New Delhi - Agra
ฉันตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีสี่ยี่สิบนาทีแต่กว่าจะเข็นตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวเก็บของใส่เป้เสร็จก็ปาเข้าไปตีห้าสิบนาที รีบเดินลงมาชั้นล่างเช็คเอาท์ พนักงานโรงแรมสามสี่คนนอนกับพื้นอยู่หน้าเคาท์เตอร์เสียงกรนสนั่น รีบปลุกพวกเขาตื่นแล้วยื่นเงินแปดดอลลาร์ที่เตรียมไว้แล้วสำหรับค่าไปรับที่สนามบิน พนักงานพูดด้วยเสียงงัวเงียว่าฉันต้องจ่ายเก้าดอลลาร์ ฉันท้วงไปว่าตามที่ตกลงกันไว้ผ่านอโกด้าแปดดอลลาร์ไม่ใช่เก้า พนักงานชายยกเหตุผลเรื่องภาษีรัฐบาล ค่าจ้างพนักงาน เซอร์วิสชาร์จและอีกร้อยแปดเหตุผล ฉันขี้เกียจเถียงก็เลยเพิ่มให้อีกหนึ่งดอลล่าร์ อากาศเมืองเดลลีตอนตีห้ากว่าๆกำลังสบาย ฉันสะพายเป้ลัดเลาะไปเรื่อยๆตามทางที่มาสำรวจไว้ก่อนแล้วเมื่อวานนี้ ผ่านรถเข็นขายชาร้อนผสมเครื่องเทศรสเข้มข้นหรือที่นี่เรียกว่าจัย ลูกค้าร้านจัยคงมีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพราะเห็นมีลูกค้ายืนรายรอบอยู่หลายคน จัยร้อนๆกินกับซาโมซ่ารสชาติจัดจ้านเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมอินเดียที่ฉันต้องปรับตัวเข้าหาเพราะฉันไม่โปรดปรานเครื่องเทศบางอย่างที่ใส่ในจัย ทุกครั้งที่ดื่มจัยจะเกิดอาการเหงื่อออกใต้รักแร้จนเสื้อเปียกเป็นวงๆ บวกกับไม่ชอบของทอดอย่างซาโมซ่า บนถนนตอนตีห้าสกปรกเลอะเทอะไปด้วยขยะนาๆชนิดจากตลาดกลางคืน วัวสองสามตัวกับแพะอีกหลายฝูงเดินกินขยะอยู่มุมโน้นมุมนี้ ฉันพยายามเดินตามที่ๆมีแสงไฟส่องถึงจะได้ปลอดภัยจากการเหยียบขี้และเหยียบคน ตามมุมสลัวมีผู้คนนอนหลับกันอยู่บนขอบถนนบ้างซอกตึกบ้าง นอนกันกับพื้นหรืออย่างดีก็มีกระดาษหนังสือพิมพ์รองตัว หมอน ผ้าห่ม คงไม่ต้องพูดถึง คนที่นี่ไม่มีคือไม่มี ไม่มีอะไรจริงๆ รีบก้าวเท้ายาวๆจนเหงื่อชุ่มหลังจะได้พ้นจากความไม่น่าดูทั้งหลาย
สถานีรถไฟเดลีเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดและวุ่นวายที่สุดที่ฉันเคยเห็นมาจากการเดินทางสี่สิบประเทศ ตีห้าครึ่งแต่มีคนเดินขวักไขว่อยู่แล้วหลายพันคน ตั๋วที่จองผ่านเอเจนซี่ในไทยมาแล้วทำให้การเดินทางของฉันง่ายขึ้นถึงแม้ว่าจะเสียค่าบริการให้กับเอเจนซี่พอๆกับค่าตั๋ว ทำการบ้านมาเยอะมากกับทริปนี้ความมั่นใจก็เยอะตาม โยนเป้เข้าเครื่องเอ็กซเรย์แล้วเดินไปหยิบเป้คืน ยกเป้ขึ้นหลังแล้วเดินชิวๆไปดูตารางรถไฟจากป้ายดิจิตอลจอใหญ่ ตั๋วที่จองไว้เป็นรถไฟที่ดีที่สุดในชั้นที่ดีที่สุดที่มีจากเดลีไปอักรา Bhopal Shatabdi Express ชั้นE1 ไม่ได้อยากจะทำหรูแต่ศึกษาเรื่องรถไฟอินเดียมามาก กลัวว่าจะได้ขึ้นนั่งบนหลังคา ฝ่าฝูงมหาชนเดินตามหาแพลตฟอร์มสิบสี่ตามที่แจ้งไว้บนจอใช้เวลาเกือบสิบห้านาที พอไปถึงกลับไม่ใช่รถไฟที่จะไปอักรา! สุวรรณีน้อยใจหายวูบตกไปถึงตาตุ่ม งานเข้าแต่เช้าเลยวันนี้ รีบเปิดโรมมิ่งเช็คขบวนรถไฟ ในเวปไไซต์เขาบอกไว้ว่าแพลตฟอร์มหนึ่ง ดูเวลาเหลืออีกไม่ถึงสิบนาทีจะหกโมงเช้าซึ่งเป็นเวลารถไฟจะเคลื่อนขบวน จากแพลตฟอร์มสิบสี่ไปแพลตฟอร์มหนึ่งระยะทางก็ไม่ใช่น้อยๆบวกกับต้องฝ่าฝูงผู้คนนับพัน เกียร์หมาที่เขาว่าไว้มันเป็นยังไงสุวรรณีพึ่งรู้ก็วันนี้ ความสุภาพ ความเกรงใจ ความไม่กล้าทิ้งไว้ไหนก็ไม่รู้ วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แหวกฝูงมหาชนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ไปถึงขบวนรถไฟทันเวลาเสียงหวูดเตือนว่าจะเคลื่อนขบวนพอดี ใจก็ยังลังเลอีกว่าแล้วมันต้องตู้ไหนถึงจะเป็นที่นั่งกุวะ สมองด้านที่ฉลาดที่สุดออกคำสั่งว่าตู้ไหนเมิงก็ขึ้นไปก่อนเหอะ รถไฟถึงมันจะยาวเป็นกิโลแต่มันก็ต้องเดินทะลุไปตู้โน้นตู้นี้ได้แหละ กระโดดขึ้นรถไฟเท้าหลังยังไม่แตะพื้นดีรถก็เคลื่อนขบวน กุรอดแล้วววววว เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆจนเจอพนักงานก็ยื่นตั๋วให้เขาดูแล้วถามว่าที่นั่งฉันอยู่ไหน พนักงาวทำหน้างงแล้วทำหัวสั่นดุกดิกตอบมาว่าเดินไปจนสุดขบวน อยู่ตู้สุดท้าย! ธัมโม สังโฆ รถไฟอินเดียยาวมาก เดินทะลุมันทุกตู้ทุกชั้นเบียดคนอีกเป็นร้อยเพราะบางตู้ก็ไม่ได้นั่งกันแต่ยืนโดยสาร ผ่านตู้ที่เปิดหน้าต่าง ผ่านตู้พัดลม ในที่สุดก็มาถึงตู้E1 ตู้แอร์ขบวน ตู้ที่มีหมายเลขนั่งของฉัน เหมือนผ่านสมรภูมิรบมาอย่างหนัก หัวหูหน้าตาฉันมันคงตลก เพราะผู้โดยสารร่วมตู้หันมามองกันเป็นแถว ฝรั่งนักท่องเที่ยวสองสามคนที่เหลือเป็นคนอินเดียแต่งตัวดีมากใส่เน็กไทนุ่งเสือนอกนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ ก้มดูตัวเอง กางเกงช้างตัวละเก้าสิบเก้าบาทกับเสื้อเชิ้ตที่เคยเป็นสีขาวสดใสเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแต่ตอนนี้กลายเป็นสีมอๆพร้อมกับเปียกเหงื่อไปครึ่งตัว แอบอายเหมือนกันนะ วางเป้กับพื้นแล้วนั่งลงตามหมายเลข ดีที่เก้าอี้ข้างๆว่างก็เลยสบายตัวขึ้น ควักแว่นกันแดดมาใส่พร้อมหมวกเบสบอลปกปิดผมที่ยุ่งเป็นรังนกพร้อมกับมโนไปว่าตัวเองเป็นแบรตพิตปลอมตัวมาสืบราชการลับ นำ้ดื่มขาดใหญ่ ชา กาแฟ พร้อมอาหารเช้าชุดใหญ่ถูกนำมาเสิร์ฟสมกับเป็นตู้ที่ค่าตั๋วสูงที่สุดในขบวน รู้สึกว่าชีวิตดี๊ดีขึ้นมาบ้าง
รถไฟหยุดรับผู้โดยสารเพิ่มที่สถานีMathuraแล้วยิงยาวรวมสองชั่วโมงตรงก็มาถึงสถานี Agra Cantt สถานีของฉัน ความวุ่นวายของสถานีรถไฟที่นี่น้อยกว่าที่เดลีแต่มันคงไม่ใช่วันของฉันเพราะฉันหลงทาง หาทางออกไม่เจอต้องใช้เวลาอีกเกือบยี่สิบนาทีจึงจะออกมาถึงบู้ทรถตุ๊กๆแล้วนั่งรถตุ๊กๆมาโรงแรมที่จองไว้ ตุ๊กๆที่นี่น่ารักมากเหมือนกบตัวเล็กๆ แต่คนขับตุ๊กๆไม่ได้น่ารักเหมือนรถทุกคนนะ มีทั้งตามตื้อ ทั้งแซวเล่น ทั้งกระชากลากถู คงต้องเซียนเดินทางจริงๆถึงเอาอยู่ มาถึงโรงแรมฉันถึงกลับสลบไสลไปเลย นอนพักร่างพักจิตจนถึงบ่ายสองกว่าๆก็พร้อมที่จะออกไปผจญภัยอีกครั้ง ฉันเลือกที่จะเดินเล่นไปเรื่อยๆ แต่การเดินเล่นในเมืองอักราตอนบ่ายๆก็คงมีไม่กี่คนที่ทำกัน ฉันเดินผ่านกองขยะ คูน้ำเน่า กองขี้คน กองขี้วัว ร้านอาหาร ร้านขายน้ำ ร้านตัดผม โอ๊ยยยยย สารพัดอย่าง จนมาหยุดที่หน้าบ้านหลังเล็กๆที่เลี้ยงแพะไว้หน้าบ้าน แพะผูกโบว์สีชมพูแถมใส่กำไลข้อเท้า อินเดีย เมืองอะไรน่ารักจัง เดินมาจนเหนื่อยก็เลยหาที่หลบแดดเป็นโรงหนังเล็กๆที่ยังใช้พลังงานคนในการเขียนชื่อหนังที่กำลังฉาย เปลี่ยนโปสเตอร์หนังด้วยแรงคนไม่มีจอแอลซีดีหรือจอดิจิตอล คลาสสิคมาก ลุงเจ้าของโรงหนังถามฉันว่ามาทำอะไรฉันบอกว่าจะมาดูหนัง แกรีบเอานำ้มาให้กินเป็นนำ้เย็นใส่ในถุงพลาสติกเล็กๆเวลาจะกินก็กัดมุมถุงดูดกิน ฮิปสเตอร์มาก ดูหนังไปได้ครึ่งเรื่องแต่ไม่เข้าใจสักคำเพราะเป็นภาษาฮินดี ตามแนวหนังอินเดียพระเอกนางเอกก็ต้องวิ่งไล่กันข้ามภูเขาไปทะลุทะเล ตัวโกงกับพระเอกก็ต้องต่อสู้กันจนจอแทบทะลุ อินเดียเป็นประเทศที่ผลิตภาพยนตร์ออกมามากที่สุดในโลกอันนี้เรื่องจริง สี่โมงกว่าๆนั่งตุ๊กๆไปMehtab Baghเพราะอยากเห็นทัชมาฮาลตอนพระอาทิตย์ตกดินจากมุมไกล ค่าตั๋วเข้าไปในMehtab Bagh สองร้อยรูปีก็เลยเกิดอาการลังเล คนขับตุ๊กๆที่พามาก็เลยบอกว่าเดินไปทางข้างๆทางเข้ามันจะเป็นทางเล็กๆลัดเลาะไปก็จะเห็นทัชมาฮาลมุมไกลเหมือนกันแต่ต้องระวังการ์ดที่ถือปืนกระบอกโตคอยกันไม่ให้เดินเข้าเขตหวงห้าม ประหยัดเงินสองร้อยรูปีในกระเป๋าและซาบซึ้งนำ้ใจคนขับรถจึงตกลงจ้างต่อสำหรับพรุ่งนี้ ถ่ายรูปทัชมาฮาลมุมไกลจนสมใจแล้ว เก็บทัชมาฮาลมุมใกล้ไว้สำหรับวันสำคัญวันพรุ่งนี้
Incredible India!
No comments:
Post a Comment