"Enjoy your stay Miss." เสียงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสนามบินนอยไบกล่าวหลังจากยื่นพาสปอร์ตส่งคืนให้ฉัน ฉันตอบขอบคุณและเดินฝ่านักท่องเที่ยวชาวจีนนับสิบคนที่ยืนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวออกไปยังประตูทางออก เป้ใบเก่าที่ผ่านร้อนหนาวมานับร้อยทริปยังทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์อยู่บนแผ่นหลังของฉัน เสื้อสี่ห้าตัว กางเกงอีกสองตัว ผ้าพันคอผืนโต ชุดชั้นและของใช้ส่วนตัวอีกไม่กี่ชิ้นถูกบรรจุอยู่ในนั้นและตบท้ายด้วยกล้องถ่ายรูปตัวที่เบาที่สุดที่ฉันเป็นเจ้าของ กระเป๋าใบนี้มันจะบรรจุชีวิตทั้งชีวิตของฉันไว้ในเวลาแปดวันที่ฉันจะใช้ชีวิตในเวียดนาม หลังจากที่ฉันรู้สึกตัวว่าทั้งร่างกายและจิตใจมีพลังพอที่จะเผชิญกับโลกได้ฉันตัดสินใจที่จะไปไหนซักที่หนึ่งไปให้ไกลจากที่ๆเคยอยู่ ไปให้ไกลจากทุกสิ่งทุกอย่างที่คุ้นเคย และไปให้ไกลจากความคิดเดิมๆที่ยังมีเขาคอยวนเวียนหลอกหลอน ความโชคดีในความโชคร้ายฉันไม่ได้เหลือเงินมากมายนักสำหรับการท่องเที่ยวในปีนี้ ตัวเลือกจึงมีอยู่ไม่กี่ตัวและฉันก็ตัดสินใจเลือกเวียดนามเพราะค่าตั๋วเครื่องบินอยู่ในช่วงโปรโมชั่นและค่าโรงแรมก็ไม่ได้แพงอะไรแต่ฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับประเทศที่ "เขา" ผู้ชายคนนั้นก็มาเยี่ยมเยือนบ่อยๆด้วยเหตุว่าผู้หญิงอีกคนหนึ่งของเขาก็เป็นคนที่นี่ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า "นี่กระมัง หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง"
ฉันเดินออกมาจากตัวอาคารสนามบินและเลี้ยวขวาเดินต่อไปจนสุดทางเพื่อที่จะขึ้นรถโดยสารประจำทางไปในตัวเมืองฮานอย ฉันคุ้นเคยฮานอยดีเพราะเคยมาที่นี่นับสิบครั้งจึงไม่ได้ยากเย็นสำหรับฉันในการเดินทาง รถเมล์โดยสารเก่าๆที่ผู้โดยสารทั้งหมดเป็นชาวเวียดนามยกเว้นฉันคนเดียวเคลื่อนตัวออกจากท้ายสนามบินช้าๆ พนักงานประจำรถเดินเก็บค่าโดยสารมาจากด้านหลังสุดจนมาหยุดที่ฉันซึ่งนั่งอยู่หน้าสุด ฉันบอกเขาว่าฉันต้องการลงป้ายสุดท้ายซึ่งไม่ไกลจากโอลด์ควอร์ทเตอร์จุดที่ฉันได้จองห้องพักไว้พร้อมกับยื่นค่าโดยสารให้ พนักงานหนุ่มน้อยประจำรถยิ้มกว้างให้ฉันพร้อมกับชี้มาที่ฉันและเอ่ยว่า "เวียด" ฉันสั่นหัวให้เขาและตอบกลับว่า "No" ความเจ็บปวดระรอกแรกเริ่มโหมเข้ามา คนไทยและคนเวียดนามมีหลายอย่างคล้ายกันนี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาถึงมีฉันและมีผู้หญิงชาวเวียดนามอีกหนึ่งคน... รถแล่นเข้าสู่ตัวเมืองช้าๆ ละอองฝนปลิวเข้ามาในรถกระทบผิวหน้าฉัน อากาศในฮานอยค่อนข้างเย็นจนฉันต้องล้วงผ้าพันคอออกมาจากเป้และห่มคลุมตัวเองให้พ้นจากไอหนาว แขนสองข้างของฉันกอดเป้ใบเล็กไว้แนบอกเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ผู้คนสองข้างทางเดินเบียดกันอยู่บนทางเท้า ผู้หญิงเวียดนามตัวเล็กใส่ชุดประจำชาติเห็นผมยาวเฟื้อยที่ลอดออกมาจากหมวกทรงแหลมที่สวมอยู่ชั่งน่าดูนัก ฉันเองเป็นผู้หญิงเหมือนกันยังอดชื่นชมไม่ได้ เขาเองก็คงคิดเช่นเดียวกับฉัน เขาไม่ได้ผิดอะไรที่จะรักจะชอบกับผู้หญิงที่นี่แต่เขาผิดตรงที่เขาไม่ควรปิดบังฉัน เขาผิด ผิดอย่างมหันต์
รถจอดสนิทที่ป้ายสุดท้าย ฉันเดินจากรถช้าๆข้ามไปอีกฟากหนึ่งของถนนและลัดเลาะไปเรื่อยๆผ่านหาบแม่ค้าที่ขายอาหารประเภทเฝอและปิ้งย่าง กลิ่นอาหารกลิ่นควันไฟตลออบอวนไปทั่วถนนและมันเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆเดือนที่ฉันรู้สึกหิว ฉันปลดเป้ออกจากบ่าพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆหน้าหาบแม่ค้าสั่งอาหารโดยการชี้นั่นนี่และสุดท้ายฉันก็ได้เฝอถ้วยโตมาดับความหิวพร้อมทั้งเบียร์ฮานอยขวดเล็ก จัดการเรื่องปากท้องเสร็จฉันพาตัวเองเข้ามาในห้องพัก มันเป็นห้องที่เล็กที่สุดเท่าที่ทางโรงแรมมีอยู่และฉันเองเป็นคนเลือกห้องนี้เพราะไม่อยากอยู่ในห้องใหญ่ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลง ฉันเปิดนำ้อุ่นจัดราดลงบนตัวเองเหมือนกับจะพยายามกระตุ้นให้ทั้งร่างกายและหัวใจอุ่นขึ้นมาหลังจากที่มันเย็นยะเยือกมานานนับเดือน หลังจากการอาบนำ้ที่ยาวนานฉันสอดตัวเองในผ้าห่มผืนโตและนี่เป็นคืนแรกที่ฉันหลับได้อย่างง่ายดายและยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ฉันตัดสินใจที่จะไม่มีเขาในชีวิต
มีคนพูดไว้ว่า ผู้หญิงกับผู้ชายถ้าอกหักแล้วออกเดินทาง ผู้ชายก็แค่เปลี่ยนสถานที่กินเหล้า แต่ผู้หญิงเปลี่ยนสถานที่ร้องไห้ ฉันว่ามันไม่จริงสักเท่าไหร่ อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ร้องไห้ หรืออาจจะเป็นเพราะฉันไม่ได้อกหัก ฉันแค่เสียใจ เสียความรู้สึกดีๆที่เคยมี และสุดท้ายก็ตัดสินใจเสียเขาไป
No comments:
Post a Comment