Saturday, September 10, 2016

Incredible India


      
    Namaste Day 5
    Agra - Jaipur

   ตีสามครึ่งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์อัจฉริยะของฉันก็ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ ลุกขึ้นมารู้สึกโผเผไม่มีเรี่ยวแรง ข้าวผัดมังสวิรัติใส่เครื่องเทศรสจัดจ้านกับกล้วยหอมแปดลูกเล็กๆที่กินเมื่อคืนคงเอาร่างกายไม่อยู่ ส่องกระจกดูเห็นขอบตาล่างเริ่มช้ำ ฮะ สงสัยจะเริ่มแก่จริงๆละปีนี้ อาบน้ำอาบท่าเก็บเป้เสร็จก็ลงมาปลุกพนักงานคนเดิมที่เคยปลุกเมื่อวานให้เปิดประตูให้พร้อมบอกเช็คเอ้าท์ แอบได้ยินเสียงหนุ่มบ่าอุบอิบคงประมาณว่ายัยป้านี่มันอะไรของมันนักหนาเมื่อวานตีห้าวันนี้ตีสี่ เดินออกมาจากโรงแรมลัดเลาะออกซอยเล็กๆเห็นคนขับรถตุ๊กๆหรือที่นี่เรียกกันว่าเอาโต้ริกชอว์ยืนรออยู่แล้ว ระยะทางจากโรงแรมไม่ได้ไกลจากสถานีรถไฟแต่สุวรรณีได้รับบทเรียนมาจากสองวันก่อน คนขับรถขับออกไปจากเขตเมืองเรื่อยๆลมเย็นๆพร้อมกับกลิ่นขยะและกลิ่นขี้วัวจากสองข้างทางโชยเข้าจมูก แสงสลัวๆของตีสี่กว่าๆทำให้เห็นเงาตะคุ่มๆของผู้คนที่นอนอยู่ข้างทางเป็นระยะๆ บ้างก็นอนคาบนสามล้อถีบที่คงใช้เป็นเครื่องมือหากินในตอนกลางวัน บ้างก็ขดตัวนอนใต้ต้นไม้ ประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคนในอินเดียทำให้มองไปทางไหนก็มีแต่คน คน และก็คน  

   สถานีรถไฟที่ฉันใช้บริการวันนี้มีชื่อว่าสถานีAgra Fort เป็นคนละสถานีที่มาถึงเมื่อสองวันก่อนคือสถานีAgra Cantt ตั๋วรถไฟที่จองผ่านเอเย่นต์เมื่อวานไม่ได้ระบุอะไรมากกว่าหมายเลขขบวนรถไฟ ไม่มีแม้แต่หมายเลขตู้ หมายเลขที่นั่ง หรือแม้แต่ชื่อของฉันบนตั๋ว ราคาตั๋วซื้อผ่านเอเย่นต์ก็แพงขึ้นหนึ่งเท่าตัวจากราคาจริงสี่ร้อยยี่สิบห้ารูปีเป็นแปดร้อยรูปี นึกไปแล้วก็น่าเจ็บใจที่จองเองไม่ได้หลังจากพยายามมาถึงสองเดือนก่อนหน้า ธุรกิจท่องเที่ยวบางทีมันก็โหดร้ายเกินไป คงได้แต่สัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันทำแบบนี้กับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการเรา มาถึงสถานีรถไฟตีสี่ครึ่งแทบจะเดินไม่เป็นเพราะมีแต่คนนอนขวางทางระเกะระกะไปหมดจนอยากจะยกกล้องออกมาถ่ายรูปแต่ก็ไม่กล้าพอ เดินฝ่ากองมหาชนมายืนงงอยู่ตรงกลางห้องโถงใหญ่ โมเม้นนี้เหมือนในหนังมากที่อยู่ๆก็มีลุงอินเดียหนวดเฟิ้มแต่งตัวดีตะโกนมาจากอีกฝั่งกองนอนมหาชนว่า จะไปไหน ฉันตะโกนกลับว่าจะไปชัยปุระแต่ไม่รู้ว่ารถขบวนไหนที่นั่งอะไร ลุงชี้ไปทางตู้สีแดงริมกำแพง งานนี้ต้องขอบคุณประเทศอังกฤษที่ทำให้คนอินเดียหลายๆคนสื่อสารภาษาอังกฤษได้ รวมทั้งสร้างผังเมืองให้ดูง่ายหาหนทางสะดวก ยกเว้นก็แต่ซอกหลืบต่างๆที่ความอินดี้ของคนอินเดียสร้างมันขึ้นมาเอง ตู้สีแดงที่ว่านั้นมันคือตู้คีออสเหมือนที่เราใช้ที่สนามบิน เพียงแต่ว่าตู้คีออสนี้มันเป็นภาษาฮินะดี!  เอิ่มมมมมม.... ฉันกดแบบงงๆไปสองงสามรอบ ลองกรอกเลขนั้นเลขนี้ที่มีบนตั๋วจนท้ายสุดเหมือนปาฏิหาริย์ ข้อมูลฉันก็ขึ้นมาและที่เดาเอาว่าต้องเป็นของฉันเพราะเลขสี่สิบสามเป็นอายุที่ฉันต้องกรอกตอนไปจองตั๋ว เลขอารบิค43บนหน้าจอสีขาว พร้อมตัวฮินดีขยุกขยิกแล้วมีC1 แล้วต่อด้วย6 ฉันควักปากกามาจดเอาไว้แล้วครึ่งวิ่งครึ่งกระโดดข้ามผู้คนที่กำลังนอนอยู่ไปทางชานชาลา เห็นจากจอดิจิตอลเก่าๆว่าJaipur 3 และพอไปถึงชานชาลาที่สามลองถามคนที่นั่งรอกันอยู่ก็บอกว่าใช่ ไจปูร์ร์ร์ พี่แขกออกเสียงเมืองนี้ว่าอย่างนี้จริงๆ ตู้C1คือตู้แอร์คอนดิชั่นหนึ่ง ผู้โดยสารทั้งหมดจะเป็นคนมีอันจะกินหรือไม่ก็นักท่องเที่ยวเพราะราคาตั๋วค่อนข้างแพง สำหรับฉันไม่มีทางเลือกเพราะเอเย่นต์จองให้มาแบบนี้ รถไฟขบวนนี้ไม่ได้หรูเหมือนขบวนที่นั่งจากเดลีไปอีกรา ไม่มีเครื่องดื่มและอาหารเสิร์ฟ เบาะที่นั่งเก่าๆแต่มีแอร์เย็นๆให้ ฉันนั่งไปก็หวั่นๆไปว่าจะมีคนมาไล่ให้ลุกเพราะนั่งผิดที่จนตีห้ากับสิบนาทีรถไฟเคลื่อนขบวนก็เริ่มเบาใจ หนุ่มแขกตาคมหน้าตาดีข้างๆหันมาชวนคุย เขาเดาว่าฉันเป็นคนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีไปนู่น ฉันบอกว่าไทยยังทำหน้าไม่เชื่อ คุยกันไปคุยกันมาได้ความว่าเขาทำงานให้กับหน่วยราชการฝึกพวกทหารอากาศ ทหารบกสำหรับออกรบ ฉันแอบนึกในใจว่าโม้รึเปล่าวะ หล่อยังไม่พอแถมทำงานยังกับพวกเจมส์ บอนด์ เขาคงเดาออกว่าฉันไม่เชื่อก็เลยควักโทรศัพท์ออกมาเปิดรูปให้ดู แม่เจ้า! หนุ่มรูปหล่อที่นั่งข้างๆฉันในชุดยูนิฟอร์มแอร์ฟอร์ส ถ่ายที่ตะวันออกกลางที่ไหนซักแห่ง อีกหลายๆรูปในชุดฝึกร่วมกับทหารตำรวจหน่วยงานอื่นๆอีกหลายเชื้อชาติ โว๊ยเฮ้ยนี่มันร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมานั่งรถไฟข้างๆฉันชัดๆ คุยต่อไปเรื่อยๆก็จับความได้ว่าหนุ่มอายุสามสิบสี่ปีและกำลังจะเดินทางกลับบ้านไปหาลูกเมียหลังจากไม่ได้เจอกันสองเดือนเต็มๆ รูปลูกเมียที่บ้านเขาก็ตามมาเป็นฉากๆ ฉันอวยพรให้เขามีความสุขกับครอบครัวเขาและใช้วันหยุดสองวันที่เขามีให้ดีที่สุดแล้วก็ก็แอบทำเป็นง่วงนอนดึงผ้าพันคอผืนใหญ่ในเป้ออกมาห่มจนถึงหัว ซุกตัวอยู่ในผ้าอุ่นๆจนลืมความเย็นจัดของแอร์และเจมส์ บอนด์ที่นั่งข้างๆ

   รถไฟใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมงก็มาถึงชัยปุระ ซึ่งเป็นเมืองหลักของรัฐราชสถาน เป็นเมืองที่มีจำนวนประชากร มากเป็นอันดับที่ 10 ของประเทศอินเดีย (3.1 ล้านคน) มีสองสามแห่งที่ฉันอยากเห็นในเมืองนี้และเป็นเส้นทางสามเหลี่ยมอารยธรรมที่ฉันกำลังตามอยู่ ออกมาจากสถานีรถไฟได้ฉันก็ต้องมาต่อสู้กับคนขับริกชอว์นับสิบๆที่มารุมล้อมฉันไว้ ฉันเดินสลัดออกที่ละคนสองคนคนเหลือแค่สองคนสุดท้ายและห้านาที่ต่อมาก็เหลือแค่คนเดียวเป็นหนุ่มน้อยช่างพูด พูดจนฉันเหนื่อยแทนและเห็นในความพยายามและที่สำคัญคือเขาพูดภาษาอังกฤษชัดมาก ฉันตกลงจ้างเขาไปส่งที่โรงแรม และให้กลับมารับอีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาเพื่อไปดูสถานที่ๆฉันอยากไป เก็บข้าวของล้างหน้าล้างตาเสร็จฉันก็พร้อมจะออกไปสำรวจชัยปุระ Amer Fort Hawa Mahal และ Jal Mahal คือเป้าหมายของฉันวันนี้ แต่ละที่ยิ่งใหญ่อลังการจนฉันไม่รู้จะถ่ายภาพออกมาให้สวยได้อย่างไร ค่าผ่านประตูแพงระยับก็เป็นอีกอย่างที่ทรมานใจฉัน ชักไม่แน่ใจว่างบประมาณที่พกมาด้วยจะพอรึเปล่า แต่อีกใจก็คิดว่าไหนๆก็มาแล้วก็ต้องเห็นในสิ่งที่อยากเห็น นี่คือข้อด้อยของการเดินทางคนเดียว ทุกอย่างจ่ายเอง จ่ายเต็ม ไม่มีตัวหาร

   อากาศร้อนมากจนหน้าตาผิวกายแสบไปหมด ครีมกันแดดเอสพีเอฟสูงที่พกมาคงเอาไม่อยู่เพราะแอบเห็นเงาหน้าตัวเองในกระจกทั้งแดงทั้งดำแข่งกับเปาปุ้นจิ้นช่องสาม พยายามเดินให้เร็วที่สุดและถ่ายรูปให้มากที่สุดแต่สุดท้ายเรื่องถ่ายรูปก็ต้องยอมแพ้ไปเพราะฉันไม่ถนัดถ่ายรูปแนวนี้ไม่ว่าจะฝึกและเรียนรู้ขนาดไหนก็รู้สึกว่าทำได้ไม่ดีสักที อาจเป็นเพราะการหัดถ่ายรูปครั้งแรกของฉันเริ่มมาจากถ่ายพอร์ทเทรตก็อาจจะเป็นไปได้ เดินหลบไอแดดไปนั่งพักร้านกาแฟบนป้อมปราการสูงลิบ นั่งพักเป็นหมาหอบแดดกับสตรอว์เบอร์รี่มิ้ลค์เชคแก้วโตพร้อมกับช็อคโกแลตฟัดจ์อีกชิ้นเบ้อเริ่มค่อยมีแรงมาหน่อย งานการทางครัวน้อยก็ต้องดูแล ควักโทรศัพท์ออกมาตอบรับอีเมล์กันเป็นพักๆ ก็นะ งานก็ต้องเดิน เงินถึงจะมา 

   เมืองชัยปุระส่วนหนึ่งเป็นสีชมพู เพราะในรัชสมัยของมหาราชาสวาอี ราม สิงห์  ค.ศ. 1876ได้มีพระบัญชาให้ทาสีอาคารบ้านเรือนต่างๆในเมืองเป็นสีชมพูเพื่อเป็นการต้อนรับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งเวลส์ ในคราที่เสด็จเยือนชัยปุระอย่างเป็นทางการ บางตำราก็บอกว่าเพราะมหาราชาเองชอบสีชมพูก็เลยทาสีเมืองทั้งเมืองให้เป็นสีชมพู ซึ่งสีชมพูนั้นก็ยังคงไว้จนถึงปัจจุบันและได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของชัยปุระจนทุกวันนี้ อินเดียนะชั่งมีประวัติที่ฟังดูมุ้งมิ้งเอาการเลยทีเดียวเชียว 

  ลากสังขารตัวเองชักจะไม่ไหวก็เลยกลับมาโรงแรมเพื่อมาพักร่างก่อนจะออกไปเดินหาลาสซี่อร่อยๆกินตามข้างทาง ลาสซี่ในถ้วยดินเผาใบใหญ่รสชาติอร่อยมากที่สุดเท่าที่เคยกินลาสซี่มา กินลาสซี่ไปก็อดคิดถึงหนูแนนไม่ได้เพราะเคยพาไปกินอาหารอินเดียที่เชียงใหม่แต่หนูแนนกินลาสซี่ไม่ลงบ่นว่าเหม็น ตอนนี้หนูแนนไปอยู่ไกลถึงอเมริกาไม่รู้ว่าจะกินอาหารบ้านเขาไหวรึเปล่า จบจากลาสซี่ก็เดินมาเจอไก่ทันโดริกับเคบับทันโดริ กินไก่คงไม่ไหวเพราะเล่นขายกันที่ละตัว เอาเค่เคบับทันโดริแบบห่อกลับบ้าน ระหว่างที่รอคิวมีหนุ่มอินเดียแต่งตัวดีที่รอคิวอยู่เหมือนกันมายืนคุยด้วยพร้อมบอกว่าร้านนี้เป็นร้านที่อร่อยที่สุดในชัยปุระ เขาถามฉันว่ามาจากไหนก็เลยได้เพื่อนคุยอีก เหมือนกับที่หลายๆคนเคยบอกไว้เลยว่า you are never alone in India มันเข้าท่าจริงๆ คุยกันจนถึงเคบับฉันสุกก็เลยต้องลากัน ก่อนจากกันหนุ่มล้วงกระเป๋าที่สะพายมาพร้อมกับยื่นหินสีก้อนโตมาให้ฉัน ที่ฉันต้องเรียกมันว่าหินสีเพราะว่าไม่รู้ว่ามันคืออะไรไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เสียเลย ตามที่หนุ่มเล่าให้ฟังเขาเปิดร้านขายพวกจิวเวลรี่ ฉันรับมาแบบงงๆพร้อมกับบอกขอบคุณเขาไป น่าเสียดายตอนนั้นไม่ได้พกยาหม่องตราลิงไปด้วยจะได้เอาแลกกัน เดินกลับโรงแรมหลังพระอาทิตย์ตกดิน การจารจรบนถนนยังไม่เบาบาง เสียงรถเสียงแตรยังคงอึกทึกครึกโครมเหมือนเดิม การข้ามถนนที่นี่ยากที่สุดในโลก เปรียบเที่ยบกันแล้วเวียดนามแพ้ย่อยยับ ฉันเริ่มชินกับสภาพถนนและการจราจรบ้างแล้วก็เลยเดินไปเรื่อยๆทำแบบคนที่นี่อยากข้ามก็ข้ามแนวอินดี้กันไปเลยให้คนขับรถที่เกือบขับชนส่ายหัวด้อกแด๊กพอเรียกน้ำย่อยบนท้องถนนอินเดีย ตรงไหนสลัวๆหน่อยก็จะมีพวกโยคีหรือคนเร่ร่อนนั่งขี้กันบ้าง อาบน้ำบ้าง นั่งคุยกันบ้าง ฉันเองก็หิ้วถุงเคบับทันโดริเดินชิวๆผ่านพวกเขาไปเรื่อยๆ อินเดีย เมืองอะไรน่ารักจัง
   Incredible India! 























   

   

No comments:

Post a Comment