Saturday, September 17, 2016

Incredible India


    Namaste Day 12
    New Delhi - Bangkok - Chiangrai


   เช้าสุดท้ายในอินเดีย ฉันวางแผนไว้ว่าจะนั่งจิบจัยร้อนๆในห้องเป็นการสั่งลาอินเดียแต่หลังจากที่ พยายามโทรศัพท์ติดต่อรูมเซอร์วิสหลายทีก็ไม่มีเสียงตอบรับฉันจึงยอมแพ้ มันคงไม่ใช่ประสงค์ของพระเจ้า ดังเช่นคนที่นี่เขาพูดกัน อาบน้ำแต่งตัวประณีตกว่าทุกวัน กางเกงยีนส์พร้อมเสื้อแขนยาวที่ใส่มาวันแรกและมันก็ถูกยัดไว้ใต้ลึกสุดซอก เป้ถูกหยิบมาใส่อีกครั้ง ครีมรองพื้น แป้งพัฟทาหน้า ดินสอเขียนคิ้วก็กลับมาทำหน้าที่ของมันหลังจากที่หยุดพักไปเกือบสองอาทิตย์ ยังมีคนอีกหลายคนในโลกนี้ที่ตัดสินคนอื่นจากลักษณภายนอก และฉันก็รู้ดีว่าบางทีลักษณะภายนอก บุคลิก การแต่งกาย มันก็ช่วยให้การใช้ชีวิตมันง่ายขึ้นและเป็นที่ยอมรับง่ายกว่า

    เช็คเอ้าท์แล้วเดินแบกเป้พร้อมหิ้วกระเป๋าใบใหม่ที่ใช้บรรจุของฝากซื้อออกมา ด้านหน้าโรงแรม มองหาคนขับริกชอว์ที่นัดหมายไว้เมื่อวานแต่ไม่เจอ หลังจากรออยู่ห้านาทียังไม่มาฉันก็ตัดสินใจเรียกริกชอว์คันอื่น สำหรับวันนี้เวลามันสำคัญเกินกว่าที่จะเอามาล้อเล่น บอกจุดหมายกับเด็กหนุ่มคนขับว่าจะไปสถานีรถไฟใต้ดินสำหรับแอร์พอร์ตเอ็กซ์ เพรซ เด็กหนุ่มตบเบาะรถให้ขึ้นมานั่งแต่ฉันถามราคาก่อน เขาบอกราคาเท่ากับราคาที่ตกลงกับคนขับอีกคนที่เขาไม่มาฉันจึงตกลงขึ้นรถ ออกรถไปได้สักพักเขาหันมาถามฉันด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นพอจับความได้ ว่าฉันจะไปไหน วินาทีนั้นฉันเหมือนจะรู้ชะตาตัวเองแล้วว่าคงจบไม่สวย ฉันย้ำกับเขาว่าเมโทรสเตชั่นสำหรับแอร์พอร์ต เขาทำหน้ามึนๆแต่ก็ขับไปเรื่อยๆและสุดท้ายก็มาส่งที่สถานีเมโทร ฉันมองดูรอบๆแต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสถานีที่ฉันขึ้นมาจากสนามบินวันก่อน หิ้วกระเป๋าใบเขื่องที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆพร้อมเป้อีกหนึ่งใบบนหลังลงไป ที่สถานี พยายามถามคนหลายๆคนที่เดินสวนไปมาแต่ก็ไม่เจอคนที่เข้าใจภาษาอังกฤษจน สุดท้ายเดินไปถามพนักงานขายตั๋ว เขายื่นเหรียญให้ฉันพร้อมบอกว่าแปดรูปี ฉันย้ำกับเขาว่าไปสนามบิน เขาก็พยักหน้าพร้อมกับบอกอีกครั้งว่าแปดรูปี ตอนนั้นฉันคิดว่าคงหมายถึงให้ขึ้นสถานีนี้แล้วไปลงอีกสถานีแล้วไปต่อเมโทร ที่นั่นสำหรับไปสนามบินเพราะแปดรูปีมันไม่น่าจะใช่ราคาค่าโดยสารไปสนามบิน จำได้ว่าขามาวันก่อนฉันจ่ายไปห้าสิบรูปี อากาศตอนแปดโมงเช้ากำลังสบายแต่ฉันรู้สึกเริ่มร้อนใจก็เลยตัดสินใจหยอด เหรียญเดินผ่านไปอีกฟากโดยไม่ขึ้นเมโทรเพราะคิดว่าอย่างน้อยก็กลับขึ้นไป ข้างบนได้และหารถคันอื่นหรือวิธีอื่น ดาต้าโรมมิ่งในโทรศัพท์ก็ใช้งานไม่ได้ในเวลานั้น ไม่มีอินเตอร์เน็ตในการเดินทางฉันก็เหมือนตาบอด เดินมาสักพักเจอเด็กผู้หญิงฉันรีบเข้าไปทักเพราะอายุเด็กขนาดนี้คงเป็น นักเรียนและนักเรียนก็ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ ฉันเดาถูกแต่เธอไม่สามารถช่วยฉันได้เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าฉันต้องขึ้นเมโทร สถานีไหน ขณะที่ฉันเกือบท้อก็มีคนเข้ามาช่วย ฉันต้องเรียกเขาว่าฮีโร่ พระเอก และเจ้าชาย เขาบอกว่าเขาเองก็กำลังจะไปเส้นทางสนามบินแต่จะลงหนึ่งสถานีก่อนฉัน เขาว่าเราต้องเดินสิบนาทีจากสถานีนี้ไปขึ้นเมโทรสถานีหน้า ฉันรู้สึกล้าที่แขนและขาเพราะกระเป๋าใบใหม่ก็หนักไม่ใช่เล่น เขาบอกว่างั้นนั่งริกชอว์ไปกันมั๊ย ฉันตอบตกลงและอาสาจะเป็นคนจ่ายค่าโดยสารให้เอง จากนั้นฉันและเขาซึ่งกลายสภาพเป็นเราก็นั่งริกชอว์ไปไปสถานีเมโทร เขาแย่งจ่ายค่าโดยสารริกชอว์พร้อมกับหิ้วกระเป๋าให้ฉัน พาไปซื้อเหรียญและช่วยแม้กระทั่งแตะเหรียญให้ประตูเปิด ฉันพึ่งเข้าใจว่าสโนว์ไวท์รู้สึกอย่างไรตอนเจ้าชายเอารองเท้าแก้วมาสวมให้ ฉัน ผู้หญิงอายุสี่สิบสามปี เคยมีผู้ชายผูกเชือกรองเท้าให้ เคยมีผู้ชายแต่งเพลงให้ เคยมีผู้ชายเขียนคำนิยามให้ฉันในหนังสือเล่มขายดีของเขา เคยมีผู้ชายสระผมและเป่าผมให้ แต่ไม่เคยม่ผู้ชายคนไหนแตะเหรียญโดยสารเมโทรให้ฉัน มันคงเป็นประสงค์ของพระเจ้า เจ้าชายอินเดียของฉัน ฮีโร่ของฉัน พระเอกของฉัน ในเมโทรเรานั่งคุยกันหลายเรื่องและจบท้ายด้วยการถ่ายเซลฟี่ด้วยกันและแลก เบอร์Whats App ตามธรรมเนียมอินเดีย

    มาถึงสนามบินเวลากำลังดี พนักงานสายการบินทำท่าอิดออดเมื่อเห็นขนาดกระเป๋าที่ฉันบอกว่าเป็นกระเป๋า ถือ เขาพยายามจะให้ฉันโหลดเข้าใต้ท้องเครื่องแต่ฉันอธิบายว่าพอถึงกรุงเทพฉัน ต้องรีบไปต่อเครื่องภายในประเทศและมีเวลาแค่หนึ่งชั่วโมง เขาแนะนำให้ฉันไปคุยกับหัวหน้าเขา ใช้เวลาคุยไม่ถึงสองนาทีฉันก็ได้เข้าไปนั่งรอหน้าประตูขึ้นเครื่องพร้อม กระเป๋าและเป้ โชคดีชะมัด ไวน์แดงแก้วโตบนเครื่องทำให้ใจฉันสงบลง อาหารไทยมื้อแรกในรอบสิบสองวันถึงแม้จะเป็นแค่อาหารบนเครื่องบินแต่ฉันก็ รู้สึกว่ามันอร่อย เปิดที่พักแขนของเก้าอี้ทั้งแถวที่มีฉันนั่งเพียงคนเดียวออกแล้วล้มตัวนอน ฝันถึงอินเดีย ต่อเครื่องมาเชียงรายได้ทันเวลาสบายๆ อีกครึ่งชั่วโมงกับเวสป้าที่เอาไปจอดไว้ที่สนามบินฉันก็กลับมานั่งอยู่ที่ โต๊ะทำงาน สะสางงานที่ค้างไว้ ส่งรูปให้ลูกค้า อีเมล์ เอกสารอีกสองสามแผ่น

    เช้านี้ฉันทิ้งอินเดียไว้ข้างหลังฉัน แต่อินเดียก็จะอยู่ในความทรงจำฉันไปอีกนานแสนนาน การเดินทางหลายๆครั้งของฉันทำให้ฉันลบล้าง ทฤษฎีเขาว่า ไปได้อย่างหมดจด เขาว่า ใครว่า คนนี้ว่า คนนู้นว่า มันไม่ได้สำคัญไปกว่า ฉันลงมือทำ การเดินทางอันยิ่งใหญ่ของคนตัวเล็กๆ
Incredible India!


      The only impossible journey is the one you never begin.












Friday, September 16, 2016

Incredible India


   

   Namaste Day 11
   New Delhi

   วันส่งท้ายกรุงนิวเดลี วันที่ฉันตั้งใจที่จะเดินเที่ยวตลาดอินเดียให้สาสมแก่ใจ เริ่มจากตลาดชื่อดังอย่างตลาดทิเบตแล้วแวะวนไปเรื่อยๆจนถึงตลาดใต้ดิน ตลาดทิเบตเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวมากมีของแฮนด์เมดสวยๆให้เลือกมากมายจนทำเอาฉันใจละลาย กระเป๋าปักลูกปัดสวยๆงานละเอียดยิบ ปลอกหมอน ผ้าปูโต๊ะ รองเท้าอินเดียที่โครตจะอินดี้ งานแก้ว งานลูกปัด สีสันสดใสต้องตาต้องใจไปหมดจนอยากซื้อมาทั้งตลาด ตลาดใต้ดินที่อยู่ถัดไปอีกหัวมุมถนนไม่ค่อยมีของที่ฉันชอบเพราะจะขายพวกเสื้อผ้าแบบทันสมัย ยีนส์ แว่นกันแดด กระเป๋า แต่สถานที่สุดยอดมากเพราะพี่แขกแกเจาะใต้ดินเหมือนทางรถไฟใต้ดินแต่ทำเป็นร้านค้าอยู่ในนั้น ร้านนับพันๆร้านเรียงรายกันอยู่ใต้ดิน ฉันเดินได้ไม่ถึงครึ่งชั้วโมงก็ยอมแพ้เพราะทั้งกลิ่นธูปที่สุดบูชาตามร้านต่างๆบวกกับกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศ เดินกลับขึ้นมาลัดเลาะตามถนนไปเรื่อยๆตลาดร้านค้าหาได้ทุกซอกทุกมุม คนอินเดียชอบซื้อพอๆกับชอบขายและหากคนไทยมาเที่ยวอินเดียก็ให้เตรียมเงินสำหรับซื้อของมาเยอะๆเพราะของที่นี่น่าซื้อไปซะทุกอย่าง จริงๆ เดินท่องตลาดจนเหงื่อชุ่มหลังระยะทางคงนับสิบกิโลเมตร วันนี้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่จ้างรถโดยสาร หอบของพะรุงพะรังเป็นบ้าหอบฟางเดินเหงื่อไหลไคลย้อยมายืนกินมะม่วงสุกจากร้านผลไม้ริมทาง มะม่วงอินเดียลูกโตเปลือกหนาเวลากินเขาไม่ปอกเปลือกแต่เขาจะคลึงให้ทั้งลูกน่วมแล้วกัดหัวมะม่วงดูดกินข้างใน ฉันเคยอ่านเจอเรื่องนี้มาก่อนและวันนี้ก็อยากลองของจริง เลือกมะม่วงลูกที่ถูกใจมาหนึ่งลูกและฉันก็เลือกลูกที่ไม่สุกจัดจนเกินไปเพราะคิดว่าโอกาสที่จะมีหนอนข้างในย่อมน้อยกว่า เอาน้ำดื่มที่ซื้อเตรียมไว้ล้างให้สะอาด อันนี้ทำเองนะแขกเขาไม่ล้างกันหรอก คลึงมะม่วงจนข้างในน่วมเละแล้วจัดการกัดหัวมะม่วงดูดเอาเนื้อกิน ป้าาาาาซซซซ โน่นหัวหูหน้าฉันรวมทั้งเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวตัวที่สะอาดที่สุดและยังไม่เคยใส่ตั้งแต่เอายัดเป้มาจากบ้านเลอะเทอะไปด้วยเศษมะม่วง แทนที่จะช่วยเหลือพี่แขกคนขายมะม่วงกลับทำหน้ามึนๆใส่ฉัน เฮ้ออออ อินดี้จริงๆ เดินลากสังขารผ่านตลาดสดอีกสองสามตลาดแวะซื้อทับทิมลูกงามๆสองสามลูกเอาไปกินในห้อง แวะซื้อกระเป๋าใบใหญ่สำหรับใส่สมบัติที่ซื้อหามา ใจไม่ได้คิดถึงสภาพตัวเองแล้ว หัวหู เสื้อผ้า หน้าตาจะเป็นยังไงมันไม่ได้สำคัญอะไร เพราะมันเป็นอินเดีย!

   กลับมาที่พักเอาของมาเก็บเพราะหิ้วไม่ไหวแล้วออกไปเดินดูร้านรวงบนถนนหน้าโรงแรม ของที่นี่ก็น่าซื้อหาไปหมด ได้รองเท้าอีกหลายคู่ กางเกงอีกหลายตัว ผลิตภัณฑ์หิมาลายาที่เขาล่ำลือกันว่าดีนักดีหนาอีกหลายหอบ รับหิ้วของเล็กๆน้อยๆจากเพื่อนฝูงในไทยหาค่าข้าวที่สนามบินพรุ่งนี้ อิอิ ระหว่างทางเจอขบวนแห่พระพิฆเนศหรือที่นี่เรียกว่า Ganesh Chaturthi เขาจะแห่พระพิฆเนศไปยังแม่น้ำยมนาหรือแม่น้ำที่อยู่ใกล้ ขบวนสนุกมากเต้นกันจนตับคลอนพร้อมกับมีการโปรยสีเหมือนพิธีโฮลี่ที่เคยเจอที่อินเดียใต้สิบกว่าปีก่อน ฉันเดินร่วมขบวนไปกับเขาจนสุดถนน เสื้อผ้าผมเผ้าเต็มไปด้วยสี เต้นกันจนเหนื่อยหอบทั้งเด็กหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ นักบวชที่นั่งอยู่บนรถแห่ยื่นกล้วยให้ฉันหนึ่งใบซึ่งมารู้ทีหลังว่าสำหรับเก็บไว้บูชาที่บ้าน ฉันไม่รู้นึกว่าให้กินก็เลยปอกกินไปเรียบร้อย อันนี้ท่าจะได้บุญหนัก 

   อินเดียไม่เคยทำให้ใครรู้สึกเบื่อ ถ้าอินเดียเป็นอาหารก็คงเป็นต้มยำน้ำข้นหรือไม่ก็แกงส้มปักษ์ใต้ มันครบรส มันครบสี มันมาพร้อมกันหลายๆกลิ่น อินเดียให้อะไรกับฉันมากมายโดยเฉพาะสอนให้ฉันอดทนและใจเย็นขึ้น ขอบคุณอินเดียที่ให้หมายเลขสี่สิบสามของฉันเป็นอีกหนึ่งหมายเลขอันทรงคุณค่า Incredible India! 













   

   

   

Wednesday, September 14, 2016

Incredible India


     Namaste Day 10
  Varanasi - New Delhi

  ฉันบอกลาพาราณสีด้วยการเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอยเล็กๆในเขตเมืองเก่า เสื้อสามสี่ตัวที่ใช้นุ่งห่มมาตลอดการเดินทางครั้งนี้บวกกับเลกกิ้งที่มากับชุดอินเดียที่ซื้อใหม่เมื่อวานแต่ฉันไม่ถูกใจถูกเก็บใส่ถุงแล้วมอบให้กับคนเร่ร่อนที่นั่งรับทานอยู่ริมถนน ฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าการให้เสื้อผ้าที่ใช้แล้วเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ แต่เห็นคนรับท่าทางดีใจก็คงจะเป็นสิ่งที่ควรกระทำ คนอินเดียยังคงใช้ระบบชนชั้นวรรณะ คนวรรณะสูงจะไม่ยอมใช้ของร่วมกับคนวรรณะต่ำแม้กระทั่งอาหารและอุปกรณ์การดื่มกิน หลายๆที่ขายจัยและลาสซี่บรรจุในถ้วยดินเผา กินดื่มเสร็จก็ปาถ้วยให้แตกเพราะกลัวคนวรรณะต่ำกว่านำไปใช้ ฉันแอบเสียดายและสงสารถ้วยดินเผาใบเล็กน่ารักพวกนั้นก็เลยไม่เคยปาให้แตกเลย เก็บข้าวของเครื่องใช้แล้วล่ำลาหนุ่มใหญ่เจ้าของที่พักที่จัดการเรื่องรถไปส่งสนามบินให้ฉันเรียบร้อย เขาทำตาละห้อยและพร่ำว่าเสียใจที่ฉันจากไปในวันนี้ ฉันบอกเขาว่าถ้าเป็นประสงค์ของพระเจ้า วันหนึ่งฉันก็ต้องกลับมา อยู่อินเดียมาหลายวันคารมณ์ฉันเริ่มจะอินดี้ ที่จริงแล้วเขาเป็นคนน่ารัก สองค่อนคืนเรานั่งคุยกันที่ล้อบบี้และเขายังใจดีปริ้นท์บอร์ดดิ้งพาสให้ฉันเพื่อที่ฉันจะไม่ต้องเสียเวลาต่อแถวที่สนามบิน โรงแรมเขาเป็นโรงแรมเล็กๆแต่จัดแต่งได้น่ารักและสะอาดสะอ้าน ฉันก็ได้แต่อวยพรให้เขามีความสุขกับงานและชีวิตเขา

   หนึ่งชั่วโมงรถแท็กซี่จากแม่น้ำคงคาฉันก็มาถึงสนามบินพาราณสีและอีกหนึ่งชั่วโมงบินฉันก็กลับมาที่เดิมที่ๆฉันเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ กรุงนิวเดลี  จากสนามบินฉันตัดสินใจใช้บริการรถไฟใต้ดินเพราะค่าแท็กซี่จากสนามบินเข้าเมืองแพงโข จำได้ว่าตอนขามาจ่ายไปเจ็ดร้อยห้าสิบรูปี ค่ารถจากอาคารภายในประเทศไปสถานีรถไฟใต้ดินสนามบินสามสิบรูปี บวกกับค่ารถไฟใต้ดินสนามบินไปสถานีกลางเมืองเดลีอีกห้าสิบรูปี ราคาต่างกันมากโข รถไฟใต้ดินแอร์พอร์ตเอ็กซ์เพรสของอินเดียดีมากๆ สะอาด สะดวก รวดเร็ว จนฉันแอบคิดไม่ได้ว่าดีกว่าแอร์พอร์ตลิ้งค์ของกรุงเทพเสียอีก ออกจากรถไฟใต้ดินมาก็กะจะเดินไปที่พักเพราะดูจากแผนที่กูเกิ้ลแค่สิบห้านาที เดินตามแผนที่มาปรากฏว่าทางที่จะเดินเขาห้ามเข้าก็เลยเดินอ้อมไปอ้อมหาแล้วเกิดหลง ตัดสินใจไหนก็ไหนๆละงั้นนั่งสามล้อไปก็แล้วกันระยะทางก็ไม่ถึงสองกิโล นั่นเป็นการตัดสินใจพลาดมหันต์ของฉัน ด้วยข้อตกลงราคาค่าโดนสารหนึ่งร้อยยี่สิบรูปี คนถีบสามล้อพาฉันไปวนไปวนมาพอฉันบอกให้ไปตามแผนที่ก็เอะอะโวยวาย ไปถึงกลางทางเขาพาฉันแวะโรงแรมที่ฉันไม่ได้จองไว้ฉันก็บอกพนักงานโรงแรมนั้นไปว่าฉันจองที่อื่นไว้แล้ว ฉันเห็นท่าจะไม่ไหวก็เลยจะลงตรงนั้นแต่คนถีบสามล้อไม่ยอมพร้อมส่งสัญญาณให้กลับมานั่งบนสามล้อเหมือนเดิมและปั่นต่อไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่ควรจะเป็น ระหว่างทางฉันไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรเพราะเขาพูดแต้ภาษาฮินดี พอสามล้อเลี้ยวมาถึงถนนที่โรงแรมฉันตั้งอยู่ฉันเริ่มใจชื้น คนถีบสามล้อจอดอีกสองสามครั้งพยายามจะให้ฉันเข้าพักที่ๆฉันไม่ได้จองไว้ ฉันเข้าใจดีว่าเขาคงอยากได้ค่าน้ำ อีกแค่ไม่กี่ร้อยเมตรฉันจะถึงที่พักเขาก็พยายามจอดอีกและฉันก็หมดความอดทนเลยชี้ไปที่ป้ายโรงแรมที่ฉันจองไว้ เขาจอดสามล้อหน้าโรงแรมที่ฉันของไว้ฉันกล่าวขอบคุณเขาพร้อมยื่นเงินให้เขาหนึ่งร้อยยี่สิบรูปีและเพิ่มให้อีกยี่สิบรูปีเป็นค่าทิปตามหลักอินเดีย เขาไม่ยอมรับเงินและบอกกับฉันว่าต้องสองร้อยห้าสิบรูปี โลกทั้งโลกมืดไปหมดสำหรับฉันวินาทีนั้น ฉันบอกเขาว่านี่เงินของคุณ ค่าโดยสารที่ฉันต้องจ่ายให้คุณ หนึ่งร้อยยี่สิบรูปีบวกอีกยี่สิบรูปีเป็นค่าทิปสำหรับระยะทางสองกิโลเมตร เขาก็ยังโวยวายและไม่ยอมรับ ฉันวางเงินจำนวนนั้นลงบนเบาะสามล้อแล้วเดินผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมเข้าประตูโรงแรมไป โชคดีที่โรงแรมที่พักที่ฉันจองไว้เป็นโรงแรมระดับดีตนถีบสามล้อจึงไม่สามารถตามเข้ามาได้ และระหว่างที่เขาส่งเสียงโวยวายอยู่หน้าโรงแรมก็มีพนักงานหลายคนออกมาดู ฉันเดินไปที่รีเซฟชั่นโรงแรมจัดการเรื่องเช็คอินแต่ตาก็อดเหลือบไปมองคนถีบสามล้อที่ยังยืนอยู่ข้างนอกส่งเสียงโวยวายใส่พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ได้ ฉันทนไม่ไหวเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่คนคนนี้ทำมันไม่ถูกต้องก็เลยเอ่ยปากฝากเป้ไว้กับพนักงานต้อนรับโรงแรมแล้วเดินกลับออกไปที่พนักงานรักษาความปลอดภัย คนถีบสามล้อ และพนักงานโรงแรมอีกสองคน พวกเขาถามฉะนว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันอธิบายถึงข้อตกลงราคา ระยะทาง และการกระทำของคนถีบสามล้อ ฉันบอกเขาไปว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินที่เขาต้องการจากฉัน แต่ปัญหามันอยู่ที่เขาทำไม่ถูก เขาเอาเปรียบผู้โดยสาร เขาหลอกผู้โดยสารและเขาเป็นคนไม่ดี ฉันบอกกับเขาผ่านคำแปลของพนักงานโรงแรมซึ่งฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะแปลอย่างที่ฉันบอกหรือไม่ว่า ถ้าเงินอีกหนึ่งร้อยกว่ารูปีของฉันทำให้เขามีความสุขฉันก็จะจ่ายเพิ่มให้  โหหหหหห...นึกย้อนกลับไปแล้วเห็นตัวเองโครตแมนเลย แต่สรุปฉันจ่ายเพิ่มอีกยี่สิบรูปี คนถีบสามล้อก็แฮ้ปปี้  แก่น_ _ _ เงินไม่ถึงสิบบาททำเอาป้าโมโหจนหน้ามืด

   ที่พักสวยงามเหมือนกับที่คิดไว้และอยู่บนถนนการค้าและท่องเที่ยวของเดลี ฉันออกไปเดินเล่นดูร้านรวงและได้ของติดมือมาสองสามชิ้น แวะซื้อไก่ย่างพร้อมข้าวผัดเม็ดยาวรีมาเป็นมื้อค่ำ กล้วยหอมงามๆอีกครึ่งหวี น้ำอ้อยคั้นสดบีบมะนาวใส่เพิ่มความสดชื่น ถนนเมนบาซ่าคึกคักนัก รถราวิ่งกันขวักไขว่ ผู้คน ฝูงวัว แพะ ยังมีทุกที่เหมือนเดิม ฉันเดินผ่านผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังถกเถียงเรื่องค่าโดยสารกับคนถีบสามล้อโยนเงินใส่กันไปโยนเงินใส่กันมา แล้วฉันก็คิดมาถึงตัวเอง ที่จริงเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันมันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย มำไมฉันต้องอารมณ์เสียและคิดไปขนาดนั้น มันเป็นเกมส์ มันเป็น.....อินเดีย   Incredible India!













Incredible India



   

    Namaste Day 9
    Varanasi

    เสน่ห์ของพาราณสีมีมากพอที่ทำให้ฉันตัดสินใจอยู่ต่ออีกและมันก็หมายความว่าเวลาที่จะมีให้เดลีนั้นสั้นลงตามไปด้วย แต่พาราณสียังมีอีกสองสามอย่างที่ฉันอยากสัมผัส ช่วงเช้าฉันเดินจากท่านำ้นั้นไปท่าน้ำนี้ดูวิถีชีวิตของผู้คนริมแม่นำ้คงคา อาบน้ำ ลอยกระทงเทียน ล่องเรือชมท่าน้ำ บริการโกนหนวด นักบุญหลายสิบคนก็สวดมนต์ฮึมฮัมกันไป ฉันเดินจนมาจบที่ท่าน้ำเผาศพอีกครั้ง ชายสองสามคนโกยขี้เถ้าและเศษสิ่งที่เหลือจากการเผาไหม้ลงไปในแม่น้ำ ปรับพื้นทรายให้เรียบแล้ววางกองฟืนขึ้นสามสี่ชั้นก่อนจะวางศพลงไปแล้วตามด้วยกองฟืนอีกหลายชั้น ศพแล้วศพเล่าที่พวกเขาเผา วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ว่ากันว่าไฟเผาศพริมแม่น้ำคงคาไม่เคยดับมานานนับพันปีเลยทีเดียว 

   จากท่าน้ำฉันเดินย้อนออกมาถนนใหญ่หาริกชอว์เพื่อไปสารนาถ ซึ่งเป็นพุทธสังเวชนียสถานแห่งที่สาม (หนึ่งในสี่ของชาวพุทธ) สารนาถหรือที่รู้จักกันดีว่าอิสิปตนมฤคทายวันอยู่ห่างจากเมืองพาราณสีไปทางเหนือประมาณสิบกิโลเมตร เหตุที่ได้ชื่อว่าสารนาถ เนื่องมาจากสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา เริ่มต้นประกาศพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่พึ่งแก่มหาชนทั้งหลาย และบ้างก็ว่ามาจากศัพท์ว่า สารงฺค + นารถ = ที่อยู่ของสัตว์จำพวกกวาง เส้นทางไปสารนาถก็ขับย้อนกลับไปทางที่เคยผ่านมาแล้วจากสนามบินและสถานีรถไฟแล้วข้ามแม่น้ำวรุณะ หนทางเต็มไปด้วยฝุ่นควัน หลายๆครั้งต้องขับหลบพาหนะของพระศิวะหลายๆตัวที่นอนกันอยู่กลางถนน ฉันควักหน้ากากอนามัยที่พร้อมกับแว่นกันแดดโตมาใส่ ปัจจัยสำคัญที่เตรียมไว้สำหรับสถานการณ์แบบนี้มาโดยเฉพาะ ระยะทางไม่ได้ไกลนักแต่เพราะทางลำบากก็เลยใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งชั่วโมง ฉันแอบรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมาถึงอิสิปตนมฤคทายวัน จำได้ว่าตอนเรียนชั้นประถมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะพูดชื่อนี้ได้ วิชาพระพุทธศาสนาที่เรียนมาก็กล่าวถึงสถานที่นี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ออกข้อสิบมาก็หลายข้อหลายชั้นเรียน วันนี้ได้มาให้เห็นกับตา  บัตรผ่านประตูราคาสองร้อยรูปีแต่ฉันยื่นพาสปอร์ตไทยให้เจ้าหน้าที่ เขามองมาที่พาสปอร์ตฉันแล้วบอกว่าสองร้อยรูปี ฉันมองตรงไปในตาของเขาและย้ำกับเขาว่าฉันเป็นคนไทย ส่ายหัวยึกยักสองทีเขาก็ฉีกตั๋วส่งมาให้ราคาสิบห้ารูปี รับตั๋วมาพร้อมยื่นเงินให้เขาสิบห้ารูปีแล้วเดินออกมา การเดินทางสอนให้ฉันเตรียมตัวให้พร้อม ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญและข้อมูลต้องมีการอัพเดท ฉันไม่เคยเชื่อข้อมูลในหนังสือที่มีอายุนานกว่าหกเดือน ข้อมูลจากคนที่เคยไปมาเมื่อหลายปีก่อน ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ฉันแค่เอาข้อมูลเหล่านั้นมารวมกันและประมวลกับข้อมูลปัจจุบันและประสบการณ์ของตัวเอง สถานที่แต่ละที่ในอินเดียหากมีการเก็บค่าตั๋วจะมีสองราคา ราคาคนอินเดีย และราคาคนต่างชาติ ไทยและอินเดียมีข้อตกลงร่วมกันอยู่หลายข้อซึ่งฉันก็ไม่รู้ทั้งหมดแต่พอจะรู้บ้างว่าสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆที่คนไทยสามารถซื้อตั๋วได้ในราคาคนอินเดีย พนักงานเช็คตั๋วตรงประตูเข้าทำหน้างงๆเมื่อฉันยื่นตั๋วสีขาวให้เขาซึ่งเป็นตั๋วคนอินเดีย และทำท่าจะกันฉันไม่ให้เข้า ฉันบอกกับเขาว่าเป็นคนไทย นี่ก็แสดงว่าคงมีคนไทยหลายๆคนเสียเงินราคานักท่องเที่ยวที่อิสิปตนมฤคทายวัน  ด้านในสงบเงียบสมเป็นปูชนียสถาน แดดจัดทำให้ฉันเดินแค่ให้ผ่านซากปรักหักพังของเจดีย์แบบเร็วๆ มาหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้และนั่งทำใจสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้สิบนาที ฉันมาถึงแล้วดินแดนของพระพุทธเจ้า

   นั่งริกชอว์กลับเข้ามาริมแม่น้ำคงคา ระหว่างทางเดินกลับที่พักแวะซื้อเสื้อผ้าใหม่ เสื้อที่เอามาจากบ้านใส่เสร็จแล้วมีหลายตัวต้องทิ้งไปเพราะฝุ่นควันเกาะซักไม่ออก จากเสื้อสีขาวกลายเป็นสีครีมและหลังจากพยายามซักแล้วฉันก็ยอมแพ้ก็เลยใส่แล้วทิ้ง ไม่ได้เสียดายอะไรเพราะเป็นเสื้อราคาถูก ดีเหมือนกันไม่ต้องแบกกลับให้เมื่อยหลัง เดินผ่านพ่อค้าขายน้ำทับทิมเห็นเขากำลังนั่งแกะทับทิมสีแดงช้ำน่ากินก็เลยซื้อชิมหนึ่งแก้ว ทับทิมลูกเล็กๆแต่ข้างในสีสวย แกะเมล็ดออกมาแล้วเอาใส่ไปในเครื่องคั้นได้น้ำทับทิมสีสวยออกหนึ่งแก้ว เดินฮัมเพลงที่ตัวเองคิดว่าเป็นเพลงฮินดีหาทางกลับที่พัก วันนี้นอกจากจะมีแพะ วัว คน จักรยาน มอเตอร์ไซค์ โยคี บาบู แล้วก็ยังมีลิงอีกหลายตัวเดินสวนกันไปมา ไม่ได้รีบร้อนอะไรก็แวะจิบจัยบ้าง กินนานกับแกงถั่วตามข้างทางบ้างสบายใจอินดี้ เดินผ่านไปมาบ่อยๆจนคนชักจะจำหน้าได้ เสียงทักทายมีมาเป็นระยะๆ นามัสเต นามัสเต บาบูหรือนักบวชที่นั่งรอรับทานริมทางถึงกับกล้าเอ่ยปากแซวฉัน "วันนี้ไม่ถ่ายรูปบาบูเหรอ สิบรูปีเอง" 

   ก่อนค่ำออกไปริมท่าน้ำอีกรอบโดยมีหนุ่มน้อยหน้าตาดีตามมาตั้งแต่ออกจากที่พัก เริ่มคิดเข้าข้างตัวเองว่าเนื้อหอมชะมัดตั้งแต่มาอินเดีย พูดไปแล้วหนุ่มอินเดียก็แปลกไม่ใช่เล่น บางครั้งฉันคิดว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ขายของ พาไปร้านโน้นร้านนี้เพื่อเอาค่าคอมมิชชั่น แค่อยากเป็นเพื่อนด้วย หรืออื่นๆ เดาไม่ถูกเลยจริงๆ บางครั้งนึกว่าเขามาคุยด้วยเฉยๆแต่กลับกลายเป็นมาหาผลประโยชน์ บางครั้งฉันคิดว่าเขาจะมาขายโน่นนี่นั่นให้กลับกลายเป็นว่าแค่มาคุยด้วยและเดินเป็นเพื่อน มีอยู่คนหนึ่งหลังจากเดินเป็นเพื่อนได้เกือบครึ่งชั่วโมงก็ชวนไปดื่มชา พอฉันบอกว่าดื่มมาแล้วเขาก็เปลี่ยนแนวเป็นชวนไปกินข้าว ฉันบอกว่ากินมาแล้วเหมือนกันเขาก็ชวนไปนั่งรับลมบนชั้นดาดฟ้าร้านอาหารเพื่อนเขา ฉันบอกไม่อยากไปเขาก็บอกว่างั้นไปทำอย่างอื่นก็ได้ไหนๆเธอก็มาถึงอินเดียแล้ว ลองอินเดียละยัง? เออออถามกันหน้าซื่อๆตาใสๆไม่มีเจตนาทำให้โกรธ คนอะไร ประเทศอะไรน่ารักจัง นี่ยังไม่รวมไปถึงร้านที่ขายลาสซี่ที่มีข้อเสนอพิเศษบริการเสริมลาสซี่มาลีฮวนน่า บุหรี่ยัดใส้และอื่นๆอีกมากมาย 

   หนึ่งทุ่มตรงไปยืนเบียดคนนับพันเพื่อร่วมพิธีบูชาไฟริมแม่น้ำคงคา พิธีกรรมคืนนี้ย้ายจากดาดฟ้าลงมาบนหาดเพราะระดับน้ำลดลงมากนับเป็นโชคดีของฉันที่ได้เห็นพิธีกรรมใกล้ๆ แต่ก็เกือบเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เพราะคนเยอะเหลือเกิน เบียดเสียดกันจนฉันหายใจไม่ออกและสุดท้ายก็ยอมแพ้เดินแทรกผู้คนออกมายืนหอบอยู่บนถนน เดินย้อนออกมาหาวิธีส่งท้ายพาราณสี ใจคิดไปถึงเบียร์สักขวดแต่หาซื้อยากมากแม้แต่ในร้านอาหารก็ไม่มีขาย ชีวิตสุวรรณีน้อยนอกจากจะไม่ได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์มาก็หลายวันแล้ว คืนนี้อยากลิ้มรสเบียร์ก็หาซื้อไม่ได้อีก.... Incredible India!




















   

Monday, September 12, 2016

Incredible India



     

      Namaste Day 8
      Varanasri 

      ตีห้ากว่าๆฉันถูกปลุกด้วยเสียงร้องเพลงฮินดูจังหวะแร็พจากพนักงานโรงแรมหนุ่มคนเดิมที่แหกปากร้องเพลงจนถึงเกือบตีสอง คนอินเดียชอบดูหนังฟังเพลงเป็นอันมาก ห้องพักของฉันเป็นห้องเล็กๆชั้นล่างติดกับห้องโถงที่ใช้สำหรับทำกิจกรรม ดูทีวี อ่านหนังสือ นั่งคุยกัน และร้องเพลง ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นลูกค้าคนเดียวของที่นี่ โรงแรมเล็กๆเก่าๆและกำลังอยู่ในระหว่างปรับปรุง เสียงดังจากการตอกตะปูบวกกับเสียงทีวีและเสียงร้องเพลงของพนักงานหนุ่มสี่ห้าคนตลอดวันและเกือบตลอดคืนคนทำให้ฉันไม่ชอบใจนัก ห้องนำ้รวมบวกกับต้องซื้อไวไฟใช้อีกหนึ่งร้อยรูปียิ่งทำให้ฉันไม่ชอบใจหนักยิ่งขึ้น เจ็ดโมงเช้ากว่าๆหลังจากจองห้องพักที่ใหม่ได้ฉันออกไปล้างหน้าล้างตาและคว้าเป้กับอุปกรณ์ถ่ายรูปไปท่าน้ำ แวะดื่มจัยถ้วยโตระหว่างทางทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น ท่าน้ำตอนเช้าคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาสักการะแม่น้ำคงคา กราบไหว้ทำพิธีเสร็จก็ลงไปอาบดำจนมิดศีรษะพร้อมดื่มกิน คงต้องเป็นพลังศรัทธาจริงๆจึงจะทำได้เพราะสภาพน้ำสีขุ่นจนติดดำ ฉันเดินดูจนทั่วบริเวณท่าน้ำDarphangaซึ่งเป็นท่าน้ำหลักของที่นี่จากหลายๆสิบท่าน้ำ มาหยุดนั่งพักอยู่ตรงขั้นบันไดของท่าน้ำและเก็บรายละเอียดทุกอย่างไว้ในความทรงจำ ชาวฮินดูทุกเพศทุกวัยอยู่กันที่ท่าน้ำนี้เสมือนกับเป็นกิจกรรมของครอบครัวที่จะขาดไม่ได้ หลายๆคนเดินทางมาจากต่างเมืองดูจากลักษณะการแต่งกาย บ้างก็ลงอาบน้ำ บ้างก็ซื้อกระทงดอกไม้ธูปเทียนจุดลอยบูชาไปในแม่น้ำ บ้างก็นำภาชนะมาตักเอาน้ำไปบูชาหรืออาจจะไปฝากคนทางบ้าน นั่งอยู่คนเดียวเงียบๆไม่เกินห้านาทีฉันก็ได้เพื่อนใหม่ You are never alone in India มันคือเรื่องจริงที่สุด คนอินเดียสนใจคนต่างชาติมาก เขาจะเข้ามาคุยด้วยมาถามชื่อถามอายุถามที่มาและท้ายสุดถ้าเขามีโทรศัพท์มาด้วยเขาจะขอถ่ายรูปคู่ด้วยและขอเบอร์what's app คงเป็นแอพพลิเคชั่นที่ฮิตเอามากในอินเดีย เด็กสาวรับเพ้นท์เฮนน่าเดินตามฉันมาพักใหญ่และมานั่งกระแซะข้างๆไม่ยอมห่าง ฉันอยากมีโมเม้นส่วนตัวริมแม่นำ้คงคาก็เลยจ้างเธอไปเก็บใบโพธิ์มาให้โดยมีข้อแม้ว่าต้องเอาใบเล็กๆและสวยๆเท่านั้น ไม่ถึงสิบนาทีเธอก็กลับมาพร้อมใบโพธิ์จำนวนหนึ่งซึ่งฉันจะเอาไปฝากคนทางบ้าน ก็ให้เงินเธอไปพร้อมกับยาหม่องตราลิงอีกหนึ่งอันแต่เธอก็ไม่วายจะตื้อฉันให้ใช้บริการเพ้นท์เฮนน่าจากเธอ 

  ใช้เวลานานโขสำหรับหาทางกลับมาห้องพัก หลงทางมันเป็นเรื่องปรกติของที่นี่ แต่ไม่ว่าหลงยังไงสุดท้ายก็หาทางเจอทุกครั้งมันน่าแปลกจริงๆ ซอกเล็กซอกน้อยพร้อมกิ่นขี้วัวขี้คนยามเช้าทำให้ฉันรู้สึกเวียนหัว กลิ่นขี้วัวที่นี่ไม่ได้กลิ่นเหมือนขี้วัวบ้านเรา วัวอินเดียกินขยะกลิ่นขี้ก็เลยคาวมาก บางที่ฉันแอบตกใจไม่ได้ที่เห็นอาหารของวัวที่นี่ เศษอาหาร กระดาษหนังสือพิมพ์ ถุงพลาสติก เรียกว่ากินทุกอย่างที่มนุษย์ทิ้งไว้บนถนน พอวัวขี้ออกมาหมาเดินมากินขี้วัวต่ออีกทีหนึ่งเหมือนกับระบบรีไซเคิล กลับมาถึงห้องพักกะว่าจะนั่งเขียนบล้อคแต่ปรากฏว่าไม่มีสัญญาณไวไฟซึ่งที่จริงก็ไม่มีมาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วพอออกไปถามที่พนักงานก็บอกว่าใช้งานไม่ได้ ฉันเกิดอาการหัวเสียและก็ไม่ได้ชอบที่จะพักที่นี่อยู่แล้วก็เลยเก็บของใส่เป้ออกไปเช็คเอ้าท์ ค่าห้องพัก ค่าอาหารเมื่อวาน ค่าน้ำดื่มและค่าไวไฟ ฉันถามกลับไปว่าในเมื่อไวไฟใช้งานไม่ได้ตลอดครึ่งวันฉันยังต้องจ่ายเต็มราคาอีกหรือ พนักงานตอบว่าต้องจ่ายราคาเต็มและต้องขอโทษด้วยในความไม่สะดวก ฉันตอบไปว่าไม่เป็นไรเพราะที่ถามก็แค่อยากรู้แค่นั้นเอง ก่อนเดินออกมาเขาขอร้องให้ฉันเขียนรีวิวลงในTrip Advisor ฉันเขียนให้เขาแน่ๆแต่รีวิวของฉันมันคงไม่ทำให้ธุรกิจเขาดีขึ้น

   ระหว่างเดินไปที่พักใหม่ก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน หนุ่มอินเดียเดินมาตีซี้และชวนฉันคุยโน่นนี่นั่น แนะนำสถานที่เที่ยว แนะนำร้านจิวเวลรี่ ร้านผ้าไหม  ฉันปฏิเสธไปทุกอย่างที่เขาเสนอและสุดท้ายเขาขอเป็นเพื่อนเดิน เอาสินะมีคนเดินเป็นเพื่อนก็ดี แถมคอยอธิบายเรื่องโน้นนี้ให้ฟัง ฉันหยุดถ่ายรูปมั่ง หยุดแลกเงินมั่ง เขาก็คอยตามอยู่ห่างๆ จนสุดท้ายฉันแวะกินมูสลี่ลาสซี่เกือบชั่วโมง เขาคงขี้เกียจรอก็เลยหายไปเลย ที่พักใหม่เงียบสงบถูกใจฉันมาก ถึงแม้จะอยู่ลึกเข้าไปในตรอกและหาค่อนข้างยากแต่ฉันก็พอใจ เขตเมืองเก่าพาราณสีที่ติดกับแม่น้ำคงคาไม่ได้มีโรงแรมทันสมัย ส่วนมากจะเป็นห้องเล็กๆ ติดพัดลม ห้องน้ำรวมและไม่มีน้ำอุ่น ถ้าอยากพักห้องดีๆก็ต้องไปพักเขตเมืองใหม่แต่ต้องเดินไกลจากท่าน้ำ ฉันมาพาราณสีเพื่อจะดูวิถีคงคาและมาอินเดียเพื่อที่จะซึมซาบความเป็นอินเดีย ห้องเล็กๆในเขตเมืองเก่าคือสิ่งที่ฉันต้องการ 

   ช่วงบ่ายฉันออกไปตามหาอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากเห็นที่พาราณสี พิธีเผาศพริมแม่น้ำคงคาของชาวฮินดู ฉันอ่านข้อมูลล่วงหน้าไว้มากเพราะไม่อยากทำอะไรที่เป็นการลบหลู่ผู้ตายและญาติของเขา ช่วงแรกฉันเดินไปที่ท่าน้ำใกล้กับท่าน้ำที่เผาศพและมองจากมุมไกล กองฟอนริมแม่น้ำคงคาไม่เคยดับ ศพแล้วศพเล่าถูกนำมาเผาที่นี่และอีกหนึ่งท่าน้ำทางทิศเหนือ ระยะห่างหลายร้อยเมตรจากที่เผาศพแต่ฉันก็สัมผัสถึงไอร้อน ลมเปลี่ยนทิศทำให้ฉันได้กลิ่นการเผาไหม้ของศพ นับเป็นครั้งแรกในชิวิตที่ฉันได้สัมผัสกลิ่นแบบนี้เพราะทุกครั้งที่ฉันไปร่วมงานชาปณกิจศพที่ไทยฉันไม่เคยอยู่นานจนถึงตอนจุดไฟ ฉันกลัว กลัวว่าจะได้กลิ่นศพไหม้ แต่ที่จริงแล้วกลิ่นมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเหมือนกับที่ฉันจินตนาการมาตลอดชีวิต เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆจนถึงท่าน้ำที่ทำการเผาศพจู่ๆตรงหน้าฉันก็มีร่างมนุษย์ห่อผ้าวางอยู่บนริมถนน ฉันตกใจมากทำอะไรไม่ถูกร้บเปิดเป้แล้วเอากล้องถ่ายรูปที่คล้องไหล่เก็บใส่เป้ให้เรียบร้อย กลัวว่าญาติพี่น้องคนตายเขาจะคิดว่าฉันถ่ายรูปพวกเขา ขณะที่กำลังงงอยู่ว่าควรทำยังไงต่อก็มีผู้ชายแต่งชุดขาวเดินเข้ามาหาฉันแล้วถามว่าอยากเห็นพิธีเผาศพเหรอ ฉันตอบไปว่าฉันเห็นแล้วจากมุมไกลท่าน้ำถัดไป เขาบอกว่าอยากเห็นใกล้ๆมั้ย ฉันรู้ว่าท่าน้ำนี้เขาห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปและให้เฉพาะญาติคนตายเข้าไปร่วมพิธีเท่านั้น มันเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่ฉันควรคว้าเอาไว้ไม่ใช่หรือ? ฉันกลั้นใจตอบเขาว่าฉันอยากเห็นแล้วบอกต่อไปว่าฉันนับถือศาสนาพุทธศาสนาพุทธก็ใช้วิธเผาเหมือนกันและฉันก็ไม่อยากรบกวนหรือลบหลู่พิธีกรรมของพวกเขา ชายคนนั้นเขาบอกฉันว่าครอบครัวเขารับจ้างเผาศพริมแม่น้ำคงคามาแปดชั่วคนแล้วและเขาเป็นรุ่นที่แปด เขายินดีจะพาฉันไปดูแต่ห้ามถ่ายรูปและต้องยืนอยู่ในตำแหน่งที่เขาพาไป ฉันเดินลัดเลาะผ่านกองฟืนกองโตหลายๆกองที่เตรียมไว้สำหรับเผาศพ จนมายืนอยู่ระยะห่างจากกองเผาศพสี่ห้ากองไม่เกินสิบเมตร บางกองกำลังเริ่มเผา บางกองเผาไปได้พักหนึ่ง บางกองไฟเริ่มเบาบ้างแล้ว ขี้เถ้าปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ปลิวมาตกใส่ผมใส่หน้าใส่ตัวฉัน ฉันไม่กล้าแม้แต่จะยกมือปัด มัณคงเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาในชีวิตฉันที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก หมาตัวผอมๆเดินไปคุ้ยกองฟอนที่มอดแล้วและคงเย็นตัวลงพร้อมกับลากชิ้นส่วนอะไรบางอย่างออกไป ฉันตกใจเอ่ยถามชายชุดขาว เขาตอบว่าเป็นชิ้นส่วนของคนตายที่ไหม้ไม่หมด เขาชี้ไปยังเรือที่แล่นออกจากท่าน้ำแล้วไปหยุดอยู่กลางแม่น้ำ คนในเรือหย่อนห่อผ้าสีขาวเล็กๆสองห่อลงในแม่น้ำ เขาอธิบายว่านั่นคือศพเด็กทารกซึ่งจะไม่มีการเผาแต่จะหย่อนร่างให้จมลงไปใต้แม่น้ำคงคา และมีอีกสี่ประเภทศพที่จะไม่มีการเผาคือศพสาวพรหมจรรย์ ศพนักบวช ศพคนถูกงูกัดและ ศพคนถูกฟ้าผ่า เถ้าถ่านและเศษสิ่งที่เหลือจากการเผาศพก็จะถูกโปรยลงไปในแม่น้ำคงคาเพื่อดวงวิญญาณจะได้ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ การเผาศพต้องทำภายในเจ็ดชั่วโมงหลังจากเสียชีวิตจึงทำให้มีโรงแรมมรณะเกิดขึ้นริมแม่น้ำคงคาสำหรับคนที่อยู่ไกลป่วยหนักและรู้ว่าต้องตายแน่ๆก็สามารถมานอนรอความตายอยู่ที่โรงแรมนี้ อีกหนึ่งงานของคนรับจ้างเผาศพก็คอคุ้ยเถ้ากระดูกและชิ้นส่วนที่ไหม้ไม่หมดเพื่อหาเศษทองและของมีค่าของศพเอาไปขายให้ช่างทองหลอมและทำออกมาขายใหม่ ส่วนหนึ่งของเงินที่ได้มาจะนำมาซื้อฟืนไว้เผาศพให้คนจนที่ไม่มีเงินพอจะซื้อฟืน เขาเสนอจะพาฉันไปดูทรัพย์สมบัติของศพที่หลงเหลือจากความร้อนของเปลวไฟแต่ฉันปฏิเสธ แค่นี้ก็หนักหนาสาหัสพอสำหรับฉันแล้ว ยกมือไหว้ทำความเคารพซากศพ เปลวไฟ และญาติผู้ตายแล้วฉันก็เดินหันหลังให้แม่น้ำศักดิ์สิทธ์ แม่น้ำคงคา 

    อินเดียในวันนี้ของฉันก็ยังคงเป็น Incredible India!
















   

Incredible India



      
   Namaste Day 7
   Jaipur - New Delhi - Varanasi

   ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!!  อินเดียกระตุ้นต่อมบ้าของฉันรุนแรงแรงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากเมื่อวานเช้าไปซื้อตั๋วรถบัสสำหรับชัยปุระไปเดลี และวานบ่ายตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินจากเดลีไปพารานาสี แต่เรื่องมันกลับไม่ได้ง่ายเหมือนกับที่ควรจะเป็น 

   ตีสามกว่าๆฉันรีบเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเพื่อจะไปขึ้นรถบัสที่จะออกตอนตีสี่สิบห้านาที ระยะทางแค่เจ็ดร้อยเมตรจากโรงแรมไปจุดขึ้นรถบริษัททัวร์แต่ฉันไม่เสี่ยงที่จะเดินไปเพราะกฏเหล็กในการเดินทางของฉันคือความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก ตีสามกว่าๆกับการเดินบนถนนเล็กๆในชัยปุระที่เต็มไปด้วยคนเร่ร่อนและผู้คนท่าทางแปลกๆตามซอกมุมถนน ยอมเสียเงินจำนวนหนึ่งและว่าจ้างริกชอว์หน้าโรงแรมไปส่งและแน่นอนที่สุดราคาค่าโดยสารตอนตีสามกว่าขูดเลือดฉันซิบๆ ฉันนั่งรอรถหน้าบริษัททัวร์เล็กๆที่เป็นสาขาของบริษัทที่ฉันซื้อตั๋วมาเมื่อวาน นั่งอยู่เงียบๆมืดๆจนตีสี่ครึ่งก็มีหญิงอินเดียหนึ่งคนมานั่งเป็นเพื่อน ประตูบริษัททัวร์เปิดพร้อมกับพนักงานหน้าตายู่ยี่เดินออกมานั่งตรงเคาท์เตอร์ทัวร์ หญิงอินเดียยื่นตั๋วให้พนักงานและพูดอะไรด้วยกันสองสามคำแล้วก็ส่งสัญญาณประมาณว่ารอ ฉันส่งตั๋วของฉันให้บ้างพนักงานรับไปดูแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวดส่งเสียงเอะอะเป็นภาษาฮินดีใส่ฉัน ฉันส่งสัญญาณไปว่าฉันไม่เข้าใจภาษาฮินดี เราพยายามสื่อสารกันอยู่เกือบสิบนาทีแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เหมือนโชคจะเข้าข้างจู่ๆหญิงอินเดีที่นั่งข้างๆก็พูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า ตั๋วฉันมีปัญหา อ้าวววว พูดภาษาอังกฤษได้ก็ไม่บอกนิ ทำเอาป้าเหนื่อย จากนั้นมหกรรมการแปลก็เกิดขึ้นระหว่างเราสามคน บทสรุปคือตั๋วที่พวกเขาออกให้ฉันเป็นตั๋วเวลาบ่ายสี่โมงสิบห้านาที ไม่ใช่ตีสี่สิบห้านาที มันเป็นพีเอ็ม ไม่ใช่เอเอ็ม แล้วฉันจะทำไงนิ แหกขี้ตาตื่นมาแต่ตีสามบวกกับจองตั๋วเครื่องบินจากเดลีไปพารานาสีไว้ตอนบ่ายสามสิบนาที  ระยะทางรถจากชัยปุระไปเดลีก็ไม่ตำ่กว่าห้าชั่วโมง ตกลงแล้วความผิดใครงานเข้าแน่เช้าเลยวันนี้ ฉันพยายามหาเที่ยวบินจากชัยปุระไปเดลีจากอินเตอร์เน็ตแต่ราคาก็แสนจะมหาโหด มันราคาสูงพอๆกับตั๋วไปกลับเดลี - พารานาสี มันเป็นวินาทีที่เครียดสุดๆว่าควรจะรีบไปสนามบินตอนนี้เพื่อนั่งเครื่องไปเดลีหรือยอมทิ้งตั๋วพารานาสีที่มีอยู่แล้ว จู่ๆพนักงานก็ส่งโทรศัพท์ให้ฉันคุยกับคนปลายสาย ฉันรับมาคุยแบบงงๆปรากฏว่าเป็นคนที่ออกตั๋วให้ฉันเมื่อวาน ต่อว่าเขาไปว่าทำไมออกตั๋วให้ฉันผิดทั้งๆที่ฉันก็ถามย้ำแล้วย้ำอีกว่ารถออกเช้าขนาดนั้นเลยเหรอ เขาตอบมาแค่ว่ามันเป็นการสื่อสารผิดพลาดระหว่างฉันกับเขาและเขาจะแก้ไขให้ได้ดีที่สุดก็แค่ให้ฉันไปรถรอบบหกโมงเช้าแต่รถเที่ยวนี้เป็นรถนอนต้องจ่ายเพิ่มอีกสองร้อยรูปี ทางเลือกคงไม่มี ระยะทางสองร้อยเจ็ดสิบสามกิโลเมตรกับห้าชั่วโมงกว่าๆ และระยะทางจากเดลีไปสนามบิน ฉันคำนวนจากตัวช่วยแผนที่กูเกิ้ลแล้วตัดสินใจที่จะเสี่ยง ต้องขอบคุณหญิงอินเดียคนนั้นที่ช่วยแปลให้ฉันซึ่งมารู้ที่หลังว่าเธอเป็นหมอสังกัดกองทัพบก บ้านอยู่เดลีแต่มาประจำการที่ชัยปุระ เรามีเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงนั่งคุยกัน เธอถามเกี่ยวกับเรื่องราวการเดินทางของฉัน เกี่ยวกับเมืองไทย และลงท้ายด้วยสถานภาพทางครอบครัว ฉันเล่าให้เธอฟังและย้อนถามกลับเธอบ้าง เธอเล่าว่าเธอมาจากครอบครัวชั้นสูง และในอินเดียชนชั้นเดียวกันเท่านั้นที่จะคบหากันได้ สำหรับเธอมันเป็นการยากมากที่จะเจอครู่ครองที่คู่ควรเพราะระดับการศึกษา อาชีพ และฐานะทางบ้านของเธอ ฉันถามเธอเกี่ยวกับประเพณีคลุมถุงชนซึ่งเธอก็ตอบว่าครอบครัวของเธอยังใช้ระบบนี้อยู่ คุณหมอสาวสวยอายุสามสิบต้นๆคุยให้ฉันฟังเรื่อยๆและตบท้ายด้วยคำว่า มันเป็นประเพณี   พนักงานบริษัททัวร์เห็นเราคุยด้วยกันสนุกก็เลยเลี้ยงจัยคนละแก้วแล้วพูดปนหัวเราะกับคุณหมอ แปลได้ความว่าพระเจ้าส่งให้ผู้หญิงสองคนนี้มาพบกัน มาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ฉันได้ฟังแล้วรู้สึกอิ่มๆในใจ ใช่แล้ว You are never alone in India

   รถนอนที่โดยสารมาคือรถนอนจริงๆไม่สามารถนั่งได้ มีเตียงยาวอยู่ในกล่องดูสภาพเหมือนโลงศพ ฉันทนนอนยาวอยู่ถึงสามชั่วโมงจึงได้ออกมายือแข้งยืดขาตอนพักรถสิบนาทีและนอนยาวไปอีกสองชั่วโมงกว่าๆด้วยใจตุ้มๆต่อมๆว่าจะทันเวลาขึ้นเครื่องหรือเปล่า ก่อนออกรถปรึกษากับคุณหมอสาวไว้แล้วว่าควรทำอย่างไรให้ไปถึงสนามบินได้เร็วที่สุด เธอแนะนำว่าให้ลงกลางทางก่อนรถจะเข้าเมืองเดลีแล้วต่อริกชอว์ไปสนามบินเพราะสนามบินก็อยู่นอกเมืองฝั่งเดียวกัน ตอนพักรถฉันดักรอคนขับรถพร้อมกับยื่นกระดาษใบเล็กที่จดชื่อสถานที่ๆฉันจะลงทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฮินดีลายมือคุณหมอ คนขับส่ายหน้ายึกยักสองสามทีอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวอินเดียที่แปลว่าโอเค รถจอดตามที่ฉันฉันต้องการเมื่อถึงที่หมาย สุวรรณีน้อยนุ่งกางเกงขายาวตัวพองๆซึ่งบังเอิญเข้ากับบรรยากาศอินเดียมากแบกเป้หน้าตื่นวิ่งลัดเลาะอยู่ข้างไฮเวย์มันคงไม่เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตนี้ ลงมาข้างทางข้ามสะพานลอยฝ่าฝูงวัว แพะและมหาชนไปอีกฟากหนึ่งของถนนเพื่อจะหาริกชอว์ไปสนามบิน มานึกขึ้นได้ทีหลังว่าแล้ววัวกับแพะมันไปทำอะไรบนสะพานลอย? แต่ก็นั่นแหละอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ที่อินเดีย ระหว่างที่นั่งอยู่ในริกชอว์ก็พยายามเช็คอินออนไลน์กับทางสายการบินแต่ได้แค่เลือกที่นั่งแล้วระบบก็บอกว่าขัดข้อง 

   ถึงสนามบินส่วนอาคารภายในประเทศก็ต้องตกใจกับจำนวนมหาชนที่รอกันตั้งแต่เข้าประตูอาคารผู้โดยสาร กว่าฉันจะผ้านตรงนี้ไปได้ก็ใช้เวลาอยู่มากโข ตรงไปที่ตู้คีออสกดหมายเลขจองลงไปเพื่อจะพิมพ์บอร์ดดิ้งพาสแต่บนจอกับขึ้นอักษรสีแดงตัวโตว่าไม่สามารถทำรายการได้ เวลาก็เหลือน้อยเต็มทนก็เลยเรียกพนักงานสายการบินมาช่วย ได้รับคำอธิบายว่าเพราะฉันซื้อตั๋วโดยใช้บัตรเดบิตก็เลยต้องไปเช็คอินที่เคาท์เตอร์เพราะจะได้แสดงบัตรให้เจ้าหน้าที่ดูด้วย ดูคิวแต่ละคิวแล้วใจฉันเหลืออยู่นิดเดียว คนเป็นพันๆเข้าแถวรอ เบียดกัน ผลักกัน ไปยืนเข้าคิวอยู่สองสามนาทีก็หมดความอดทนเลยฉีกแถวออกมาหาเจ้าหน้าที่สายการบินคนที่คิดว่าน่าจะใจดีที่สุด หนุ่มขอดูบุคกิ้งแล้วชี้ไปว่าให้รีบไปที่เดลต้าสิบเอ็ด ถามย้ำหลายรอบหนุ่มก็ตอบคำเดิมว่าเดลต้าสิบเอ็ด มันคืออะไรวะ? เดินตามมือหนุ่มชี้เรื่อยๆเห็นเคาท์เตอร์D เอ่อออแนะ D11นะเอง กุไม่น่าโง่เลย เดลต้าสิบเอ็ดก็มีคนหลายสิบคนยืนโวยวายอยู่ด้านหน้า ฉันได้โอกาสก็ไปร่วมขบวนเขา พนักงานไล่ให้ไปเข้าแถวแต่ระหว่างที่เข้าแถวก็ต้องระวังแขกๆทั้งหลายทำเนียนแซงคิว พี่แขกแกร้ายกาจจริงๆเรื่องเนียนแซงคิว บางคนหน้าตาสวยหล่อมากทำเป็นมากระแซะข้างๆพอเราเผลอก็โน่นไปยืนอยู่ข้างหน้าเรา อีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลาขึ้นเครื่องแต่ยังมีอีกสองสามคนรอคิวอยู่ข้างหน้า ฉันรีบใจเสียก็เลยตะโกนไปดังๆว่า Please.... It's my first flight with IndiGo and it's my birthday trip ถ้าเป็นในภาพยนต์มันคงได้ผลแต่นี่มันเป็นชีวิตจริง มหาชนแขกก็ยังเบียดเสียดกันอยู่เหมือนเดิม.... ท้ายสุดฉันก็ได้บอร์ดิ้งพาสมาครอบครอง ความจราจลยังไม่จบยังต้องต่อคิวผ่านซีเคียวริตี้อีก ผลักกัน เบียดกัน ตะโกนด่ากันเรื่องคิว ทุกอย่างมันเข้มข้นมากถ้าหากเป็นมาม่าก็คงประมาณรสต้มยำกุ้งหรือรสต้มโคล้งก็คงได้ ผู้หญิงถูกนำไปตรวจในกระโจมมิดชิด มีการลูบคลำทุกส่วนของร่างกายและมาติดตรงโครงชุดชั้นในฉัน ฉันเกือบจะถอดเสื้อออกให้ดูจะได้เสร็จเร็วๆเพราะตอนนี้มันได้เลยเวลาบอร์ดดิ้งฉันไปแล้วแต่เจ้าหน้าที่ก็ยังคงคลำโครงชุดชั้นในไปเรื่อยๆจนถึงช่วงข้างลำตัว ฉันแอบบ่นในใจ ดูม ดูม ไงป้า รุ่นสำหรับคนจอแบน  เกียร์หมา เกียร์แมว มีกี่เกียร์ฉันจัดทุกเกียร์ มาถึงหน้าเกทก็ได้เวลาตัวอักษรสีแดงขึ้นจอพอดี Final Call!

   แปดร้อยกิโลเมตร หนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาทีฉันก็มาอยู่ที่พารานาสี มองพารานาสีจากบนเครื่องบินรู้สึกว่าเมืองนี้เขียวและชุ่มชื้นกว่าเดลี อักราและชัยปุระ มีการทำการเกษตรมากกว่า ฉันรู้จักพารานาสีจากวิชาพระพุทธศาสนาที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก วันนี้รู้สึกตื่นเต้นและปลื้มนิดๆที่ได้มาเห็น ตัดสินใจถูกแล้วที่มาที่นี่ ไม่มาวันนี้ก็ต้องหาทางมาวันหน้าอยู่ดี สนามบินห่างจากที่พักมากเพราะฉันอยากพักใกล้แม่นำ้คงคา แม่นำ้ที่เคยได้ยินชื่อมานานแสนนาน ที่พักที่จองไว้อยู่ในซอกเล็กๆที่มีทางเข้าออกเหมือนเขาวงกตวกไปวนมาน่าเวียนหัวจนฉันเลิกที่จะพยายามจำทางเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะจำและก็แอบดีใจที่มาถึงก่อนมืด เช็คอินเข้าพักแล้วรีบสั่งข้าวมากินก่อนจะเป็นลมตายเพราะวันนี้ทั้งวันมีแค่คุกกี้ไม่กี่ชิ้นตกถึงท้อง ใช้เวลาไม่กี่สิบนาทีชาร์ทแบตโทรศัพท์เพราะจำเป็นต้องใช้จีพีเอส แบกเป้พร้อมกล้องออกไปท่านำ้เพื่อดูพิธีบูชาแม่น้ำคงคาตอนหนึ่งทุ่ม หนุ่มรีเซฟชั่นบอกว่าเกินห้านาทีก็ถึงท่าน้ำ สุวรรณีน้อยหลงทางตั้งแต่แยกแรก ตรอกเล็กตรอกน้อยมีร้านค้าขายของสีสันจัดจ้านเต็มไปหมด ส่าหรี กำไร รองเท้า รับเพ้นท์เฮนน่า ขายจัย เหมือนหลุดเข้าไปในฝันเลอะๆ น่าดูเหลือเกิน พิธีกรรมริมแม่น้ำคงคาดูขลังมากถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดูใกล้ๆเพราะพิธีจัดบนระเบียงสูงข้างบนแต่คนดูต้องอยู่ข้างล่างบนเรือหรือริมฝั่ง กลิ่นธูป แสงเทียน เสียงกระดิ่ง เสียงสวดมนต์ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันสะกดฉันให้ตกอยู่ในภวังค์ไปได้หลายนาที จากบนเรือที่ฉันนั่งอยู่มองขึ้นไปบนฝั่งมีผู้คนอีกนับพันมาร่วมพิธี มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่อลังการยิ่งนักและคงจะอยู่ในความทรงจำฉันไปอีกนานเลยที่เดียว เสร็จจากพิธีกรรมฉันเดินขึ้นฝั่งไปแวะดื่มจัยซึ่งตอนนี้เอาชนะรสชาติมันได้แล้ว ชาเครื่องเทศรสชาติเข้มข้นไม่ได้เลวร้ายอะไรและมันก็เป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย หนุ่มสาวอินเดียหลายๆคนเข้ามาถ่ายรูปกับฉัน คนอินเดียบ้าถ่ายรูปมากถึงมากที่สุด มีอยู่รายหนึ่งบ้าขนาดที่ขอให้คนอื่นถ่ายให้และเขาเอาแขนเขามาโอบฉันไว้ เรียกว่ากอดน่าจะถูกกว่า เอาแก้มเขามาชนแก้มฉัน เอาหัวมาติดกัน สารพัดวิธีแอ้คชั่น สุดท้ายตามมาถึงร้านชาเสนอจ่ายค่าชาให้พร้อมนัดเจอคืนพรุ่งนี้ ฉันปฏิเสธไปแบบเนียนๆและบอกว่าไม่ได้มาคนเดียวมีสามีมาด้วย เรื่องยกสามีมาอ้างนี่เป็นเรื่องจำเป็นในอินเดียเพราะถ้าบอกไปว่ามาคนเดียวพี่แขกจะตื้อมากและจะไม่มีวันจบ เหมือนกับเรื่องซื้อของถ้าไม่ซื้อก็บอกไปตรงๆว่าไม่ซื้อ ถ้าบอกว่าบางทีอาจจะซื้อพี่แขกก็จะตามเป็นชั่วโมงๆ 

   ระยะทางจากท่านำ้ไปที่พักไม่ได้ไกลอะไรแต่ด้วยความมืด คน วัว แพะ และขี้ที่มีอยู่ทุกซอกมุมของตรอกเล็กๆที่ต้องเดินผ่านมันทำให้ต้องใช้เวลานานโข เดินๆอยู่มีน้องวัวมาขวางทางจะไปต่อก็ไม่ได้จะถอยก็ไม่ได้ ต้องใช้วิธีสไปเดอร์แมนไต่กำแพง มันน่าขำน้อยอยู่ซะเมื่อไหร่ละ ไฟฉายในโทรศัพท์เป็นตัวช่วยที่ดีแต่บางทีต้องเปิดดูจีพีเอส พอกดจีพีเอสไฟฉายก็ดับอีก ถึงตรอกช่วงที่สว่างหน่อยไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฉายตาก็มัวแต่ดูจีพีเอสตีนก็ดันไปเหยียบขี้เสียอีก เฮ้อออออออ.... Incredible India!




















Saturday, September 10, 2016

Incredible India



      Namaste Day 6
   Jaipur Rajasthan

      วันนี้เป็นวันคลีนนิ่งเดย์ของฉัน ถือโอกาสตื่นสายที่สุดตั้งอยู่ที่อินเดียมาหลายวันแต่ก็ไม่ได้สายสุดอย่างที่ใจหวัง โรงแรมที่พักอยู่ติดกับถนนหลักของเมือง ตีสี่ตีห้าเสียงแตรรถก็ดังสนั่นหวั่นไหวดังทะลุเข้ามาถึงในห้องพักชั้นสามพร้อมทั้งแสงแดดก็เริ่มส่องผ่านผ้าม่านผืนบางที่แขวนไว้ ฉันลุกขึ้นไปเปิดแอร์แล้วคลี่ผ้าห่มคลุมร่างตัวเองจนถึงหัวแล้วงีบหลับไปต่อจนเจ็ดโมงเช้า หลังจากตื่นนอนก็สำรวจเสื้อผ้าไม่กี่ตัวที่มีอยู่ในเป้ เกือบทุกตัวผ่านการสวมใส่มาหลายครั้งแล้วและเริ่มส่งกลิ่นไปถึงตัวที่ยังไม่ได้ใส่ จัดแจงเอาตัวที่ใส่แล้วทั้งหมดใส่ลงในอ่างล้างหน้าแล้วซักมันด้วยสบู่ก้อนเดียวที่เอาติดตัวมาด้วย สบู่ก้อนนี้เป็นสบู่ล้างหน้าสมุนไพรราคายี่สิบห้าบาทจากกาดไม้ ฉันใชัมันสำหรับอาบน้ำ ล้างหน้า และซักผ้า การเดินทางด้วยเป้ใบเล็กใบเดียวและไม่โหลดกระเป๋าทำให้ไม่มีทางเลือกมากนัก ซักผ้าเสร็จฉันก็ตากระโยงระยางไว้ในห้องน้ำ โชคดีที่ห้องพักโรงแรมนี้เป็นห้องใหญ่มากฉันก็เลยมีพื้นที่ตากผ้า ตากไว้พอนำ้หยดหมดก็ย้ายผ้ามาวางไว้ริมขอบหน้าต่างที่แดดส่องถึง แดดอินเดียโหดร้ายมากเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงผ้าก็แห้งสนิท 

   เกือบเที่ยงท้องใส้เริ่มประท้วงก็ออกเดินหาอาหาร หมายมั่นเอาไว้ว่ามื้อนี้จะกินอาหารอินเดียแบบอินเดียจริงๆที่คนทั่วๆไปกินกัน เดินกลับมาหาลุงหนวดลาสซี่เจ้าเมื่อวานเพราะติดใจรสมือของแก ถนนหลักเมืองชัยปุระกับเที่ยงวันเสาร์ยิ่งยุ่งเหยิงวุ่นวายกว่าเมื่อวาน แต่ในความวุ่นวายมันก็มีมุมดีๆให้เห็น วัดแขกริมทางมีโรงทานแจกอาหาร แอบชะโงกเข้าไปดูเห็นมีกระทะใบใหญ่บรรจุข้าวผัดเครื่องเทศสีเหลืองสวย ข้าวแขกน่าจะเป็นข้าวบาสมาติเพราะเห็นเป็นเม็ดยาวเรียวสวย กินไปเมื่อสองวันก่อนที่เมืองอักราก็คิดว่าอร่อยไม่แพ้ข้าวหอมมะลิถึงแม้ว่าข้าวหอมมะลิจะหอมและนุ่มลิ้นกว่า คนที่มารับทานหน้าวัดแขกไม่ได้มีเฉพาะคนจนหรือพวกเร่ร่อน บางคนก็แต่งตัวดีเหมือนคนทำงานทั่วไปทั้งหญิงและชาย มาถึงหน้าวัดก็จะนั่งยองๆเอามือแตะพื้นและยกมือขึ้นแตะบริเวณหน้าซึ่งฉันไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนไหนของใบหน้าเพราะไม่กล้ามองเขาเยอะกลัวว่าจะเสียมารยาทหรือเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นเขา ข้าวที่แจกทานถูกบรรจุในกรวยที่ทำจากหนังสือพิมพ์ เอากันง่ายๆก็กระดาษหนังสือพิมพ์ขดเป็นกรวยตักข้าวใส่ คนรับทานก็เอามือจกกินกันท่าทางอร่อย กินเสร็จก็ล้างมือแล้วเดินไปใช้ชีวิตต่อ ฉันเองก็อยากลองแต่ไม่กล้า

   ลุงหนวดดีใจที่เห็นฉันกลับมาอีก รีบยกไม้ยกมือทักทายตั้งแต่ฉันยังอยู่ไกลหลายร้อยเมตร "One Lassi?" เสียงภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียดังออกมาจากใต้หนวดงอนโง้งของแก ฉันยิ้มตอบรับ ลาสซี่ใส่มาในถ้วยดินเผาเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้มีเมล็ดอัลมอนด์ใส่มาด้วยหลายเมล็ดพร้อมช้อนพลาสติก ลุงนะลุงเมื่อวานไม่เห็นให้ช้อนจนฉันต้องแลบลิ้นเลียถ้วย ฉันสั่งถาลีแบบธรรมดาหนึ่งชุด มีนานที่ปิ้งมาสดๆสองแผ่น จาปาตีและดาล ถาลีถูกเสิร์ฟมาในจานหลุมเหมือนโครงการอาหารกลางวันเด็กนักเรียนบ้านเรา คนอินเดียชอบถาดหลุมและเครื่องครัวมาก เห็นหม้อ ปิ่นโต เหยือก ขายดิบขายดีในอินเดีย ตอนนี้เริ่มเข้าใจละว่าทำไมบางครั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิเห็นคนอินเดียหิ้วของพวกนี้กลับบ้านกันเป็นหอบๆ ถาลีลุงหนวดอร่อยไม่แพ้ลาสซี่ฉันกินเกือบหมดถาด ระหว่างที่กินก็รู้ว่าคนทั้งร้านกำลังแอบมองฉันอยู่ พวกในครัวแอบส่องผ่านหน้าต่าง พนักงานเสิร์ฟและพนักงานคิดเงินก็แอบชำเลืองเป็นระยะๆ ฉันบินานออกเป็นชิ้นเล็กแล้วช้อนลงไปในดาลและจาปาตีแต่ดวยความไม่ชำนาญก็หกเลอะเทอะไปบ้าง การกินถาลีจะไม่ใช้ช้อนและคนอินเดียจะใช้มือขวากินอาหารเพราะถือว่ามือซ้ายเป็นมือที่ใช้ล้างชำระหลังเสร็จกิจในห้องสุขา ฉันกินด้วยมือซ้ายเพราะถนัดซ้าย!  อินเดียเป็นโลกของผู้ชายทุกทุกที่จะมีแต่ผู้ชาย ผู้ชายทำงานหาเงินผู้หญิงอยู่บ้านดูแลลูก ฉันคงเป็นผู้หญิงคนเดียวที่นี่ที่เดินคนเดียวกินคนเดียวอยู่ท่ามกลางผู้ชาย ไม่ได้ภาคภูมิใจอะไรทั้งนั้งนั้นมันยิ่งทำให้ฉันยอมรับและเคารพในกฏกติกาของเขา ฉันแต่งตัวมิดชิดที่สุด มัดผมยาวของฉันซ่อนไว้ใต้หมวกและพยายามทำตัวให้เป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย

   หลังจากเดินเที่ยวจนเบื่อก็แวะซื้อแชมพูจากร้านขายของชำเล็กๆริมทาง แชมพูอินเดียซองละสามรูปีคิดเป็นเงินไทยก็หนึ่งบาทห้าสิบสตางค์ ฉันซื้อสามซองเพราะผมเยอะและยาว นี่หากไม่ไถด้านท้ายทอยออกเกือบครึ่งหัวคงต้องซื้อเพิ่มอีกหลายซองแน่ จำได้ว่าหวีผมและสระผมครั้งสุดท้ายก็เมื่อห้าวันที่แล้ว ไงล่ะความอินดี้ของฉัน สบายหัวสบายตัวก็มีเวลาสำหรับการพักผ่อนจริงๆ นอนเขียนบล้อคและตอบเมล์ลูกค้าที่คั่งค้างและเผลอหลับไปหลายชั่วโมงมาตกใจตื่นเพราะเหงื่อท่วมตัวด้วยว่าไฟฟ้าดับทำให้แอร์ไม่ทำงาน ห้องทั้งห้องมีสภาพเหมือนเตาอบ หยิบโทรศัพท์ติดมือเดินลงไปชั้นล่างซื้อคุ้กกี้ห่อใหญ่และเดินขึ้นไปชั้นดาดฟ้า นั่งชมความยุ่งเหยิงของชัยปุระพร้อมกับลมที่พัดมาพอรู้สึกว่าเย็น ไฟดับไปเกือบสองชั่วโมงทำให้ไม่มีไวไฟใช้ แต่ยังโชคดีที่เปิดโรมมิ่งจากซิมการ์ดไทยที่ซื้อใส่ก่อนมาทำให้มีอินเตอร์เน็ตใช้ไม่ขาดช่วง 

   หัวค่ำออกไปเดินล่าหาไก่ทันโดริอีกครั้ง รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสของเมืองชัยปุระยังคงเข้มข้นเหมือนเดิม คนเร่ร่อนเริ่มก่อไฟริมถนนหุงหาอาหารริมถนน ผ้าผืนย่อมถูกเอามาขึงกับต้นไม้คงเอาไว้กันน้ำค้างตอนนอน โยคีหรือคนอะไรไม่แน่ใจนั่งอยู่เป็นจุดๆพร้อมกองไฟกองเล็กๆและกลิ่นกัญชาจางๆที่ลอยเข้าจมูกฉัน คนถีบสามล้อถีบเอ่ยทักทายฉันเป็นระยะๆ เฮลโล มาดาม ที่มีเพิ่มเติมคืนนี้คือล้อเที่ยมอูฐที่ลากกันกุบกับไปมา ถึงแม้ว่าฉันจะเคยเห็นอูฐและขี่อูฐมาหลายครั้งก่อนหน้านี้แล้วทั้งที่อียิปและอินเดียใต้หลายปีก่อน แต่คืนนี้ระหว่างที่ฉันเดินๆอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของการจราจรในเมืองใหญ่ที่มีประชากรกว่าสามล้านคนอย่างชัยปุระและจู่ๆก็มีอูฐโผล่ขึ้นมามันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในฉากภาพยนต์สักเรื่องหนึ่ง โอออออ.. อินเดีย ฉันชักจะเริ่มหลงเสน่ห์คุณเข้าแล้วสิ
     Incredible India!