Namaste Day 12
New Delhi - Bangkok - Chiangrai
เช้าสุดท้ายในอินเดีย ฉันวางแผนไว้ว่าจะนั่งจิบจัยร้อนๆในห้องเป็นการสั่งลาอินเดียแต่หลังจากที่ พยายามโทรศัพท์ติดต่อรูมเซอร์วิสหลายทีก็ไม่มีเสียงตอบรับฉันจึงยอมแพ้ มันคงไม่ใช่ประสงค์ของพระเจ้า ดังเช่นคนที่นี่เขาพูดกัน อาบน้ำแต่งตัวประณีตกว่าทุกวัน กางเกงยีนส์พร้อมเสื้อแขนยาวที่ใส่มาวันแรกและมันก็ถูกยัดไว้ใต้ลึกสุดซอก เป้ถูกหยิบมาใส่อีกครั้ง ครีมรองพื้น แป้งพัฟทาหน้า ดินสอเขียนคิ้วก็กลับมาทำหน้าที่ของมันหลังจากที่หยุดพักไปเกือบสองอาทิตย์ ยังมีคนอีกหลายคนในโลกนี้ที่ตัดสินคนอื่นจากลักษณภายนอก และฉันก็รู้ดีว่าบางทีลักษณะภายนอก บุคลิก การแต่งกาย มันก็ช่วยให้การใช้ชีวิตมันง่ายขึ้นและเป็นที่ยอมรับง่ายกว่า
เช็คเอ้าท์แล้วเดินแบกเป้พร้อมหิ้วกระเป๋าใบใหม่ที่ใช้บรรจุของฝากซื้อออกมา ด้านหน้าโรงแรม มองหาคนขับริกชอว์ที่นัดหมายไว้เมื่อวานแต่ไม่เจอ หลังจากรออยู่ห้านาทียังไม่มาฉันก็ตัดสินใจเรียกริกชอว์คันอื่น สำหรับวันนี้เวลามันสำคัญเกินกว่าที่จะเอามาล้อเล่น บอกจุดหมายกับเด็กหนุ่มคนขับว่าจะไปสถานีรถไฟใต้ดินสำหรับแอร์พอร์ตเอ็กซ์ เพรซ เด็กหนุ่มตบเบาะรถให้ขึ้นมานั่งแต่ฉันถามราคาก่อน เขาบอกราคาเท่ากับราคาที่ตกลงกับคนขับอีกคนที่เขาไม่มาฉันจึงตกลงขึ้นรถ ออกรถไปได้สักพักเขาหันมาถามฉันด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นพอจับความได้ ว่าฉันจะไปไหน วินาทีนั้นฉันเหมือนจะรู้ชะตาตัวเองแล้วว่าคงจบไม่สวย ฉันย้ำกับเขาว่าเมโทรสเตชั่นสำหรับแอร์พอร์ต เขาทำหน้ามึนๆแต่ก็ขับไปเรื่อยๆและสุดท้ายก็มาส่งที่สถานีเมโทร ฉันมองดูรอบๆแต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสถานีที่ฉันขึ้นมาจากสนามบินวันก่อน หิ้วกระเป๋าใบเขื่องที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆพร้อมเป้อีกหนึ่งใบบนหลังลงไป ที่สถานี พยายามถามคนหลายๆคนที่เดินสวนไปมาแต่ก็ไม่เจอคนที่เข้าใจภาษาอังกฤษจน สุดท้ายเดินไปถามพนักงานขายตั๋ว เขายื่นเหรียญให้ฉันพร้อมบอกว่าแปดรูปี ฉันย้ำกับเขาว่าไปสนามบิน เขาก็พยักหน้าพร้อมกับบอกอีกครั้งว่าแปดรูปี ตอนนั้นฉันคิดว่าคงหมายถึงให้ขึ้นสถานีนี้แล้วไปลงอีกสถานีแล้วไปต่อเมโทร ที่นั่นสำหรับไปสนามบินเพราะแปดรูปีมันไม่น่าจะใช่ราคาค่าโดยสารไปสนามบิน จำได้ว่าขามาวันก่อนฉันจ่ายไปห้าสิบรูปี อากาศตอนแปดโมงเช้ากำลังสบายแต่ฉันรู้สึกเริ่มร้อนใจก็เลยตัดสินใจหยอด เหรียญเดินผ่านไปอีกฟากโดยไม่ขึ้นเมโทรเพราะคิดว่าอย่างน้อยก็กลับขึ้นไป ข้างบนได้และหารถคันอื่นหรือวิธีอื่น ดาต้าโรมมิ่งในโทรศัพท์ก็ใช้งานไม่ได้ในเวลานั้น ไม่มีอินเตอร์เน็ตในการเดินทางฉันก็เหมือนตาบอด เดินมาสักพักเจอเด็กผู้หญิงฉันรีบเข้าไปทักเพราะอายุเด็กขนาดนี้คงเป็น นักเรียนและนักเรียนก็ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ ฉันเดาถูกแต่เธอไม่สามารถช่วยฉันได้เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าฉันต้องขึ้นเมโทร สถานีไหน ขณะที่ฉันเกือบท้อก็มีคนเข้ามาช่วย ฉันต้องเรียกเขาว่าฮีโร่ พระเอก และเจ้าชาย เขาบอกว่าเขาเองก็กำลังจะไปเส้นทางสนามบินแต่จะลงหนึ่งสถานีก่อนฉัน เขาว่าเราต้องเดินสิบนาทีจากสถานีนี้ไปขึ้นเมโทรสถานีหน้า ฉันรู้สึกล้าที่แขนและขาเพราะกระเป๋าใบใหม่ก็หนักไม่ใช่เล่น เขาบอกว่างั้นนั่งริกชอว์ไปกันมั๊ย ฉันตอบตกลงและอาสาจะเป็นคนจ่ายค่าโดยสารให้เอง จากนั้นฉันและเขาซึ่งกลายสภาพเป็นเราก็นั่งริกชอว์ไปไปสถานีเมโทร เขาแย่งจ่ายค่าโดยสารริกชอว์พร้อมกับหิ้วกระเป๋าให้ฉัน พาไปซื้อเหรียญและช่วยแม้กระทั่งแตะเหรียญให้ประตูเปิด ฉันพึ่งเข้าใจว่าสโนว์ไวท์รู้สึกอย่างไรตอนเจ้าชายเอารองเท้าแก้วมาสวมให้ ฉัน ผู้หญิงอายุสี่สิบสามปี เคยมีผู้ชายผูกเชือกรองเท้าให้ เคยมีผู้ชายแต่งเพลงให้ เคยมีผู้ชายเขียนคำนิยามให้ฉันในหนังสือเล่มขายดีของเขา เคยมีผู้ชายสระผมและเป่าผมให้ แต่ไม่เคยม่ผู้ชายคนไหนแตะเหรียญโดยสารเมโทรให้ฉัน มันคงเป็นประสงค์ของพระเจ้า เจ้าชายอินเดียของฉัน ฮีโร่ของฉัน พระเอกของฉัน ในเมโทรเรานั่งคุยกันหลายเรื่องและจบท้ายด้วยการถ่ายเซลฟี่ด้วยกันและแลก เบอร์Whats App ตามธรรมเนียมอินเดีย
มาถึงสนามบินเวลากำลังดี พนักงานสายการบินทำท่าอิดออดเมื่อเห็นขนาดกระเป๋าที่ฉันบอกว่าเป็นกระเป๋า ถือ เขาพยายามจะให้ฉันโหลดเข้าใต้ท้องเครื่องแต่ฉันอธิบายว่าพอถึงกรุงเทพฉัน ต้องรีบไปต่อเครื่องภายในประเทศและมีเวลาแค่หนึ่งชั่วโมง เขาแนะนำให้ฉันไปคุยกับหัวหน้าเขา ใช้เวลาคุยไม่ถึงสองนาทีฉันก็ได้เข้าไปนั่งรอหน้าประตูขึ้นเครื่องพร้อม กระเป๋าและเป้ โชคดีชะมัด ไวน์แดงแก้วโตบนเครื่องทำให้ใจฉันสงบลง อาหารไทยมื้อแรกในรอบสิบสองวันถึงแม้จะเป็นแค่อาหารบนเครื่องบินแต่ฉันก็ รู้สึกว่ามันอร่อย เปิดที่พักแขนของเก้าอี้ทั้งแถวที่มีฉันนั่งเพียงคนเดียวออกแล้วล้มตัวนอน ฝันถึงอินเดีย ต่อเครื่องมาเชียงรายได้ทันเวลาสบายๆ อีกครึ่งชั่วโมงกับเวสป้าที่เอาไปจอดไว้ที่สนามบินฉันก็กลับมานั่งอยู่ที่ โต๊ะทำงาน สะสางงานที่ค้างไว้ ส่งรูปให้ลูกค้า อีเมล์ เอกสารอีกสองสามแผ่น
เช้านี้ฉันทิ้งอินเดียไว้ข้างหลังฉัน แต่อินเดียก็จะอยู่ในความทรงจำฉันไปอีกนานแสนนาน การเดินทางหลายๆครั้งของฉันทำให้ฉันลบล้าง ทฤษฎีเขาว่า ไปได้อย่างหมดจด เขาว่า ใครว่า คนนี้ว่า คนนู้นว่า มันไม่ได้สำคัญไปกว่า ฉันลงมือทำ การเดินทางอันยิ่งใหญ่ของคนตัวเล็กๆ
Incredible India!
The only impossible journey is the one you never begin.
No comments:
Post a Comment