องเที่ยว ธรรมชาติที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์ ข้อมูลการท่องเที่ยวหาได้ง่าย บุคลากรของหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวมีความรู้ความสามารถและปฏิบัติหน้าที่ อย่างมีประสิทธิภาพมากถึงมากที่สุด
    แต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวในอเมริกาค่อนข้างสูง นอกเหนือจากค่าตั๋วเครื่องบินที่แพงอยู่แล้วยังมีค่าโรงแรมที่ขูดเลือดซิบๆ ตามมาอีก สำหรับค่าอาหารมีอยู่หลายทางเลือกตั้งแต่โครตถูกถึงแพงลิบ ฉันในฐานะของคนที่ข้องเกี่ยวกับด้านอาหารมายี่สิบกว่าปีก็อดไม่ได้ที่จะลอง สัมผัสความแตกต่างของอาหารขึ้นชื่อของแต่ละรัฐไม่ได้ อาหารที่นี่จัดมาจานใหญ่มากแอบดูคนอเมริกันกินแล้วรู้สึกทึ่งจริงๆที่สามารถ อัดทุกอย่างในจานลงกระเพาะได้จนหมดเกลี้ยง ทุกครั้งที่นั่งกินอาหารในร้านฉันต้องคอยอธิบายให้พนักงานเข้าใจว่าที่กิน ไม่หมดไม่ใช่เพราะว่าไม่อร่อยแต่ฉันเป็นคนกินน้อย หลายวันก่อนลองKFCถัง5ชิ้นที่ตามปรกติกินที่บ้านเราก็แทะไปชิวๆคนเดียวก็หมด แต่ของที่นี่ชิ้นใหญ่มากคาดว่าคงเอาไก่ยักษ์มาทอดแถมมีเครื่องเคราตามมาอีก มากมาย มันบด เกรวี่ สลัด คุกกี้ ( อันนี้แปลกมาก ซื้อไก่ทอดมีคุ้กกี้แถมให้ ) แถมเป๊ปซี่มาให้อีกแก้วโต ฉันขยอกไก่ทอดไปได้แค่สองชิ้นกับมันบดอีกสามสี่ช้อน จุกไปจนถึงเช้าอีกวัน!
   การเดินทางต้องใช้เงิน เงินไม่ใช่สิ่งที่มีค่าที่สุดแต่เงินสามารถแปรรูปเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดได้  อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ให้เป็นนายเงิน อย่าให้เงินเป็นนาย ถึงไม่มีเงินก็แค่ไม่ได้เป็นนายเงินไม่ใช่เป็นทาศมัน
  




  

Classic USA Road Trip, 4th September - 27th September 2014. Part 2

ตามหาจนเจอ!!!!! แกรนด์ พริสเมติก บ่อนำ้ร้อนที่สวยที่สุดในโลก!!!!
   บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก (Grand Prismatic Spring)
เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา ซึ่งสีสันที่แบ่งเฉดเป็น สีน้ำเงินตรงกลางบ่อและสีส้มที่ขอบบ่อนี้เองที่ทำให้สถานที่แห่งนี้งดงาม ราวกับอยู่ในเทพนิยาย จนไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายถึงการแบ่งเฉดสีของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า ขอบบ่อที่เป็นสีส้มนั้นเกิดขึ้นจากแบคทีเรียที่เจริญเติบโตอย่างหนาแน่น บริเวณขอบบ่อ เนื่องจากภายในบ่อนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีอุณหภูมิที่เหมาะสม
    วันนี้ตั้งใจจะตามหาบ่อนำ้ร้อนบ่อนี้ให้เจอหลังจากพลาดไปเมื่อวาน หาข้อมูลก่อนไปให้แน่ใจว่าจะไม่ขับรถเลยไป ต้องย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิมเมื่อวานขึ้นไปทางเหนือตามด้วยเลี้ยวซ้ายไปตาม เส้นมิดเดิล เบซิ่น จอดรถทิ้งไว้แล้วเดินตามเส้นทางที่ทางอุทธยานวางไว้ เดินพอหายหนาวสองสามกิโลเมตรก็ถึงบ่อนำ้ร้อนแต่เพราะว่าตัวบ่อกว้างใหญ่เกิน กว่าที่ถ่ายรูปให้เห็นสีสัน ถ่ายเป็นสิบๆรูปก็ได้แค่มุมหรือไม่ก็ควัน รู้สึกผิดหวังมากเพราะรูปที่เห็นในอินเตอร์เนตมันสวยจับใจมาก เดินย้อนกลับมาที่รถหาข้อมูลเพิ่มพบว่าต้องขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปถ่ายรูปจาก ข้างบน อันนี้ก็คงจนปัญญาที่จะทำหรืออีกนัยหนึ่งก็จนปัจจัย อืมมมมมมม.... มันต้องมีวิธีสินะ
นั่งหาข้อมูลจากผ่านอินเตอร์เนตไปเรื่อยๆจนมาเจอเวปช่างภาพ พวกนี้มักมีวิธีดีๆแปลกๆให้ได้มาซึ่งภาพสวยๆ นายคนหนึ่งเขียนไว้ว่าให้ขับรถลงไปทางใต้หน่อยแล้วเลี้ยวเข้าไปเส้นแฟรี่ ฟอลส์ จอดรถไว้ที่ลานจอดรถแล้วเดินตามเส้นทางไปนำ้ตกพอเจอทางแยกเล็กๆซ้ายมือขึ้น เขาให้เดินตามรอยนั้นไป ไปจนถึงยอดเขาจะได้วิวที่แต่ต้องใส่รองเท้าที่ปีนเขาไปเพราะทางชันมาก อ่ะนั่นไง สติมาตันหาเกิด เอ้ยยยย ปัญญาเกิด ทำตามคำแนะนำของนายไม่ทราบชื่อจนมาถึงลานจอดรถแฟรี่ ฟอลส์ แต่ที่ทำไม่ได้ก็คือรองเท้าเพราะมีแค่ที่ใส่มาคู่เดียวNBคู่ใจไปได้ทุกงาน แล้วมันจะไหวรึ? เอาน่าลองดูก่อน ตอนเป็นเด็กก็ตีนเปล่าวิ่งไปมาไม่เห็นเป็นไรนิ สะพายกล้องคาดลำตัว โทรศัพท์เหน็บกระเป๋ากางเกงด้านหลังเริ่มออกเดิน ทางเข้านำ้ตกเป็นดินปนทรายสีดำๆร่องรอยของลาวาที่ประทุออกมาในอดีตกาลยังมี ให้เห็น จิตก็คิดไปถึงหนังเรื่องเกี่ยวกับภูเขาไฟระเบิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่อง2012ที่ถ่ายทำที่นี่ยังฝังติดตา นึกแบบขำๆดีนะที่วันนี้นุ่งกางเกงในสีจัดมาหากเกิดอะไรขึ้นคนคงตามหาเราเจอ ง่าย กำไลแขนก็สลักชื่อไว้ละ กางเกงในมันอาจจะไหม้ได้แต่เครื่องเงินคงไม่หลอมเร็วขนาดนั้น เป็นอะไรไปคนที่อยู่ข้างหลังคงไม่ลำบากเพราะไม่ได้สร้างหนี้สินหรือภาระอะไร ทิ้งไว้ มีแค่แมวน้องสโนว์ตัวเดียวที่จะเป็นภาระ โน่น นี่ นั่น จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย.....
    มาถึงทางแยกขึ้นเขาแหงนขึ้นมองแล้วตกใจ เรียกว่าแหงนจนท้ายทอยจดหลัง มันชันมาากกกกก! ยืนพิจารณาอยู่หลายนาทีว่าจะทำยังไง ทางชันแต่มีต้นสนเล็กใหญ่ตลอดทาง ตัดสินใจปีนไต่ขึ้นไปเรื่อยๆสะพายกล้องไว้ด้านหลังมือเกาะกิ่งสนบ้างรากไม้ บ้างเท้าก็พยายามยันต้นไม้ตาม ขึ้นไปเรื่อยๆทีละนิดละนิดนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็กชอบปีนต้นฝรั่งหลังบ้าน ทักษะนั้นมันใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ขึ้นมาจนถึงระดับที่ตัวเองพอใจและกะพอได้รูปที่ดีกว่าถ่ายจากข้างล่างแต่คง ไม่เจ๋งเท่ากับพวกที่ถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ หาที่ยืนเหมาะๆอีกแขนกอดต้นสนเอาไว้เผื่อลมพัด แฮ่ๆ ข้างบนนั้นเงียบมากและบ่อนำ้ร้อนที่มองจากมุมสูงมันทำให้ใจฉันสงบไปหลายนาที งามเหลือเกิน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่งามที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาในชีวิต ความเหนื่อยความล้าจากการปีนป่ายมันหายไปหมดตั้งแต่วินาทีที่มองลงไปที่บ่ อนำ้ร้อน หลับตาลืมตาอีกหลายรอบให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป หรือตาฝาดไป มันไม่น่าเชื่อว่าจะมีอะไรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและสวยงามเต็มไปด้วย สีสันสายรุ้งแจ่มจรัสอย่างนี้ ถ่ายรูปเก็บไว้รูปแล้วรูปเล่าและไม่ลืมที่จะถ่ายซำ้ด้วยกล้องโทรศัพท์เอาไว้ โพสต์เฟสบุ้คก่อนนอน กำลังฟินกับภาพข้างหน้าก็ได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วๆจากข้างล่าง มองลงไปเห็นคนบ้าสองสามคนกำลังปีนขึ้นมา แต่ละคนแบกกล้องกับเลนส์ขึ้นมาเพียบ พอเห็นฉันก็ทำหน้าตกใจคงนึกว่าแถวนี้มีชะนีด้วยเหรอฟะ อิอิ ยืนฟังหนุ่มๆหายใจเป็นหมาหอบแดดเพราะความเหนื่อยจากการปีนขึ้น รู้สึกสะใจพอแล้วก็ตัดสินใจรูดลงเขา งานนี้รูดจริงๆเพราะร้องเท้าลื่นมาก กว่าจะลงมาถึงพื้นนมแบนเหลือเท่าเห็บหมา ฮาาาาาาาาาา....
    ออกจากเยลโลว์สโตนขับรถลงมาทางประตูใต้ผ่านอุทธยานแกรนด์ ทีทอน อันนี้ก็งามมาก งามแบบหวานๆซึ้งๆ มีทะเลสาป ต้นไม้สวยๆที่ใบกำลังเปลี่ยนสี สีเหลือง สีส้ม สีน้ำตาล ภูเขาสวยๆที่ยอดยังมีหิมะคลุม เหมือนภาพในโปสการ์ดที่เคยเห็นขายในร้านหนังสือบ้านเรา ขับข้ามมาทีเดียว3รัฐ ไอดาโฮ มอนแทน่า ไวโอมิ่ง และย้อนกลับมานอนที่เมืองไอดาโฮ ฟอลส์ วันี้ไม่ได้ทำระยะไกลมาก น่าจะไม่เกิน300ไมล์ หาอะไรแหล่มๆลงท้องตามด้วยBudเบียร์เย็นๆอีกแก้ว ขำๆกันไปอีกหนึ่งวัน
— feeling amused at Shilo Inns.
 











  

Classic USA Road Trip, 4th September - 27th September 2014. Part 1


   520ไมล์ 9ชั่วโมงครึ่ง จากรัฐไอดาโฮมาถึงรัฐมอนแทน่า สู่ทางเข้าด้านตะวันตกของเยลโลว์สโตน ใช้เส้นทางหมายเลข 12 90 287 และจบลงที่ 191ขับรถขึ้นลงภูเขาลูกแล้วลูกเล่าดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งหนทางไกลเท่าไหร่ฉันก็รู้สึกว่าตัวฉันเล็กลง เล็กลง ไปทุกที ภูเขาสูงๆยังมีหิมะคลุมอยู่บนยอดสีสันตัดกันน่าดู ขาว เขียว นำ้ตาลเข้ม ภูเขาลูกที่ตำ่กว่าปกคลุมไปด้วยต้นสนหลายๆพันธุ์ ถนนตัดตามลำธารสายเล็กๆคดเคี้ยว นำ้ใสๆไม่ได้ลึกอะไรมองเห็นโขดหินใต้นำ้รูปร่างแปลกตา นึกไปถึงพู่กันกับสีและผ้าใบที่วางอยู่มุมกระท่อมน้อยที่เชียงราย อยากเอามาละเลงสีสวยๆตามที่ตาเห็นตอนนี้ มันเป็นการขับรถที่ยาวนานครั้งหนึ่งในชีวิตฉัน อเมริกากว้างใหญ่มากแต่ประชากรไม่ได้กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ บางครั้งฉันขับรถเกือบชั่วโมงกว่าจะเจอบ้านซักหลังหรือปั๊มนำ้มันซักแห่ง อดคิดไม่ได้ว่าถ้ารถเสียจะต้องรอความช่วยเหลือนานเท่าไหร่เพราะหลายๆที่ก็ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ผ่านจุดสวยๆมากมายแต่ไม่สามารถจอดรถถ่ายรูปได้เพราะรถที่ขับบนเส้นทางนี้ใช้ ความเร็วสูงมากและไม่มีที่ให้จอดริมทาง ได้แต่เก็บภาพเหล่านั้นไว้ในความทรงทำให้ลึกและมากที่สุด
    หยุดพักอยู่หลายรอบเพราะความเหนื่อยและง่วง กาแฟที่นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่านำ้ร้อนสีนำ้ตาลใสๆหากวัดค่าคาเฟอีนก็คงได้ออก มาไม่มากนัก กาแฟของสตาร์บัคค่อยเข้มขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับของบ้านเรา ผ่านหมู่บ้าน เมืองเล็กๆ ทุกๆที่จะมีร้านคล้ายๆกัน สตาร์บัค เคเอฟซี ซับเวย์ แมคโดนัล เบอร์เกอร์คิง ทาโค่ร้านพวกนี้ไม่สามารถกระตุ้นต่อมอยากฉันได้เพราะที่ไหนๆก็มี ยอมเสียเงินเพิ่มนิดหน่อยหยุดตามซุปเปอร์มาร์เก็ตหาอะไรแปลกๆลอง เนื้อแห้งยี่ห้อแจ็คอะไรซักอย่างเคี้ยวเพลินมากได้อารมณ์ประมาณเนื้อแดด เดียวบ้านเรา อัลมอนด์อบแห้งถุงย่อม ผลไม้อีกหลายๆอย่างที่บ้านเราไม่ค่อยมีหรือแพงก็จัดมาซะหลายลูก นำ้เปล่าขวดโต แค่นี้ก็เอาอยู่แทนที่มื้อกลางวัน แอบเห็นคนที่นี่ซื้อเป๊ปซี่แก้วจัมโบ้จากแมคโดนัลราคาแค่89เซ็นต์แต่เราซื้อ นำ้เปล่าราคาตั้ง1.80$ มิน่าคนที่นี่ถึงอ้วนนักนำ้อัดลมมันถูกนี่เอง
   ขับรถมาเรื่อยๆพอเห็นป้ายให้ระวังควายไบซันก็เริ่มใจชื้น เข้าเขตเยลโล่ว์สโตนละงานนี้ต้องขอบคุณจีพีเอสของโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ ของเขาแม่นจริงๆแถมใช้เป็นกล้องถ่ายรูปก็ได้อีก อิอิ หิวจนตาลายรีบหาที่ชิมปลาเทร้าท์ชื่อดังจากแม่นำ้ที่นี่ รสชาติไม่ผิดหวังจริงๆแต่แอบบ่นในใจหน่อยว่าปลาครึ่งตัวเนี่ยนะ600กว่าบาท ที่บ้านกินกันได้เป็นอาทิตย์ อั๊ยยยย เที่ยวหลายวันงบมันก็ร่อยหรอมั่งอะนะ ไม่เป็นไรพรุ่งนี้แก้ตัวกินเบาๆหน่อยละกัน แอบดูห้องพักเห็นมีไมโครเวฟกับกาต้มนำ้บริการอยู่ กาแฟฟรี อาหารเช้ารวมอยู่แล้ว ขำๆกันไปอีกยาววววว...
— feeling strong at Yellowstone National Park.




    เดอะ เยลโลว์สโตน วันตามล่าหาควายไบซัน
   ตั้งแต่ขับรถเข้ามาในเขตเยลโลว์สโตนเมื่อวานก็เห็นแต่ป้ายระวังชนควาย ระวังชนหมี ระวังชนกวาง จึงตั้งใจไว้ว่าวันนี้อย่างน้อยจะต้องได้เห็นควายไบซันตัวเป็นๆให้ได้ เพราะตอนเป็นเด็กเคยดูละครทีวีแล้วนางเอกก็ชอบด่าพระเอกที่(เล่น)เป็นลูกครึ่งว่า ไอ้ควายไบซัน ตอนนั้นก็แอบสงสัยอยู่ว่าทำไมไม่ควายเฉยๆทำไมต้องควายไบซัน??
    เสียงคนข้างห้องตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่คงเตรียมตัวไปส่องสัตว์ช่วงเช้า สำหรับสุวรรณี No! เปิดม่านหน้าต่างดูเห็นยังไม่สว่างดีแถมมีนำ้แข็งบางๆเกาะกระจกรถอีกเต็ม นึกถึงสภาพตัวเองยืนสั่นขูดกระจกรถก่อนขับไปทำงานเหมือนที่เคยทำมานับสิบปี ช่วงที่อยู่ยุโรปแล้วถอดใจ แถมประสบการณ์ส่องสัตว์เช้ามืดเหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยทำที่ประเทศกัวเตมาลา เมื่อหลายปีก่อนก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ ตื่นมาตีสาม นั่งเรืออีกชั่วโมง เดินป่าอีกสามสี่ชั่วโมง เจอนกสองตัวกับควายอีกสองตัว มะเอาดีกว่าาาาา... ไปสายหน่อยขอแค่เห็นควายไบซันซักตัวสองตัวก็พอใจละ
สายๆขับรถเข้าไปในเขตอุทธยาน จ่ายค่าเสียหายไป50$สำหรับตัวเองและอีก25$ของไอ้Jeepเล็ก นำ้มันเติมมาเต็มถังจากข้างนอก ลิตรละ 1.10$ อย่าให้เล่าต่อเรื่องราคานำ้มันเลยเดี๋ยวจะยาวแถมลามปามไปถึงคนโน้นคนนี้ อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) เป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเขตติดต่อสามรัฐได้แก่ ไวโอมิง มอนแทนา และไอดาโฮ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐไวโอมิง เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีเนื้อที่มากกว่า 8,992 ตารางกิโลเมตร ภายในอุทยานประกอบไปด้วยที่ราบสูงและภูเขาสูงมีหน้าผาชัน และมีทะเลสาบเยลโลวสโตน เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อนมากกว่า 10,000 แห่ง และ 250 แห่งเป็นบ่อน้ำพุร้อน(เป็นแมกมาใต้ดินที่พุ่งออกมา) และน้ำพุร้อนที่สำคัญคือ น้ำพุร้อนโอลด์เฟทฟุล มีน้ำพุงออกมาทุก ๆ 33 และ 93 นาทีโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยในรอบ 100 ปี มีน้ำตกกว่า 300 แห่งและสามารถค้นพบได้อีกมากมาย สัตว์ป่าที่น่าสนใจในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ได้แก่ หมีกริซซ์ลี หมีดำ ควายป่าไบซัน กวางมูส กวางเอลก์ แพะภูเขาบิกฮอร์น แมวป่า หมาป่า
    ขับรถเข้าไปไม่ถึง10ไมล์รถเริ่มติด นี่ขนาดไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวของที่นี่ ขับตามๆกันไปจนมาถึงต้นตอของรถติด ควายไบซันสามสี่ตัวยืนเล็มหญ้าอยู่กลางทุ่งลิบๆตา รีบหาที่จอดรถและคว้ากล้องกับเลนส์18/200มาส่อง ได้รูปควายมาตัวเท่าขี้ตาแมว สมน้ำหน้าตัวเองที่ขี้เกียจหิ้วเลนส์เสริม ขับเข้าไปลึกเรื่อยๆเริ่มเจอควายเพิ่มขึ้นอีกหลายตัว ความตื่นเต้นเริ่มน้อยลงจนเกิดอาการเบื่อควายเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่บ่อนำ้ พุร้อน นำ้พุร้อนที่นี่ไม่ได้เหม็นกำมะถันตุๆแบบทางบ้านเรากลิ่นค่อนข้างน้อยแถมมี สีสันสวยงามแตกต่างกันไป การจะไปดูนำ้พุร้อนสีสวยๆก็ต้องลงทุนเดินระยะทางจากที่จอดรถก็ไกล้ไกลแตก ต่างกันไปแต่สรุปแล้ววันนี้ฉันคงเดินมากกว่า40กม. อากาศเย็นๆทำให้เดินไม่เหนื่อยนัก ขาสั้นก็อาศัยเดินเร็วๆแซงฝรั่งตัวโตๆคนแล้วคนเล่า น่าภูมิใจชะมัด ให้กำลังใจตัวเองว่าเดินเยอะขนาดนี้เย็นนี้อนุญาตให้ตัวเองกินไก่ทอดKFC แถมมันบดอีกถ้วยนึง เอาเป๊ปซี่อีกแก้วก็ได้
   ขับผ่านผ่านนำ้พุร้อนอีกหลายร้อยบ่อผ่านภูเขาอีกหลายสิบลูกจนรู้สึกว่าหู อื้อและสภาพภูมิทัศน์เปลี่ยนไป บนภูเขาที่ขับรถอยู่ยังมีหิมะคลุมเป็นจุดๆ เช็คระดับความสูงได้เกือบ3,000เมตร มิน่าหูถึงดับ ขึ้นเขาลงเขาอีกหลายครั้งจนบ่ายกว่าจึงตัดสินใจกลับออกมาทางประตูตะวันตก เยลโลว์สโตนกว้างใหญ่เกินไปเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาต่อส่วนที่เหลือ. A big big girl in the big big world
— at Yellowstone National Park.