Namaste Day 7
Jaipur - New Delhi - Varanasi
ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!! อินเดียกระตุ้นต่อมบ้าของฉันรุนแรงแรงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากเมื่อวานเช้าไปซื้อตั๋วรถบัสสำหรับชัยปุระไปเดลี และวานบ่ายตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินจากเดลีไปพารานาสี แต่เรื่องมันกลับไม่ได้ง่ายเหมือนกับที่ควรจะเป็น
ตีสามกว่าๆฉันรีบเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเพื่อจะไปขึ้นรถบัสที่จะออกตอนตีสี่สิบห้านาที ระยะทางแค่เจ็ดร้อยเมตรจากโรงแรมไปจุดขึ้นรถบริษัททัวร์แต่ฉันไม่เสี่ยงที่จะเดินไปเพราะกฏเหล็กในการเดินทางของฉันคือความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก ตีสามกว่าๆกับการเดินบนถนนเล็กๆในชัยปุระที่เต็มไปด้วยคนเร่ร่อนและผู้คนท่าทางแปลกๆตามซอกมุมถนน ยอมเสียเงินจำนวนหนึ่งและว่าจ้างริกชอว์หน้าโรงแรมไปส่งและแน่นอนที่สุดราคาค่าโดยสารตอนตีสามกว่าขูดเลือดฉันซิบๆ ฉันนั่งรอรถหน้าบริษัททัวร์เล็กๆที่เป็นสาขาของบริษัทที่ฉันซื้อตั๋วมาเมื่อวาน นั่งอยู่เงียบๆมืดๆจนตีสี่ครึ่งก็มีหญิงอินเดียหนึ่งคนมานั่งเป็นเพื่อน ประตูบริษัททัวร์เปิดพร้อมกับพนักงานหน้าตายู่ยี่เดินออกมานั่งตรงเคาท์เตอร์ทัวร์ หญิงอินเดียยื่นตั๋วให้พนักงานและพูดอะไรด้วยกันสองสามคำแล้วก็ส่งสัญญาณประมาณว่ารอ ฉันส่งตั๋วของฉันให้บ้างพนักงานรับไปดูแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวดส่งเสียงเอะอะเป็นภาษาฮินดีใส่ฉัน ฉันส่งสัญญาณไปว่าฉันไม่เข้าใจภาษาฮินดี เราพยายามสื่อสารกันอยู่เกือบสิบนาทีแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เหมือนโชคจะเข้าข้างจู่ๆหญิงอินเดีที่นั่งข้างๆก็พูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า ตั๋วฉันมีปัญหา อ้าวววว พูดภาษาอังกฤษได้ก็ไม่บอกนิ ทำเอาป้าเหนื่อย จากนั้นมหกรรมการแปลก็เกิดขึ้นระหว่างเราสามคน บทสรุปคือตั๋วที่พวกเขาออกให้ฉันเป็นตั๋วเวลาบ่ายสี่โมงสิบห้านาที ไม่ใช่ตีสี่สิบห้านาที มันเป็นพีเอ็ม ไม่ใช่เอเอ็ม แล้วฉันจะทำไงนิ แหกขี้ตาตื่นมาแต่ตีสามบวกกับจองตั๋วเครื่องบินจากเดลีไปพารานาสีไว้ตอนบ่ายสามสิบนาที ระยะทางรถจากชัยปุระไปเดลีก็ไม่ตำ่กว่าห้าชั่วโมง ตกลงแล้วความผิดใครงานเข้าแน่เช้าเลยวันนี้ ฉันพยายามหาเที่ยวบินจากชัยปุระไปเดลีจากอินเตอร์เน็ตแต่ราคาก็แสนจะมหาโหด มันราคาสูงพอๆกับตั๋วไปกลับเดลี - พารานาสี มันเป็นวินาทีที่เครียดสุดๆว่าควรจะรีบไปสนามบินตอนนี้เพื่อนั่งเครื่องไปเดลีหรือยอมทิ้งตั๋วพารานาสีที่มีอยู่แล้ว จู่ๆพนักงานก็ส่งโทรศัพท์ให้ฉันคุยกับคนปลายสาย ฉันรับมาคุยแบบงงๆปรากฏว่าเป็นคนที่ออกตั๋วให้ฉันเมื่อวาน ต่อว่าเขาไปว่าทำไมออกตั๋วให้ฉันผิดทั้งๆที่ฉันก็ถามย้ำแล้วย้ำอีกว่ารถออกเช้าขนาดนั้นเลยเหรอ เขาตอบมาแค่ว่ามันเป็นการสื่อสารผิดพลาดระหว่างฉันกับเขาและเขาจะแก้ไขให้ได้ดีที่สุดก็แค่ให้ฉันไปรถรอบบหกโมงเช้าแต่รถเที่ยวนี้เป็นรถนอนต้องจ่ายเพิ่มอีกสองร้อยรูปี ทางเลือกคงไม่มี ระยะทางสองร้อยเจ็ดสิบสามกิโลเมตรกับห้าชั่วโมงกว่าๆ และระยะทางจากเดลีไปสนามบิน ฉันคำนวนจากตัวช่วยแผนที่กูเกิ้ลแล้วตัดสินใจที่จะเสี่ยง ต้องขอบคุณหญิงอินเดียคนนั้นที่ช่วยแปลให้ฉันซึ่งมารู้ที่หลังว่าเธอเป็นหมอสังกัดกองทัพบก บ้านอยู่เดลีแต่มาประจำการที่ชัยปุระ เรามีเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงนั่งคุยกัน เธอถามเกี่ยวกับเรื่องราวการเดินทางของฉัน เกี่ยวกับเมืองไทย และลงท้ายด้วยสถานภาพทางครอบครัว ฉันเล่าให้เธอฟังและย้อนถามกลับเธอบ้าง เธอเล่าว่าเธอมาจากครอบครัวชั้นสูง และในอินเดียชนชั้นเดียวกันเท่านั้นที่จะคบหากันได้ สำหรับเธอมันเป็นการยากมากที่จะเจอครู่ครองที่คู่ควรเพราะระดับการศึกษา อาชีพ และฐานะทางบ้านของเธอ ฉันถามเธอเกี่ยวกับประเพณีคลุมถุงชนซึ่งเธอก็ตอบว่าครอบครัวของเธอยังใช้ระบบนี้อยู่ คุณหมอสาวสวยอายุสามสิบต้นๆคุยให้ฉันฟังเรื่อยๆและตบท้ายด้วยคำว่า มันเป็นประเพณี พนักงานบริษัททัวร์เห็นเราคุยด้วยกันสนุกก็เลยเลี้ยงจัยคนละแก้วแล้วพูดปนหัวเราะกับคุณหมอ แปลได้ความว่าพระเจ้าส่งให้ผู้หญิงสองคนนี้มาพบกัน มาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ฉันได้ฟังแล้วรู้สึกอิ่มๆในใจ ใช่แล้ว You are never alone in India
รถนอนที่โดยสารมาคือรถนอนจริงๆไม่สามารถนั่งได้ มีเตียงยาวอยู่ในกล่องดูสภาพเหมือนโลงศพ ฉันทนนอนยาวอยู่ถึงสามชั่วโมงจึงได้ออกมายือแข้งยืดขาตอนพักรถสิบนาทีและนอนยาวไปอีกสองชั่วโมงกว่าๆด้วยใจตุ้มๆต่อมๆว่าจะทันเวลาขึ้นเครื่องหรือเปล่า ก่อนออกรถปรึกษากับคุณหมอสาวไว้แล้วว่าควรทำอย่างไรให้ไปถึงสนามบินได้เร็วที่สุด เธอแนะนำว่าให้ลงกลางทางก่อนรถจะเข้าเมืองเดลีแล้วต่อริกชอว์ไปสนามบินเพราะสนามบินก็อยู่นอกเมืองฝั่งเดียวกัน ตอนพักรถฉันดักรอคนขับรถพร้อมกับยื่นกระดาษใบเล็กที่จดชื่อสถานที่ๆฉันจะลงทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฮินดีลายมือคุณหมอ คนขับส่ายหน้ายึกยักสองสามทีอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวอินเดียที่แปลว่าโอเค รถจอดตามที่ฉันฉันต้องการเมื่อถึงที่หมาย สุวรรณีน้อยนุ่งกางเกงขายาวตัวพองๆซึ่งบังเอิญเข้ากับบรรยากาศอินเดียมากแบกเป้หน้าตื่นวิ่งลัดเลาะอยู่ข้างไฮเวย์มันคงไม่เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตนี้ ลงมาข้างทางข้ามสะพานลอยฝ่าฝูงวัว แพะและมหาชนไปอีกฟากหนึ่งของถนนเพื่อจะหาริกชอว์ไปสนามบิน มานึกขึ้นได้ทีหลังว่าแล้ววัวกับแพะมันไปทำอะไรบนสะพานลอย? แต่ก็นั่นแหละอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ที่อินเดีย ระหว่างที่นั่งอยู่ในริกชอว์ก็พยายามเช็คอินออนไลน์กับทางสายการบินแต่ได้แค่เลือกที่นั่งแล้วระบบก็บอกว่าขัดข้อง
ถึงสนามบินส่วนอาคารภายในประเทศก็ต้องตกใจกับจำนวนมหาชนที่รอกันตั้งแต่เข้าประตูอาคารผู้โดยสาร กว่าฉันจะผ้านตรงนี้ไปได้ก็ใช้เวลาอยู่มากโข ตรงไปที่ตู้คีออสกดหมายเลขจองลงไปเพื่อจะพิมพ์บอร์ดดิ้งพาสแต่บนจอกับขึ้นอักษรสีแดงตัวโตว่าไม่สามารถทำรายการได้ เวลาก็เหลือน้อยเต็มทนก็เลยเรียกพนักงานสายการบินมาช่วย ได้รับคำอธิบายว่าเพราะฉันซื้อตั๋วโดยใช้บัตรเดบิตก็เลยต้องไปเช็คอินที่เคาท์เตอร์เพราะจะได้แสดงบัตรให้เจ้าหน้าที่ดูด้วย ดูคิวแต่ละคิวแล้วใจฉันเหลืออยู่นิดเดียว คนเป็นพันๆเข้าแถวรอ เบียดกัน ผลักกัน ไปยืนเข้าคิวอยู่สองสามนาทีก็หมดความอดทนเลยฉีกแถวออกมาหาเจ้าหน้าที่สายการบินคนที่คิดว่าน่าจะใจดีที่สุด หนุ่มขอดูบุคกิ้งแล้วชี้ไปว่าให้รีบไปที่เดลต้าสิบเอ็ด ถามย้ำหลายรอบหนุ่มก็ตอบคำเดิมว่าเดลต้าสิบเอ็ด มันคืออะไรวะ? เดินตามมือหนุ่มชี้เรื่อยๆเห็นเคาท์เตอร์D เอ่อออแนะ D11นะเอง กุไม่น่าโง่เลย เดลต้าสิบเอ็ดก็มีคนหลายสิบคนยืนโวยวายอยู่ด้านหน้า ฉันได้โอกาสก็ไปร่วมขบวนเขา พนักงานไล่ให้ไปเข้าแถวแต่ระหว่างที่เข้าแถวก็ต้องระวังแขกๆทั้งหลายทำเนียนแซงคิว พี่แขกแกร้ายกาจจริงๆเรื่องเนียนแซงคิว บางคนหน้าตาสวยหล่อมากทำเป็นมากระแซะข้างๆพอเราเผลอก็โน่นไปยืนอยู่ข้างหน้าเรา อีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลาขึ้นเครื่องแต่ยังมีอีกสองสามคนรอคิวอยู่ข้างหน้า ฉันรีบใจเสียก็เลยตะโกนไปดังๆว่า Please.... It's my first flight with IndiGo and it's my birthday trip ถ้าเป็นในภาพยนต์มันคงได้ผลแต่นี่มันเป็นชีวิตจริง มหาชนแขกก็ยังเบียดเสียดกันอยู่เหมือนเดิม.... ท้ายสุดฉันก็ได้บอร์ดิ้งพาสมาครอบครอง ความจราจลยังไม่จบยังต้องต่อคิวผ่านซีเคียวริตี้อีก ผลักกัน เบียดกัน ตะโกนด่ากันเรื่องคิว ทุกอย่างมันเข้มข้นมากถ้าหากเป็นมาม่าก็คงประมาณรสต้มยำกุ้งหรือรสต้มโคล้งก็คงได้ ผู้หญิงถูกนำไปตรวจในกระโจมมิดชิด มีการลูบคลำทุกส่วนของร่างกายและมาติดตรงโครงชุดชั้นในฉัน ฉันเกือบจะถอดเสื้อออกให้ดูจะได้เสร็จเร็วๆเพราะตอนนี้มันได้เลยเวลาบอร์ดดิ้งฉันไปแล้วแต่เจ้าหน้าที่ก็ยังคงคลำโครงชุดชั้นในไปเรื่อยๆจนถึงช่วงข้างลำตัว ฉันแอบบ่นในใจ ดูม ดูม ไงป้า รุ่นสำหรับคนจอแบน เกียร์หมา เกียร์แมว มีกี่เกียร์ฉันจัดทุกเกียร์ มาถึงหน้าเกทก็ได้เวลาตัวอักษรสีแดงขึ้นจอพอดี Final Call!
แปดร้อยกิโลเมตร หนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาทีฉันก็มาอยู่ที่พารานาสี มองพารานาสีจากบนเครื่องบินรู้สึกว่าเมืองนี้เขียวและชุ่มชื้นกว่าเดลี อักราและชัยปุระ มีการทำการเกษตรมากกว่า ฉันรู้จักพารานาสีจากวิชาพระพุทธศาสนาที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก วันนี้รู้สึกตื่นเต้นและปลื้มนิดๆที่ได้มาเห็น ตัดสินใจถูกแล้วที่มาที่นี่ ไม่มาวันนี้ก็ต้องหาทางมาวันหน้าอยู่ดี สนามบินห่างจากที่พักมากเพราะฉันอยากพักใกล้แม่นำ้คงคา แม่นำ้ที่เคยได้ยินชื่อมานานแสนนาน ที่พักที่จองไว้อยู่ในซอกเล็กๆที่มีทางเข้าออกเหมือนเขาวงกตวกไปวนมาน่าเวียนหัวจนฉันเลิกที่จะพยายามจำทางเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะจำและก็แอบดีใจที่มาถึงก่อนมืด เช็คอินเข้าพักแล้วรีบสั่งข้าวมากินก่อนจะเป็นลมตายเพราะวันนี้ทั้งวันมีแค่คุกกี้ไม่กี่ชิ้นตกถึงท้อง ใช้เวลาไม่กี่สิบนาทีชาร์ทแบตโทรศัพท์เพราะจำเป็นต้องใช้จีพีเอส แบกเป้พร้อมกล้องออกไปท่านำ้เพื่อดูพิธีบูชาแม่น้ำคงคาตอนหนึ่งทุ่ม หนุ่มรีเซฟชั่นบอกว่าเกินห้านาทีก็ถึงท่าน้ำ สุวรรณีน้อยหลงทางตั้งแต่แยกแรก ตรอกเล็กตรอกน้อยมีร้านค้าขายของสีสันจัดจ้านเต็มไปหมด ส่าหรี กำไร รองเท้า รับเพ้นท์เฮนน่า ขายจัย เหมือนหลุดเข้าไปในฝันเลอะๆ น่าดูเหลือเกิน พิธีกรรมริมแม่น้ำคงคาดูขลังมากถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดูใกล้ๆเพราะพิธีจัดบนระเบียงสูงข้างบนแต่คนดูต้องอยู่ข้างล่างบนเรือหรือริมฝั่ง กลิ่นธูป แสงเทียน เสียงกระดิ่ง เสียงสวดมนต์ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันสะกดฉันให้ตกอยู่ในภวังค์ไปได้หลายนาที จากบนเรือที่ฉันนั่งอยู่มองขึ้นไปบนฝั่งมีผู้คนอีกนับพันมาร่วมพิธี มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่อลังการยิ่งนักและคงจะอยู่ในความทรงจำฉันไปอีกนานเลยที่เดียว เสร็จจากพิธีกรรมฉันเดินขึ้นฝั่งไปแวะดื่มจัยซึ่งตอนนี้เอาชนะรสชาติมันได้แล้ว ชาเครื่องเทศรสชาติเข้มข้นไม่ได้เลวร้ายอะไรและมันก็เป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย หนุ่มสาวอินเดียหลายๆคนเข้ามาถ่ายรูปกับฉัน คนอินเดียบ้าถ่ายรูปมากถึงมากที่สุด มีอยู่รายหนึ่งบ้าขนาดที่ขอให้คนอื่นถ่ายให้และเขาเอาแขนเขามาโอบฉันไว้ เรียกว่ากอดน่าจะถูกกว่า เอาแก้มเขามาชนแก้มฉัน เอาหัวมาติดกัน สารพัดวิธีแอ้คชั่น สุดท้ายตามมาถึงร้านชาเสนอจ่ายค่าชาให้พร้อมนัดเจอคืนพรุ่งนี้ ฉันปฏิเสธไปแบบเนียนๆและบอกว่าไม่ได้มาคนเดียวมีสามีมาด้วย เรื่องยกสามีมาอ้างนี่เป็นเรื่องจำเป็นในอินเดียเพราะถ้าบอกไปว่ามาคนเดียวพี่แขกจะตื้อมากและจะไม่มีวันจบ เหมือนกับเรื่องซื้อของถ้าไม่ซื้อก็บอกไปตรงๆว่าไม่ซื้อ ถ้าบอกว่าบางทีอาจจะซื้อพี่แขกก็จะตามเป็นชั่วโมงๆ
ระยะทางจากท่านำ้ไปที่พักไม่ได้ไกลอะไรแต่ด้วยความมืด คน วัว แพะ และขี้ที่มีอยู่ทุกซอกมุมของตรอกเล็กๆที่ต้องเดินผ่านมันทำให้ต้องใช้เวลานานโข เดินๆอยู่มีน้องวัวมาขวางทางจะไปต่อก็ไม่ได้จะถอยก็ไม่ได้ ต้องใช้วิธีสไปเดอร์แมนไต่กำแพง มันน่าขำน้อยอยู่ซะเมื่อไหร่ละ ไฟฉายในโทรศัพท์เป็นตัวช่วยที่ดีแต่บางทีต้องเปิดดูจีพีเอส พอกดจีพีเอสไฟฉายก็ดับอีก ถึงตรอกช่วงที่สว่างหน่อยไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฉายตาก็มัวแต่ดูจีพีเอสตีนก็ดันไปเหยียบขี้เสียอีก เฮ้อออออออ.... Incredible India!
No comments:
Post a Comment