Tuesday, September 26, 2017

Ride the journey


  Take on risks and ride the journey

  Called  life with no regrets

  And I have made it before I die... Nepal










Nepal SEptember 2017 : Day 16



    September 21 Day 16th Katmandu - Bangkok


    อาหารเช้าในร้านกาแฟชื่อดังของ Chaksibari Marg รสชาติอร่อย จนฉันอดจะสั่งหลายๆอย่างไม่ได้ มูสลี่โยเกิร์ตใส่ผลไม้ ขนมปังโฮลวีทแผ่นหนาเสิร์ฟมาพร้อมกับไข่ดาวซันนี่ไซด์อัพ แฮชบราวน์ เนยจากจามรีและแยมโฮมเมด น้ำมะละกอคั้นสดเย็นเฉียบ และกาแฟออแกนิค หิมาลายัน จาวา แมวสลิดตัวอ้วนมานั่งคลอเคลียอยู่ใ ต้โต๊ะ สุดท้ายก็กระโดดขึ้นบนม้านั่งมานอนหลับอยู่ข้างๆ สีลายๆและหน้าตาที่เหมือนจะบึ้งตึงอยู่ตลอดทำให้มันดูน่าขัน ฉันเอื้อมมือไปลูบขนมันเบาๆมันทำท่าพอใจทำเสียงครืดๆออกมา ฝนตกเม็ดหนากว่าเมื่อวานจนทำให้บรรยากาศอึมครึม มองไปข้างนอกเห็นทุกอย่างเป็นเฉดสีเทา


    เสร็จจากอาหารเช้ารีบวิ่งข้ามถนนกลับเข้าห้องพักแล้วอาบน้ำ จัดกระเป๋า ข้าวของที่เพิ่มขึ้นหลายอย่างทำให้ต้องแบ่งส่วนหนึ่งออกใส่กระเป๋าแทรเวลแบ้กที่เตรียมมาเผื่อกรณีฉุกเฉิน นั่งจัดไปก็นั่งขำตัวเองไปเพราะความคิดบ้าๆ ข้าวบาสมาติสามกิโลกรัม เครื่องปรุงเครื่องเทศเนปาล/อินเดียอีกนับสิบๆห่อ หนังสือสูตรอาหารเนปาล เกลือดำ เหลือสีชมพู โน่นนี่นั่นจนกระเป๋าแน่นเอี๊ยดแทบรูดซิปไม่ได้ ในกระเป๋าเป้มีเสื้อผ้าข้าวของที่จำเป็นสำหรับหนึ่งคืนและกล้องถ่ายรูป ในกระเป๋าสะพายมีโทรศัพท์ ไอแพด และเอกสารการเดินทาง เดินลงบันไดจากห้องพักชั้นห้า คิดๆอยู่หลายครั้งว่าอยากจะเอากระเป๋าทุ่มลงมาข้างล่าง

    เช็คเอาท์เรียบร้อยก็เดินข้ามถนนไปหารถแท็กซี่คันที่จอดใกล้อยู่ที่สุด ไม่เล่นเกมส์ ไม่ต่อรองราคาเพราะอยากจะเอาข้าวของทั้งหมดใส่รถและไปถึงสนามบินเร็วๆ โยนกระเป๋าและเป้ไว้เบาะหลังจนเต็มแล้วมานั่งข้างหน้ากับหนุ่มคนขับ หนุ่มฮินดูคนขับรถส่ายหัวดุกดิกยิ้มแป้นที่ฉันมานั่งข้างหน้าด้วย ฉันทักทายและคุยกับเขาเรื่องนั้นนี้ไปเรื่อยๆ เขาพยายามจะจ้องหน้าฉันทุกครั้งที่เขาสามารถละสายตาจากท้องถนนได้ เอาหน้าเขามาชิดหน้าฉันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ด้วยความที่รถแท็กซี่เป็นรถคันเล็กและฉันตัวสูงทำให้นั่งทอดขาตรงๆไม่ได้ หัวเข่าฉันแอบชิดอยู่กับกระปุกเกียร์ หนุ่มลากเกียร์รถไปหนึ่งสอง หนึ่งสองหลายครั้งทำให้มือของเขาแตะหัวเข่าฉันหลายครั้งอย่างตั้งใจ ฉันทำเฉยๆแต่หันหัวเข่าออกไปทางประตูรถแล้วชวนเขาคุยต่อเรื่องทั่วไป เขาถามฉันว่าแต่งงานรึยัง ฉันตอบว่าไม่แต่งและคงจะไม่แต่งตลอดไป ฉันพอใจชีวิตของฉันแบบนี้ เขาถามขอถึงอายุฉันตอบไปว่าสี่สิบสี่ปี และจู่ๆเขาก็พูดสวนออกมาวรา I like you เคยคิดเล่นๆอยู่หลายครั้งแล้วว่าหนุ่มเนปาลใจง่ายจริงๆ เพราะเวลาสิบกว่าวันที่นี่มี I like อยู่หลายรายแล้ว LIKE ไม่ใช่ LOVE และหนุ่มคนนี้ก็ไม่ได้likeฉันเฉยๆแต่มือหนุ่มมันไปยุกยิกอยู่ที่เป้ากางเกงของตัวเอง ฉันใช้สมองอย่างหนักว่าจะทำยังไงต่อไปดี จะกระโดดลงรถเหมือนในละครทีวีก็กลัวจะเลอะโคลน จะบอกให้จอดแล้วลงไปหาแท็กซี่คันใหม่ก็คงจะหายากแถวนี้ จะนั่งเฉยๆต่อไปก็กลัวหนุ่มจะขยับยุกยิกตรงนั้นหนักกว่าเก่า ก็เลยพูดออกไปว่าฉันอายุสี่สิบสี่นี่คงจะรุ่นเดียวกับแม่เธอนะ เธอรักแม่มั้ย แม่เธอทำกับข้าวอร่อยมั๊ย ถามไปคุยไปเรื่อยๆจนหนุ่มหยุดเกาแล้วตั้งใจขับรถจนถึงสนามบิน แอบคิดในใจขนาดตอนนี้หน้ามีแต่สิวจนพรุนไปหมดเพราะฤทธิ์ของฝุ่น ผมไม่ได้สระมาเป็นอาทิตย์ กางเกงตัวนี้นุ่งมาสามวันละยังไม่วายบิ้วอารมณ์หนุ่มได้อีก เง้อออออ....


    สนามบินตริภูวันยามสายเป็นไปอย่างเอื่อยๆ ผ่านซีเคียวริตี้สองสามด่านถึงจะผ่านเข้าไปข้างในได้ แต่ไม่ว่าจะผ่านกี่ด่านจนถึงบอร์ดดิ้งก็ไม่มีใครว่าเรื่องขวดน้ำดื่มที่เอาเข้าไป ของเหลวคงไม่มีศักยภาพพอที่จะทำระเบิดได้ในเนปาล ดีงามจริงๆมีน้ำดื่มตลอดเวลาที่ต้องการ กระเป๋าสำรองถูกนำไปเช็คและโหลดเข้าใต้ท้องเครื่อง มันหนักเกินไปที่จะหิ้วไปมาและการบินไทยก็ให้โหลดกระเป๋าได้ถึงสามสิบกิโลกรัม เดินตัวปลิวเข้าไปหาประตูขึ้นเครื่องแต่คงเช้าเกินไปเพราะหมายเลขประตูยังไม่ออก สนามบินตริภูวันเป็นสนามบินนานาชาติแห่งเดียวในเนปาล แต่ก็เป็นสนามบินที่เล็กมากๆ ระหว่างที่รอหมายเลขเกทก็นั่งรวมๆกันในห้องโถง ฉันนั่งมองดูนั่นนี่เพลินๆรู้ตัวอีกทีก็มีเสียงทักอยู่ใกล้ๆ May I borrow you cellphone? หันหน้าไปดูเจอพระธิเบตหนุ่มตัวสูงใหญ่ยืนอยู่ข้างฉัน จีวรสีออกแดงห่มแตกต่างจากพระสงฆ์บ้านเรา สะพายย่ามที่ปักคำว่า University.... Tibet อะไรสักอย่าง ที่ชอบที่สุดและคิดว่าเท่ห์ที่สุดคือพระใส่รองเท้าบู้ทTimberland โครตเท่ห์เลย ยื่นโทรศัพท์ให้พระยืมและเห็นแว้บเเว้บว่าพระเองก็ใช้ไอโฟนเจ็ดพลัส นั่นนนได้อีก ระหว่างที่พระยืมใช้โทรศัพท์ก็แอบมองๆท่านและคิดไปถึงหนังที่ แบรด พีท เล่น เรื่องเซเว่นเยียร์สอินธิเบต คิดไปคิดมาอยากไปธิเบต! ได้โทรศัพท์คืนแล้วแต่สายตายังมองตามพระชื่นชมความเท่ห์ของท่าน โน่นท่านไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งแต่ยังส่งยิ้มมาให้ นรกจะกินหัวรึเปล่านะที่คิดว่าพระธิเบตนี่เท่ห์และน่าสนใจจริงๆ ตอนหลังท่านเดินผ่านไปซื้อน้ำชาท่านยังมีน้ำใจแวะถามว่าฉันอยากดื่มอะไรมั้ย ชื่นใจจริงๆ


    บอกลาเทือกเขาเอเวอร์เรสผ่านหน้าต่างเครื่องบิน พาสต้าปลา ไวน์ขาวสองอึก น้ำแอปเปิลหลายแก้ว และหนังการ์ตูนอีกสองเรื่อง ทีมงานรักคุณเท่าฟ้าก็พาฉันกลับมาเมืองยิ้ม สนามบินสุวรรณภูมิ ผ่านระบบออโต้พิมพ์นิ้วมือสแกนพาสปอร์ตตรวจคนเข้าเมืองพาตัวเองเข้าประเทศในระยะเวลารวดเร็วทันใจ ฉันขนสัมภาระทั้งหมดมาใส่รถเวียนชัตเติ้ลบัสต่อไปสนามบินดอนเมือง นะหว่างทางฝนตกหนักไม่ขาดเม็ดตลอดเวลากว่าชั่วโมงบนรถบัส ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าครบรส แต่ก็น่าแปลกที่พอเข้าเขตดอนเมืองก็เริ่มซาและหยุดหายไป กระเป๋าสำรองถูกฝากไว้ที่เคาน์เตอร์รับฝากของในสนามบิน ฉันเดินตัวปลิวข้ามสะพานอมารีแล้วลงมาถนนใหญ่ เดินเลาะถนนไปเรื่อยๆเกือบสิบนาทีแล้วเลี้ยวขวาก็ถึงโฮสเทลเล็กๆที่จองไว้ ห้องดอมแปดเตียงที่มีแต่ฉันกับสาวชาวฝรั่งเศสอีกคนพักอาศัยมันดีพอแล้วสำหรับคืนนี้


---- คนที่ก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้หมายความว่าเขาหลงทาง----
















Nepal September 2017 : Day 15



     September 20th Day 15 : Thamel - Gaushala


    ฝนตกปรอยๆเมื่อฉันก้าวออกจากที่พัก ดึงฮู้ดเสื้อขึ้นคลุมศีรษะแล้วก้าวยาวๆผ่านร้านรวงที่กำลังจะเปิด แวะร้านกาแฟตรงหัวมุมถนนสั่งกาแฟร้อนใส่ถ้วยกระดาษแล้วเดินถือไป หนุ่มร้านกาแฟเจ้าประจำเห็นฉันเดินผ่านและถือถ้วยกาแฟจากร้านอื่นก็ทำหน้าขำๆใส่ "กาแฟอร่อยมั้ย เบื่อเนสกาแฟของฉันแล้วสินะ" เขาเย้า ฉันเดินไปหาเขายิ้มๆใส่แล้วคุยกันต่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ก่อนจะเดินไปหาแท็กซี่ ฝนตกฉันขี้เกียจเดินไปป้ายรถเมล์บวกกับคำนวณค่าใช้จ่ายแล้วว่าคงไหว แท็กซี่สภาพเก่าที่ไม่น่าจะวิ่งได้พาฉันมุ่งหน้าไปวัดฮินดู วัดPashupatinath วัดที่ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมที่มีอยู่ ที่จริงวัดนี้อยู่ไม่ไกลจากBoudhanathที่ไปมาเมื่อวานนี้ เดินหากันได้ แต่ก็ไม่ได้นึกถึงและนึกที่จะไป รถแท็กซี่จอดส่งแค่ถนนใหญ่จึงต้องเดินต่อไปเรื่อยๆตามทางเล็กๆ ตามรายทางมีผู้คนขายดอกไม้บูชา เครื่องรางต่างๆ ผงซินดูว์สำหรับเจิมหน้าผากสีเข้มบ้างอ่อนบ้างต่างกันไป ร้านรายทางมีเยอะมากร้านติดร้านจนฉันแอบสงสัยไม่ได้ว่าเขาได้ขายกันทุกร้านไหม ผ่านเข้าเขตวัดมีฝูงนกพิราบหลายร้อยตัวกำลังจิกกินอาหารที่ผู้คนโปรยให้ พอคนโปรยอาหารทีนกก็บินฮือตามอาหารทีจนฉันต้องรีบปิดจมูกปิดปากวิ่งผ่านเขตนั้นเพราะทั้งฝุ่นทั้งขนนกปลิวว่อนทั้งบริเวณ เดินไปจนถึงจุดซื้อตั๋วเหตุการณ์ปรกติก็เกิดขึ้น หนุ่มตาคมตามประกบอาสาจะเป็นไกด์ให้และราคาไม่แพง ฉันบอกปฏิเสธไปเพราะหนึ่งไม่มีตังจ่าย สองอยากจะใช้เวลาอยู่คนเดียว

    จ่ายค่าค่าตั๋วหนึ่งพันรูปีแล้วก็เดินดูจุดต่างๆของวัด มีหลายจุดที่เขาไม่ให้คนนอกศาสนาเข้าก็ได้แต่แอบสงสัยว่าข้างในจะเป็นอย่างไร บริเวณวัดลึกลับวนเวียนเหมือนเขาวงกต เดินเกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังหาทางออกไม่ได้ก็เลยตัดสินใจเดินขึ้นไปบนเขาด้านหลัง มองลงมาเห็นแม่น้ำBagmati สะพาน จดจำทิศทางไว้แล้วลงมาเดินาทางออกจนเจอ เสียงสวดมนต์ดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อเดินใกล้ถึงแม่น้ำ หนุ่มตาคมอีกคนตามเข้ามาประกบแล้วชวนคุยและชี้ทางเดิน เขาเดินพาฉันขึ้นไปทางด้านหลังกำแพงใหญ่ ใกล้แม่น้ำแล้วชี้มือลงไปริมแม่น้ำข้างล่างห่างจากจุดที่ยืนไม่กี่เมตร กองฟืนสลับกับกองฟางวางสุมไว้ด้านบนสุดทับไว้ด้วยผ้าสีเหลืองลายฮินดู ศพพันด้วยผ้าสีเหลืองเปิดแค่บริเวณใบหน้าถูกวางไว้ข้างบน คิ้วเข้มของศพตัดกับผิวซีดขาวมันคงจะอยู่ในความทรงจำฉันไปอีกนาน ยกมือไหว้ศพแล้วเดินออกมาจากจุดนั้นพร้อมกับบอกลาหนุ่มตาคม 

   เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นฝั่งพิธีกรรม ลัดเลาะริมฝั่งไปเรื่อยๆจนถึงจุดสูงสุดแล้วนั่งลงกับพื้น ฉันอยู่ฝั่งพิธีกรรมและฝั่งตรงข้ามก็คือฝั่งเผาศพ ทิศเหนือสะพานเป็นจุดชำระล้างทำความสะอาจครั้งสุดท้าย ศพจะถูกหามลงมาจากฝั่งจนเท้าศพแตะน้ำจากแม่น้ำBagmatiแม่น้ำศักดิ์สิทธ์แล้วทิ้งไว้สิบกว่านาที ระหวางนั้นก็จะมีการสวดมนต์ จุดธูป จุดเทียน จากนั้นศพก็จะถูกหามไปทิศใต้สะพานเพื่อทำการเผา ศพต่อไปก็ถูกลำเลียงมาทำพิธีอาบน้ำต่อไป เสร็จพิธีก็เคลื่อนไปเผา ศพแล้วศพเล่า ศพแล้วศพเล่า เสียงพิธีเคลื่อนศพจากท่าน้ำไปเชิงตะกอน เสียงร่ำไห้ของญาติ เสียงระฆัง เสียงฟืนแตก กลิ่นรูป กลิ่นไหม้ของเนื้อหนังมนุษย์ ควันไฟที่ลอยขึ้นมากองแล้วกองเล่า ฉันไม่รู้ตัวว่าเริ่มร้องไห้ตอนไหนรู้แต่ว่ามันเป็นการร้องไห้ที่หนักหน่วงที่สุด ก้อนแข็งจุกอยู่ที่บริเวณคอหอย น้ำตาไหลพรากไม่ยอมหยุดนับชั่วโมง ความเครียด ความเหนื่อย ความโกรธ ความอัดอั้นตันใจที่สะสมมานานละลายหายไปกับน้ำตา ฉันนั่งอยู่ตรงนั้น บนเนินหินสูง ปลดปล่อยอารมณ์ให้ไหลไปกับสายน้ำBagmati นั่งมองเห็นสัจธรรมใกล้แค่มือเอื้อม สัจธรรมที่รู้มานานแล้วแต่พยายามจะเลี่ยงไม่นึกถึง สัจธรรมที่เคยเห็นมาแล้วที่ใกล้แม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสีปีก่อนแต่มันไม่ได้ปลดปล่อยอีโมชั่นของฉันมากมายขนาดนี้ วันนี้ทั้งวันถ้าฉันนึกถึงไปถึงภาพริมแม่น้ำBagmatiตาฉันก็ยังอุ่นๆอยู่


    ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ที่วัดPashupatinath ถ่ายรูปBabaหลายท่านที่นั่งนอนอยู่เป็นจุดๆในบริเวณวัด Babaเนปาลไม่แต่งตัวแต่งหน้าและไว้ผมหลุดโลกเหมือนBabaที่อินเดีย พวกเขาก็สงบกว่า และไม่เรียกร้องอะไร ฉันถ่ายรูปเสร็จก็ส่งเงินให้ทุกท่านคนละเล็กละน้อย พวกเขาสนใจฉัน พยายามคุยถามว่ามาจากไหน มากี่คน มากี่วัน เด็กๆเนปาลมายืนมุงดูฉันคุยกับBabaแล้วหัวเราะกันคิกคัก เดินออกจากวัดมาเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งไปห้างสรรพสินค้า ปลอบใจตัวเองด้วยเนปาลอีกหนึ่งเรื่อง เรื่องนี้สนุกมีเต้นกันกระจาย ฉากรัก ฉากบู๊ ฉากเศร้า ครบรส การดูหนังของโรงนี้แบ่งออกเป็นสองช่วงคือดูครึ่งหนึ่งแล้วพักสิบนาทีแล้วดูต่อครึ่งที่เหลือ กรอนจะกลับที่พักแวะซื้อเครื่องเทศและเครื่องปรุงหลายอย่าง รวมไปถึงข้าวบาสมาติอีกสองสามถุง กลับไปเชียงรายจะลองทำอาหารเนปาลดู คงสนุก


    ปิดท้ายเย็นนี้ด้วยอาหารธิเบต กินเสร็จแล้วก็ไม่แน่ใจว่าอร่อยหรือเปล่าเพราะไม่เคยกินอาหารธิเบตมาก่อนนอกจากMomo สั่งอาหารมาเป็นชุดเพราะอยากจะลองหลายๆอย่าง มีข้าวสวย ----- ชื่อจะมาเขียนทีหลัง ขี้เกียจหา----- สั่งButter tea มาชิมหนึ่งถ้วย ชาที่ชงกับไขมันของจามรีแล้วใส่เกลือไปหน่อย จิบชิมแล้วก็ไม่แน่ใจว่าอร่อยไหม แต่ที่รู่สึกแต่ๆคือดื่ม/กินอาหารเย็นแล้วรู้สึกว่าร้อนมาก คงเป็นเพราะในอาหารมีปริมาณไขมันสูงทำให้ร่างกายอบอุ่น ทำให้พวกเขาสู้กับอากาศหนาวได้ 



           ฉันร้องไห้ ฉันหัวเราะ
          โลกกว้าง ทางไกล

          สุดท้าย... ฉันก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง


 





Nepal September 2017 : day 14



   September 19th Day 14 : Thamel Katmandu


    กาแฟใส่นมในถ้วยกระดาษไขอบอุ่นอยู่ในมือฉัน แดดตอนสายยังอบอุ่นไม่ร้อนแรง เดินออกจากParyatan Marg แล้วเลี้ยวเข้าThamel Marg เดินต่อไปช้าๆพร้อมกับจิบกาแฟในถ้วยไม่เร่งรีบกว่ายี่สิบนาทีขึ้นสะพานลอย ลงสะพานลอยอยู่หลายครั้งก็มาถึงป้ายรถเมล์ที่ต้องการ ฉันยืนงงๆอยู่กว่านาทีเพราะไม่แน่ใจว่าต้องขึ้นรถคันไหน รถตู้คันเล็กๆ และรถเมล์หลายคันจอดอยู่ กระเป๋ารถตะโกนเสียงดังโหวกเหวกเรียกผู้โดยสาร เดินไปถามกระเป๋ารถว่าคันไหนไปBoudhanath เด็กหนุ่มทำหน้างงๆฉันจึงออกเสียงใหม่ "Boda...." คนเนปาลออกเสียงแบบนี้ฉันอ่านมาจากบล็อกท่องเที่ยวคืนก่อน ได้ผลเพราะเด็กหนุ่มชี้ไปที่รถเมล์คันหนึ่ง ฉันเบียดตัวขึ้นไปบนรถเมล์คันเก่าๆที่มีผู้โดยสารนั่งเบียดเสียดอยู่ หนุ่มกระเป๋าชี้ให้ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ขยับแบ่งที่ให้ฉันนั่งหลังคนขับรถ รถเมล์เริ่มแล่นออกไปช้าๆพร้อมกับฝุ่นที่คลุ้งเข้ามาในรถ ฉันหยิบหน้ากากอนามัยออกมาจากกระเป๋าแล้วใส่ให้กระชับใบหน้า คนขับรถเปิดเพลงจังหวะเร่าร้อนเขย่าผู้โดยสารไปเรื่อยๆตามถนนที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อและฝุ่นควัน หน้ากากอนามัยช่วยได้มากเพราะนอกจากจะป้องกันฝุ่นได้บางส่วนแล้วก็ยังช่วยลดการได้กลิ่นจั้กกะแร้ของพี่ๆทั้งหลายในรถด้วย จากประสบการสิบกว่าวันที่นี่ก็ได้บทสรุปว่ากลิ่นเต่ามาจากผู้ชายไม่ได้มาจากผู้หญิง ถึงแม้เขาจะเป็นผัวเมียกันแต่กลิ่นตัวก็ไม่ติดกันอันนี้น่าแปลกเพราะสองวันก่อนไปยืนเลือกเสื้อยืดที่ร้านเล็กๆแล้วมีคู่ผัวเมียเดินเข้ามา กลิ่นเต่ากระจายทั่วร้านจนฉันเกือบทนไม่ไหว สักครู่ผัวเดินออกไปข้างนอก กลิ่นก็ก็เริ่มจางๆไป ฉันเป็นคนกลัวกลิ่น ดมจั้กกะแร้ตัวเองทุกเช้าว่ามีกลิ่นเหมือนแขกหรือยัง ทาโรลออนหลายครั้งหลังอาบน้ำ กลัวว่าเครื่องเทศที่กินเข้าไปจะส่งกลิ่นออกมาทางผิวหนัง ผู้ชายมีกลิ่นตัวสำหรับที่นี่คงเป็นเรื่องปรกติเพราะเห็นบางคนแต่งตัวดี หน้าตาดี กลิ่นตัวพวกเขาแรงมากจนฉันแอบคิดว่าโชคดีชะมัดที่เมืองนี้มีฝุ่นและการใส่หน้ากากอนามัยเป็นเรื่องปรกติ ไม่งั้นคงรู้สึกแย่ที่ใส่เพราะรังเกียจกลิ่นพวกเขา



    ระยะทางจากป้ายรถเมล์Jamalถึงป้ายBoudhanathไม่ถึงสิบสองกิโลเมตร แต่รถแล่นไปช้าๆแวะรับส่งคนตลอดทาง ฉันนั่งมองคนขึ้นลงรถไปเรื่อยๆสลับมองออกไปนอกหน้าต่าง ใช้เวลาอยู่บนรถเกือบชั่วโมงจึงถึงที่หมาย จ่ายเงินให้กระเป๋ารถยี่สิบห้ารูปีก่อนจะเดินเข้าไปในเขตเจดีย์ ซื้อบัตรผ่านประตูแล้วพาตัวเองเดินเข้าไปหาเจดีย์ที่ใหญีที่สุดในโลก Boudhanath หรือที่คนไทยเรียกว่า พระมหาเจดีย์โพธินาถ ซึ่งองค์เจดีย์มีฐานทรงดอกบัวตูม มีเค้าศิลปะค่อนไปทางธิเบต บนเจดีย์มีรูปเพ้นท์ลายดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าหรือWisdom Eyesอยู่ทั้งสี่ทิศ อันเป็นสัญลักษณ์ให้ผู้คนทำดี องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนสถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกในปีคริสต์ศักราชหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบเก้า นักท่องเที่ยว คนต่างศาสนา พระธิเบต พระอินเดีย พุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธาพากันมาเยี่ยมเยือน กราบไหว้อย่างเนืองแน่น หลายคนแสดงจิตศรัทธาโดยนอนคว่ำหน้าราบไปกับพื้นใช้ศีรษะแตะบนพื้นแล้วเลื่อนตัวไปกับพื้นเรื่อยๆจนครบรอบเจดีย์ แต่ด้วยความที่องค์เจดีย์ใหญ่มากกว่าจะรอบคงเจ็บตามเนื้อตัวไปหมดเขาจึงใส่สนับเข่า ความศรัทธา ศาสนา มันยิ่งใหญ่เสมอ


    เสียงกระซิบแว่วมาจากพุ่มไม้ระหว่างที่ฉันกำลังกำลังถ่ายรูป หนุ่มเนปาลตาคมแหวกตัวเองออกมาปรากฏตัวให้เห็น เขากวักมือให้ฉันเดิมตามมและด้วยความสงสัยฉันก็เดินตามไป ดอกไม้เล็กๆถูกเด็ดมาใส่มือฉันแล้วเขาก็ชี้ให้วางมันลงไประหว่างฐานเจดีย์ เดินต่อไปอีกนิดเศษธูปที่จุดไว้แล้วก็ถูกดึงออกจากกระถางแล้วส่งให้ฉันปักลงไปใหม่ เดินออกไปอีกนิดเขาให้ฉันเอาศีรษะไปแตะตรงรอยขาวๆตรงฐานเจดีย์ ฉันไม่อยากจะลบหลู่ความเชื่อของใครๆก็เลยเดินตามและทำไปเรื่อยๆ จุพีคมาถึงเมื่อเขาบอกให้ฉันเอาเงินออกมาสามร้อยรูปีแล้วขว้างเข้าไปในพุ่มไม้ข้างหน้า จำไม่ได้ว่าตัวเองเดินออกมาจากจุดนั้นเร็วขนาดไหน แต่มันก็คงจะเร็วพอจนหนุ่มคนนั้นตามไม่ทันจนถึงประตูทางออกฐานเจดีย์ ฉันหันกลับมามองแล้วยืนรอจนเขาตามมาถึง เขาชี้ไปที่นาฬิกาของเขาแล้วส่งสัญญาณถามว่ากี่โมงฉันจะเอาเงินไปไว้ ฉันจ้องหน้าเขาแล้วบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ของพระพุทธเจ้า เขาไม่ควรทำแบบนี้ ฉันไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเข้าใจที่ฉันพูดหรือไม่ ฉันแค่พูดในสิ่งที่ถูกต้อง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านอาหารเวียดนามเล็กๆภายในบริเวณเจดีย์ ผักสดๆห่อด้วยแผ่นแป้งบางทำให้รู้สึกสดชื่น พายแอปเปิลรสชาติไม่สู้ดีนักแต่ก็กินจนหมดจานเพราะความหิว ตามด้วยโซดาแก้วใหญ่เป็นอันจบมื้อเช้ารวบมือกลางวัน ใช้เวลาอีกค่อนชั่วโมงถ่ายรูปมุมนั้นนี้และเป็นครั้งแรกในเวลาสิบสามวันที่ได้พูดภาษาไทย เพราะตั้งแต่คุยสาวไทยสองคนที่สนามบินในวันที่มาถึงก็ไม่ได้เจอคนไทยอีกเลย หนุ่มๆสี่ห้าคนแบกกล้องอันโตมาจากกรุงเทพ อุปกรณ์พวกเขาดูครบครันและน่าทึ่ง พอๆกับพวกเขาที่ทึ่งกับการเดินทางคนเดียวของฉัน
โชดีที่ขากลับเจอรถเมล์คันเดิมแล่นผ่านมา หนุ่มกระเป๋าจำฉันได้เขายิ้มทักทาย รถคันเดิมแต่ไม่ได้กลับไปเส้นทางเดิมตลอดสายทำให้ฉันต้องลงรถแล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย เดินผ่านโรงหนังเล็กๆแล้วเดินกลับมาใหม่เพราะอยากลองดูหนังเนปาล ค่าตั๋วหนึ่งร้อยห้าสิบรูปีไม่กำหนดที่นั่ง โรงหนังกว้างขวางจอใหญ่ใช้ได้ แต่เก้าอี้เป็นเก้าอี้ไม้แบบพับ หนังเนปาลมีความคล้ายกับหนังอินเดีย หนังBolly Wood มีฉากรัก ฉากบู๊ ฉากเศร้า แต่ไม่มีฉากวิ่งข้ามเขาร้องเพลง ฉากไหนที่พระเอกโดนต่อยคนดูก็ร้องตกใจตาม ฉากไหนพระเอกต่อยคนร้ายได้คนดูปรบมือกันรัว ชั่วโมงกว่าๆในโรงหนังจบไปอย่างรวดเร็วสนุกสนานถึงแม้ว่าทั้งเรื่องจะเข้าใจคำเดียวคือ "ละ" แปลว่าใช่


    ใช้เวลาเดินอีกนานโขกว่าจะมาถึงThamel แวะร้านซุปเปอร์ซื้อบิสกิตยี่ห้อที่ชอบ การหาซื้อบิสกิตในเนปาลเป็นเรื่องที่สนุกเพราะมีหลายแบบมากให้เลือก เขาใส่ธัญพืชไปเยอะมากจนแทบจะกินแทนมื้ออาหารได้ น้ำผลไม้ ชีสที่ชอบ องุ่นอบแห้งถุงเล็ก หอบหิ้วขึ้นมากินในห้องพักพร้อมกับดูหนังช่องHBO Terminator 2 มีความสุข







Nepal September 2017 : Day 13

   

      September 18th Day 13 Pokhara - Katmandu


    ฉันเดินลัดเลาะถนนเลียบทะเลสาบPhewaช้าๆ เสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวถูกบรรจุไว้ในเป้บนหลังอีกครั้ง อากาศยามสายเย็นสบายเพราะฝนตกคืนเมื่อคืน เทือกเขาAnnapurnaปรากฎให้เห็นชัดเจนกว่าวันไหนๆเพราะท้องฟ้าไร้เมฆหมอกบดบัง คนขับรถแท็กซี่กวักมือเรียกฉันเป็นระยะๆ ฉันสอบถามราคาค่าโดยสารไปสนามบินไปเรื่อยๆจนได้ราคาที่พอใจ การต่อราคาเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตที่นี่ เกือบทุกอย่างที่เกี่ยวกับการซื้อขายต้องมีการเล่นเกมส์ต่อราคาก่อน ต่อราคารถแท็กซี่ ต่อราคาสปา ต่อราคาห้องพัก ต่อราคาซื้อเสื้อยืด ฉันใช้เวลาอยู่นานโขกว่าจะเรียนรู้เทคนิคและใช้มันเป็น


     เวลาไม่ถึงสิบนาทีฉันก็มายืนอยู่สนามบินPokhara สนามบินเล็กๆที่อยู่ตรงกลางระหว่างภูเขาและหุบเหว ฉันเดินเข้าไปในอาคารสนามบินแล้วเดินตรงไปเค้าเตอร์ Yeti Air พนักงานยกมือทำท่าเหมือนกับไหว้แล้วทักทายนามัสเต ฉันรู้สึกผิดหวังเมื่อนางยื่นบอร์ดดิ้งพาสให้แล้วบอกว่าได้เปลี่ยนเที่ยวบินฉันให้เร็วขึ้นเป็นเที่ยวบินที่จะออกอีกสิบนาที แต่ฉันวางแผนไว้ว่ามาถึงสนามบินก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงเพราะอยากจะขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วถ่ายรูป แอบบ่นกับตัวเองขำๆว่า "ถามละยัง ว่าอยากจะเปลี่ยนเที่ยวบินมั้ย" ถึงเวลาขึ้นเครื่องก็แค่เดินออกจากประตูแล้วเดินไปตามทางเล็กๆตรงไปแล้วเลี้ยวออกไปลานบิน เครื่องบินเจ็ทสตรีมสี่สิบเอ็ดรอฉันอยู่ข้างหน้า รูปร่างเหมือนนกตัวผอมๆปีกสั้น ปีนบันไดเครื่องขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง มีผู้โดยสารไม่กี่คนในเที่ยวบินนี้จนทำให้ฉันแอบมโนว่าเป็นเครื่องบินส่วนตัว นานกี่ปีแล้วที่ไม่ได้นั่งเครื่องเจ็ดสตรีมสี่สิบเอ็ดที่จำได้ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นที่ปาปัวนิวกินีหลายปีก่อน เครื่องบินเล็กขนาดสามสิบที่นั่งส่งเสียงดังตอนนำเครื่องขึ้น ระยะวิ่งแท็กซี่ก็สั้นกว่าเครื่องลำใหญ่ กัปตันนำเครื่องขึ้นฉิวรวดเร็วน่าตื่นเต้น แอร์โฮสเตสคนเดียวเดินแจกลูกอม ถั่วทอด และน้ำดื่ม เครื่องเล็กบินไม่สูงทำให้มองเห็นข้างล่างชัดเจน ถนนคดเคี้ยว ภูเขา แม่น้ำ มองดูเหมือนภาพวาดสวยๆ จำได้ว่าหลายปีก่อนเคยบินกับกานต์แอร์จากเชียงใหม่มาเชียงรายก็ได้เห็นภาพสวยๆแบบนี้ ระยะเวลาบินแค่ยี่สิบห้านาทีเครื่องก็ลงจอดที่สนามบินKatmandu คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปเพราะไม่ต้องทนอยู่รถบัสสายวิบากถึงเก้าชั่วโมง มันน่าทึ่งนักที่เงินสามารถทำให้อะไรๆง่ายขึ้นได้มากขนาดนี้


    ไม่ถึงบ่ายสองฉันก็พาตัวเองกลับมาThamelอีกครั้ง ต้องขอบคุณสายฝนเมื่อคืนที่ทำให้Katmanduสดชื่นขื้น พื้นถนนอุ้มความชื้นไว้ทำให้ฝุ่นคลุ้งที่ต้องผจญสัปดาห์ที่แล้วหายตัวไปอย่างน่าอัศจรรย์ มือที่กำลังจะล้วงกระเป๋าหยิบหน้ากากอนามัยออกมาใส่ต้องชะงัก เดินลัดเลาะเข้าออกซอกซอยจนทะลุไปถึงที่พักที่จองไว้ทางโทรศัพท์เมื่อวาน ทางเข้าที่พักเป็นซอยเล็กๆกว้างหนึ่งเมตรคูณสองเมตรแต่ข้างในกลับดูกว้างขวางใช้ได้ ฉันรู้สึกพอใจห้องเล็กๆบนชั้นสี่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในย่านที่พลุกพล่านที่สุดแต่ผนังห้องก็หนาพอที่จะไม่ให้เสียงเล็ดลอดเข้ามามากนัก ภายในห้องสะดวกสบายและราคาก็ไม่สูงเกินไป เก็บข้าวของเสร็จแล้วก็เดินกลับไปโรงแรมที่เคยพักสัปดาห์ที่แล้วเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้พร้อมกับขอโทษพวกเขาที่ต้องยกเลิกการจองห้องในวันที่ยี่สิบเอ็ด ราคาห้องที่นั่นสูงเกินไปสำหรับฉัน โรงแรมสี่ห้าดาวฉันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วทริปนี้เพราะฉันอายุสี่สิบสี่ปีแล้ว!


    แวะทักทายหนุ่มร้านกระเป๋าที่ซื้อกระเป๋าใบเล็กไว้ใส่เงินรูปีในวันแรกที่มาถึง แวะไปร้านโมโม่ร้านแรกที่ได้ลิ้มรส Thamelกับฉันเราเป็นเพื่อนกันแล้ว ซอกซอยเล็กๆเหมือนโพรงมดกลายเป็นสถานที่คุ้นเคย ฉันเริ่มกล้าที่จะสูดหายใจลึกๆได้ครั้งแรก Thamel


 





Nepal September 2017 : Day 12



    September 17th Day 12 Pokhara


    ห้องอาหารโรงแรมช่วงสายๆเงียบเหงา มีฉันนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะมุมห้อง กาแฟใส่นมถ้วยโตอบอุ่นอยู่ระหว่างสองมือของฉัน ไข่คน ขนมปังปิ้ง ผลไม้อีกสองสามอย่างหั่นเป็นชิ้นเล็กใส่จานวางอยู่ตรงหน้าฉัน พนักงานเสิร์ฟยกแก้วน้ำส้มมาวางไว้บนโต๊ะเพิ่ม นักท่องเที่ยวส่วนมากจะออกกันไปแต่เช้าตรู่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น หรือไม่ก็เริ่มต้นการเดินเขาเป็นวันแรก การเดินเขามีตั้งแต่เก้าวันจนถึงสิบสี่วัน พวกเขาเดินไปถึงPoon Hill หรือไม่ก็Annapurna Base Camp ( ABC ) สาวฟินแลนด์ลาจากไปกับรถบัสคันแรกที่ออกจากPokharaตอนเช้าตรู่ หลังจากที่คุยกันเย็นวานและรับรู้ว่านางยอมแพ้ต่อวิถีผู้ชายชาวเนปาลริมทะเลสาปคืนก่อน ระหว่างการเดินทางบางครั้งก็มีเหตุการณ์แย่ๆเกิดขึ้น มันขึ้นอยู่ที่ตัวเราว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นและหากเกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขอย่างไร เธอดูเหมือนจะโชคไม่ดีนักในการเดินทางเพราะก่อนหน้านี้ก็ถูกปล้นในเวียดนาม ฉันก็ได้แต่อวยพรให้เธอโชคดี


    ฉันตัดสินให้วันนี้เป็นวันพักผ่อน วันที่ไม่วางแผนการไปไหนๆ ร่องรอยของการขับมอเตอร์ไซค์ทั้งวันเมื่อวานปรากฎให้เห็นชัดเจน แขนและหลังมือโดนแดดเผาจนเกรียม ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น เสื้อแขนยาว ผ้าโพกหน้าและแว่นตากันแดดได้พ่ายแพ้ให้กับแสงแดดแห่งโพคารา นั่งดูทีวีในห้อง มีฝรั่งลูกเล็กๆเหมือนฝรั่งขี้นกบ้านเรา และทับทิมที่เมล็ดข้างในสีสวยแดงช้ำที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อวานกินเล่น มีผลไม้ไม่กี่อย่างที่เป็นที่นิยมของชาวเนปาล กล้วย ทับทิม ฝรั่ง แอ้ปเปิ้ล พวกเขากินกล้วยหอมที่ยังไม่สุกดี รสเฝื่อนของกล้วยทีฉันซื้อกินวันแรกๆทำให้เข็ดไม่ซื้ออีก จะซื้อมาเก็บไว้รอให้สุกก็ไม่สะดวกเพราะต้องย้ายที่พักเรื่อยๆ


    บ่ายคล้อยเดินออกไปหาอะไรกินข้างนอก จำได้ว่าอ่านเจอในTripAdvisorพูดถึงร้านอาหารเจเล็กๆมุมถนน ฉันเดินหาร้านจนเจอแล้วนั่งลงสั่งอาหาร Daal Bhat ใช้เวลานานโขกว่าอาหารถาดใหญ่จะถูกนำมาเสิร์ฟ ข้าวบาสมาติกองโต แกงผัก ผัดมันฝรั่ง และซุปถั่ว ร้านนี้ติดอันดับรีวิวเพราะอาหารทุกอย่างจะทำสดๆ ไม่มีการทำไว้ล่วงหน้า ถึงจะใช้เวลานานแต่รสชาติก็ถูกใจฉัน เดินลัดเลาะจะกลับที่พักแต่เหลือเห็นร้านสปาแอบซ่อนอยู่ระหว่างซอกเล็กๆ ฉันเดินเข้าไปดูสถานที่และทีกทายเจ้าของร้าน สปาเล็กๆแต่สะอาดสะอ้านทำให้ฉันตัดสินใจเลือกใช้บริการเฟสเชียลหนึ่งชั่วโมงและนวดสไตล์เนปาลอีกหนึ่งชั่วโมง ห้องสปามิดชิดและเย็นฉ่ำ ฉันถอดเสื้อผ้าจัดเก็บเรียบร้อยแล้วนอนคว่ำหน้าลงไปบนช่องเตียงสปา พนักงานสาวทำหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็งและดุดัน ชะโลมน้ำมันนวดลงพื้นผิวนิ้วเล็กๆของเธอทำหน้าที่กดบีบไล่ไปช้าๆตามร่างกายฉัน ความเย็นของห้องและกลิ่นย้ำมันหอมทำให้ฉันเผลอหลับไป เสียงเล็กๆปลุกฉันตื่นให้เปลี่ยนท่าเป็นนอนหงาย น้ำมันหอมถูกชโลมใส่หนังศีรษะและนวดด้วยจังหวะพอเหมาะ ฟองน้ำชุบน้ำเย็นๆถูกนำมาทำความสะอาดใบหน้า ครีมนวดหน้าถูกป้ายลงเป็นจุดๆแล้วนวดกลึง ต่อมาก็เป็นขั้นตอนของการขัดหน้า แล้วมาส์กหน้าทิ้งไว้ เฟสเชียลด้วยผลิตภัณฑ์อายุรเวทมันคงดีจริงเพราะหลังจากนั้นรู้สึกสบายหน้า ไม่ตึง ไม่ร้อนเหมือนก่อนหน้านี้


    ออกจากร้านสปามาก็มืดแล้ว แวะทักทายพนักงานร้านขายเสื้อยืดที่โบกไม้โบกมือให้ เราคุยกันเมื่อวันก่อนและฉันก็ได้ซื้อเสื้อยืดจากเธอหนึ่งตัว เสื้อยืดเนื้อดีที่เธอเอามาตัดรอบคอออกแล้วใช้กรรไกรขริบส่วนต่างๆให้เป็นลวดลาย ห้าร้อยรูปีหรือหนึ่งร้อยห้าสิบบาทสำหรับเสื้อยืดเนื้อดี ความคิดสร้างสรรค์ และเทคนิคการตัด มันไม่ได้แพงเลย ฉันยังอยากสั่งลาเมืองPokharaกับอาหารชุดที่ชื่นชอบก็เลยตัดสินใจเดินไปร้านอาหารเจที่เคยกินเมื่อสองวันก่อน Marwadi Thali ถาดใหญ่ถูกนำมาวางตรงหน้าอีกครั้ง ---- ชื่ออาหารแต่ละอย่างจะเขียนทีหลัง ตอนี้ขี้เกียจหา--- ฉันคงคิดถึงอาหารที่นี่มากถ้ากลับไปบ้าน
ลมพัดเย็นสบายระหว่างเดินกลับที่พัก เสียงทักทายดังมาเป็นระยะๆจากผู้คน สามวันที่ฉันใช้ชีวิตอยู่แถวนี้มันนานพอที่จะทำให้คนจดจำได้ เด็กหญิงตัวเล็กจากร้านI ขายของชำโบกมือทักทายเมื่อฉันเดินผ่าน หนุ่มเนปาลพนักงานร้านขายของที่ระลึกเอ่ยสวัสดีเป็นภาษาไทยใส่ฉันเพราะเขาเคยถามว่ามาจากไหน ฉันเดินผ่านกลุ่มคนสูงอายุนั่งโขกหมากรุกแล้วทักทายเขา นามัสเต พวกเขาหันมามองแล้วทำคอดุกดิ นามัสเตกลับ


     ชีวิตเล็กๆกับการเดินทางเล็กๆ และ ความสุขอันยิ่งใหญ่ในโลกใบโต






Nepal September 2017 : Day 11


   September 16th Day 11 : Pokhara



    ด้วยความเคยชินทำให้ฉันตื่นนอนตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้า เปิดประตูออกไปนั่งบนเก้าอี้เล็กๆนอกระเบียงรับแสงแดดอุ่น เทือกเขาAnnapurnaโชว์ยอดขาวโพลนอยู่ลิบๆข้างหน้าฉัน เช้านี้เมฆหมอกไม่เยอะทำให้เห็นหลายๆยอดของเทือกเขา Annapurnaมียอดที่สูงกว่าแปดพันเมตรอยู่หนึ่งยอด เรียกว่าAnnapurna one สูงถึงแปดพันเก้าสิบเอ็ดเมตรและเป็นภูเขาที่สูงที่สุดอันดับสิบของโลก แล้วก็ยังมีสูงกว่าเจ็ดพันเมตรอยู่สิบสามยอด และสูงกว่าหกพันเมตรอีกสิบหกยอด Annapurraเป็นภาษาสันสกฤตเหมือนกับชื่อของฉัน แปลออกมาได้ประมาณว่าเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว ถ้วยโกโก้อุ่นๆในมือกับเทือกเขาข้างหน้าทำให้เช้านี้เป็นเช้าที่อบอุ่นมีความสุข


    แวะเยี่ยมเยือนสาวฟินแลนด์ข้างห้องที่เปลี่ยนใจกระทันหันไม่ออกไปกับฉันวันนี้เพราะนางรู้สึกไม่สบาย ส่งยาแก้ปวด/แก้ไข้ที่มีติดตัวมาพร้อมแอปเปิ้ลสองลูกให้นาง แล้วลงมากินอาหารเช้าก่อนจะเดินออกไปถนนใหญ่หาร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ลุงหน้าโหดเจ้าของแผงเช่ารถริมถนนให้ฉันซ้อนรถมอเตอร์ไซค์คันโตของเขาเข้าไปเอารถเช่าในซอยลึกลับ ฉันเลือกคันที่สภาพดีสุดเท่าที่เขามีอยู่ มอเตอร์ไซค์สีฟ้าพาฉันลัดเลาะไปเรื่อยๆร่วมครึ่งชั่วโมงก็ถึงพิพิธภัณฑ์ภูเขา จอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ใกล้ป้อมยามแล้วเดินเข้าไปซื้อตั๋วราคาสี่ร้อยรูปี เดินเรื่อยๆไปตามทางเดินเล็กๆจนถึงอาคารพิพิธภัณฑ์ ฉันหันหน้ากลับมาทางทางเดินเพราะได้ข้อมูลมาว่าวิวเทือกเขาAnnapurnaจากจุดนี้สวยมาก และมันก็สวยจริงๆ สวยกว่าทุกครั้งทุกที่ที่เคยเห็นมา ข้างในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงได้น่าสนใจมาก มีเรื่องราวของภูเขาทุกลูก มีเรื่องราวของนักปีนเขาที่พิชิตยอดเขาแต่ละลูก เสื้อผ้า อุปกรณ์ปีนเขา ชนเผ่าที่อยู่ในแต่ละที่ รวมไปถึงสัตว์ต่างๆ รูปภาพเก่าๆ มีวีดีทัศน์ให้ดู ฉันชอบที่นี่มากทั้งๆที่ปรกติคิดว่าพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่ๆน่าเบื่อ แต่ที่นี่กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ตื่นเต้นท้าทาย


    หลังจากที่ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าๆที่พิพิธภัณฑ์ก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ตามจีพีเอสไปเรื่อยๆ จุดหมายก็คือ World Peace Pagoda พอมาถึงจุดหนึ่งก็ไม่สามารถไปต่อได้เพราะมีดินสไลด์ปิดทางไว้ ถึงกับต้องจอดตั้งหลักใหม่เพราะไม่แน่ใจว่าควรกลับเข้าเมืองไปหรือหาทางใหม่ แต่ด้วยความที่อยากจะเห็นเพราะวันก่อนนั่งอยู่ริมทะเลสาบแล้วมองขึ้นไปฝั่งตรงข้ามเห็นบนภูเขามียอดเจดีย์สีขาวสวย ดูจีพีเอสจนแน่ใจว่ายังมีทางเล็กๆอีกทางที่สามารถไปถึงที่นั่นจึงเริ่มใช้เส้นทางนั้น ถนนกรวดก่อนโตๆมีร่องลึกทำให้การขับมอเตอร์ไซค์เป็นไปด้วยความยากลำบาก หลายครั้งที่ล้อรถติดลึกลงไปในร่องจนขึ้นไม่ได้ต้องหาก้อนกรวดมารองล้อแล้วค่อยๆเร่งคันเร่ง เร่งคันเร่งแรงไปรถก็พุ่งเฉไปทางเหวลึกข้างทาง ฉันใช้เวลากว่าชั้วโมงค่อยๆประคับประคองรถไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ยอมแพ้ จอดรถไว้ข้างทางแล้วตัดสินใจออกเดินไปเรื่อจนถึงทางทางขึ้นเจดีย์ มีรถมอเตอรไซค์คันใหญ่หลายคันจอดที่นี่ทำให้เข้าใจว่ามันคงไม่ใช่ถนนสำหรับรถคันเล็ก ล้อเล็ก และคนขับตัวเล็กๆอย่างฉัน รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ซีซีสูง ล้อใหญ่ และคนขับคงต้องตัวใหญ่ด้วย แวะกินจาปาตีกับแกงผักตรงทางขึ้นเจดีย์ให้มีแรงก่อนแล้วออกเดินขึ้นเขา ทางเดินชันและคดเคี้ยวมากๆบวกกับแดดที่ร้อนสุดๆ ฉันดึงผ้าพันคอผืนยักษ์ออกจากกระเป๋ามาโพกหัว ให้ชายผ้าปกคลุมครึ่งหน้าและคอ แว่นกันแดดอันโตช่วยได้มาก เดินๆหยุดๆทุกๆสองสามนาทีจนแอบคิดจะยอมแพ้แต่ก็ยังกัดฟันเดินต่อไปจนถึงเขตเจดีย์. World Peace Pagoda เป็นชื่อที่เหมาะสมกับสถานที่ที่สุดเพราะข้างบนสงบเงียบมาก เสียงที่ได้ยินมีแค่เสียงลมที่พัดผ่านและเสียงนกร้อง เจดีย์สีขาวใหญ่สร้างขึ้นในสมัยรัชการที่สองโดยพระชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างสัญลักษณ์ความสงบหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองฮิโรชิม่าและเมืองนางาซากิ เดินเล่นชมวิวมองลงมาเห็นทะเลสาบPhewaสวยใสอยู่นานนับสิบนาทีก็ต้องเดินกลับลงมาเพราะบริเวณเจดีย์ห้ามใส่รองเท้าและพื้นโดนแดดเผาทำให้เวลาเดินรู้สึกร้อนมาก


    จากเจดีย์World Peace Pagoda ไปถึง ทะเลสาบBegnasใช้เวลากว่าชั่วโมง ถนนเมืองโพคาราค่อนข้างขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ถึงแม้จะมีบางช่วงที่ราดยางเรียบร้อยแต่ผิวถนนก็ไม่เรียบเสมอกัน ฉันต้องใช้ความพยายามและใช้สายตาเป็นอันมากเพื่อที่จะไม่ตกลงไปในหลุมเพราะจะทำให้รถเสียหลัก แต่ก็ยังมีบางครั้งที่เผลอมองข้างทางจนล้อรถตกไปในหลุม รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าและจีพีเอสบนมือถือยังคงทำงานอย่างแข็งขันจนในที่สุดฉันก็ถึงทะเลสาบ ชายแก่หน้าตาดุดันถือไม้เท้ารี่เข้ามาหาเมื่อฉันจอดรถ เขายื่นแผ่นกระดาษจากสมุดฉีกเล่มเล็กให้ฉันแล้วบอกว่าเป็นตั๋วค่าจอดรถ ฉันได้ยินเขาว่าห้าก็เลยยื่นให้ห้ารูปีเหมือนที่ได้จ่ายตอนที่จอดใกล้กับเจดีย์สิบรูปี ชายแก่ปฏิเสธธนบัตรใบละห้ารูปีเสียงดังพร้อมกับบอกว่าสามสิบรูปี ระหว่างที่ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะทำอะไรก็ได้ยินเสียงเล็กๆมาจากร้านขายของชำไกลออกไป หญิงสาวในร้านส่งสัญญาณมือว่า "ไม่" มาทางฉัน ฉันตัดสินใจเสียบแผ่นกระดาษคืนและดึงธนบัตรออกจากมือชายแก่แล้วควบมอเตอร์ไซค์ขับออกไป เสียงกร่นด่าแว่วมาตามหลังจนอดเสียวสันหลังไม่ได้ว่าจะมีไม้เท้าบินมาใส่หลังฉัน ไม่ไกลนักก็จอดรถไว้หน้าร้านขายของร้านหนึ่งที่มีผู้ชายตัวโตหลายคนนั่งดื่มกินกันอยู่ สั่งน้ำดื่มเย็นๆหนึ่งขวดมาดับความร้อน เจ้าของร้านน่ารักและเข้าใจภาษาอังกฤษฉันจึงเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่ชอบใจนักที่ได้ยินเพราะริมทะเลสาบเป็นที่สาธารณะไม่มีการเก็บค่าอะไรทั้งสิ้น พูดสุดเสียงชายแก่ก็ตามฉันมาถึงและส่งเสียงโวยวายอยู่หน้าร้าน เจ้าของร้านและลูกค้าชายตัวโตหลายคนก็ส่งเสียงขับไล่ให้เขาไปคงพูดถึงการเก็บค่าจอดรถของเขาด้วยเพราะเห็นชี้ไปที่สมุดฉีกในมือ สามสิบรูปีแปลเป็นเงินไทยได้เก้าบาท เก้าบาทมันไม่ใช่เงินจำนวนมากแต่ที่ฉันไม่ยอมจ่ายเพระมันไม่ถูกต้อง มันไม่ได้มีทั้งเหตุและผลที่ต้องจ่าย ถ้าชายแก่คนนั้นเดินเข้ามาขอเฉยๆฉันก็คงจะให้ไป คิดไปถึงการเอาเก้าบาทแลกกับความปลอดภัยของตัวเอง แลกกับสภาพจิตอารมณ์ บางทีสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมันก็รวดเร็วเกินไปจนตัดสินใจไม่ถูก

    นั่งพักสักครู่จนคลายความร้อนไปบ้างก็ฝากรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ร้านขายของชำแล้วก็ออกเดินไปทะเลสาบBegnas น้ำใสแจ๋วและต้นไม้ร่มรืนทำให้จิตใจสงบขึ้น เดินเที่ยวเล่นถ่ายรูปจนเหนื่อยแล้วก็เดินกลับออกมาตรงเขื่อนเล็กๆหลังทะเลสาบ เด็กหญิงวัยไม่เกินแปดขวบสามคนกำลังกระโดดน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาหันมาเจอฉันก็พากันชี้มาที่กล้องถ่ายรูปที่สะพายอยู่ ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปพวกเขาในท่าทางต่างๆจนพวกเขาพอใจ คนตัวเล็กสุดพยักเพยิดชี้ชวนให้ฉันลงมาเล่นน้ำด้วย ฉันวางกระเป๋าและกล้องไว้บนพื้นหญ้าถอดรองเท้าตามด้วยกางเกงและเสื้อแขนยาวที่ใส่มา มีชุดว่ายน้ำชิ้นเดียวที่ใส่ไว้ข้างในเพราะวางแผนว่าจะมาว่ายน้ำที่ทะเลสาบอยู่แล้ว เด็กๆกรีดร้องสนุกสนานเมื่อฉันกระโดดลงไปในน้ำ พวกเขาถีบตัวจากฝั่งมาเกาะแขนเกาะไหล่ฉัน ดำผุดดำว่ายเล่นกัน น้ำเย็นๆใต้เขื่อนไม่ลึกนักแต่ไหลเชี่ยว เด็กๆส่งเสียงดังและกวักมือเรียกทุกครั้งที่ฉันว่ายออกไปไกล สุดท้ายพวกเราก็เล่นกันอยู่ใกล้ๆฝั่งจนปากซีดมือเหี่ยว ฉันขึ้นมาจากน้ำ เช็ดตัวด้วยผ้าพันคอผืนเดิมแล้วนุ่งเสื้อกางเกง ล้วงกระเป๋าหยิบบิสกิตออกมาแกะแล้วส่งให้เด็กๆแบ่งกัน พวกเขายังอยู่ในน้ำเมื่อฉันโบกมือลา


    ขากลับแวะไปห้างสรรพสินค้าที่ว่าใหญ่ที่สุดในเมือง ห้างสรรพสินค้าห้าชั้นมีสินค้านานานชนิดแต่ไม่สวยงามทันสมัยเหมือนของเมืองไทย ฉันสนใจเรื่องผักไม้ของกินก็เลยมาเดินดู ผักมีไม่กี่ชนิดแต่ก็ดูน่าสนใจ พริกหน้าตาแปลกๆ องุ่นและฝรั่งที่ติดป้ายว่ามาจากเมืองไทยราคาสูงลิบ เดินไปดูชีสของที่ฉันโปรดปรานมีให้เลือกหลายอย่าง หยิบใส่ตะกร้ามาหลายชนิดรวมทั้งชีสจามรีที่อยากจะลองชิมมานานแล้ว น้ำผลไม้อีกหนึ่งกล่อง ที่ไม่ลืมคือยาแต้มสิวยี่ห้อHimalayaที่ใช้ดีจนวางแผนจะหิ้วกลับบ้านสักสามโหล


     รถมอเตอร์ไซค์ถูกนำไปคืนหกโมงเย็นตรงเวลาไม่ขาดไม่เกิน ค่าเช่ารถเก้าร้อยรูปีรวมค่าน้ำมันอีกสามร้อยรูปีถ่อว่าคุ้มค่า เดินฮัมเพลงจังหวะแขกมาถึงที่พักก็มืดพอดี แวะยืมมีดจากร้านอาหารชั้นล่างมาตัดชีส กำลังนั่งลงจะจัดการชีสหน้าตาดีกับบีสกิตให้สำราญใจเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สาวฟินแลนด์ยืนอยู่หน้าประตูชวนฉันออกไปกินข้าวเย็น ฉันเชื้อเชิญนางให้เข้ามาพร้อมทั้งจัดน้ำผลไม้และชีสให้นาง บอกว่าเย็นนี้ฉันมีปาร์ตี้ชีสแทนอาหารเย็น นางว่ารอฉันครึ่งวันเพื่อจะปรับทุกข์เรื่องที่นางมีปัญหากับหนุ่มเนปาลเวลาออกไปเดินข้างนอก ฉันปลอบโยนและอธิบายให้นางเข้าใจว่าผู้ชายแถบนี้ชอบการจับเนื้อต้องตัว เวลาเขาคุยกับเราเขาจะจับแขนจับไหล่ และการที่นางเป็นฝรั่งผิวขาว ผมบลอนด์ นุ่งชุดแขนกุดมันก็ย่อมเป็นจุดสนใจ การแต่งตัวมิดชิดคลุมแข้งคลุมแขนมันปลอดภัยกว่าแน่นอน นางรับคำแล้วคุยต่อไปสักครู่ก็ขอตัวออกไปกินข้าว


    ฉันนั่งจิบน้ำผลไม้ ตามด้วยชีสและบีสกิตช้าๆ แอบคิดถึงไวน์ขาวดีๆสักแก้ว องุ่นหวานๆอีกสักพวง แต่ได้แค่นี้ก็ดีมากมายแล้ว ชีวิตฉันในโพคารา เนปาล











Nepal September 2017 : Day 10

 

   September 15th Day 10 : Pokhara


    หลังจากที่ผ่านวันอันโหดร้ายเมื่อวานนี้ไปแล้ว กับการนั่งในรถบัสจากKatmanduมาถึงPokharaเก้าชั่วโมงอันโหดร้ายในรถบัสโทรมๆ ขึ้นเขาลงเขาหักศอกซ้ายขวาครั้งแล้วครั้งเล่าจนรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นจุดเล็กๆอยู่ในกระบอกชงคอกเทลที่กำลังถูกเขย่า เริ่มตั้งแต่ชั่วโมงที่สองในรสบัสทุกอณูความรู้สึกของร่างกายไปรวมกันอยู่ที่คอหอย มันพร้อมที่จะพรั่งพรูออกมาแต่กลับกลายเป็นแค่ความรู้สึก ฉันหลับตาลงพร้อมกับบอกตัวเองว่ามันไม่จริง มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นแค่ความรู้สึกที่ฉันสร้างขึ้นมา มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาอันโหดร้ายในชีวิตของสุวรรณีน้อย


    เช้านี้ตีสี่ครึ่งฉันเดินออกห้องพักเล็กๆริมทะเลสาบPhewa เดินช้าๆออกไปหารถแท็กซี่ที่นัดแนะกันไว้เมื่อค่ำวานว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่Sarangkot อากาศตอนเช้าสดชื่นและฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาเนปาลที่ได้สูดหายใจเข้าไปเต็มปอด ทุกที่ที่ผ่านมามีแต่ฝุ่นควันและมลพิษ ฝุ่นที่นี่ไม่ได้เป็นฝุ่นบางแต่เป็นโครตฝุ่นที่แทบจะเกาะตัวเป็นเม็ดๆ ทักทายคนขับรถแล้วแวะไปรับสาวชาวฟินแลนด์ที่เจอเมื่อเย็นวานเพื่อแชร์ค่ารถ ที่พักนางอยู่ค่อนข้างไกลลึกลับจนฉันอดเป็นห่วงไม่ได้และคืนก่อนนางก็ส่งข้อความมาปรึกษาถึงเรื่องความปลอดภัย ฉันแนะนำให้ย้ายมาพักใกล้ๆกันวันนี้เพราะแหล่งที่พักฉันค่อนข้างปลอดภัย นั่งรถขึ้นเขาคดเคี้ยวเกือบครึ่งชั่วโมงเราก็ถึงฐานจุดชมวิว เดินขึ้นเขาไปช้าๆอาศัยแสงสว่างจากดวงดาว ทางค่อนข้างชันและขรุขระทำให้ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ฉัน ผู้ป่วยโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ สาวชาวฟินแลนด์ ผู้ป่วยจากอุบัติเหตุขาหักที่ยังอยู่ในการรักษาขั้นตอนสุดท้าย เราดูเหมือนจะเป็นคู่เดินที่สูสี ทุกๆสิบก้าวเราหยุดพัก ฉันพักเพื่องับลมและพักหัวใจที่เต้นถึงหนึ่งร้อยห้าสิบครั้งต่อนาที นางพักขาเพื่อลดความเจ็บปวด ระยะทางไม่ได้ไกลโหดร้ายอะไรนักแต่เราก็ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงและเป็นสองคนแรกๆที่ขึ้นถึงจุดสูงสุด


   ฉันนั่งลงกับพื้นสูดหายใจเข้าลึกๆ มองผ่านหุบเหวลึกข้างหน้าไปถึงขอบฟ้า และภูเขาสลับซับซ้อนเรียงตัวกันที่เริ่มปรากฏเห็นชัดเรื่อยๆเมื่อพระอาทิตย์เริ่มทอแสง แสงแรกเป็นแสงอ่อนละมุนแล้วความเข้มของแสงก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ่งที่ฉันรอคอยก็เกิดขึ้น เทือกเขาAnnapurnaปรากฎตัวออกมาช้าๆจากด้านซ้ายมือของพระอาทิตย์ ยอดหลายๆยอดเผยออกมาพร้อมกับแสงอาทิตย์ แล้วก็ถึงวินาทีสำคัญเมื่อยอด Machapuchare หรือ Fishtail Mountain ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ ปรากฎออกมาให้เห็นเหมือนกับกำลังนั่งดูมหรสพจอใหญ่ที่แสดงโดยธรรมชาติ ฉันกดชัตเตอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า แทบจะใช้ทุกโหมดที่มีในกล้องถ่ายรูป ใช้เวลาเกือบชั่วโมงซึมซาบทุกรายละเอียด ทุกความสวยงามของธรรมชาติข้างหน้า ฉันหัวเราะ ฉันร้องไห้ ฉันปลาบปลื้ม มันเป็นความฝันที่จะมาเห็นAnnapurna แล้ววันนี้ฉันก็ทำได้ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาถึงสามปีและไม่ได้เดินไปเห็นใกล้ๆเหมือนที่เคยคิดไว้แต่มันก็สวยงามและวันนี้มันเป็น "ความจริง"


    สายๆหลังอาหารเช้ารีบเก็บกระเป๋าย้ายที่พักไปอยู่ที่ดีกว่า ห้องพักแปดดอลลาร์เมื่อคืนร้อนอบอ้าวจนนอนแทบไม่สนิท หน้าต่างห้องน้ำปิดไม่สนิททำให้มียุงเข้ามาก่อกวนอยู่หลายตัว และที่น่าตกใจคือประตูที่ปิดจากข้างนอกทำให้ฉันติดอยู่ข้างในออกมาไม่ได้จนต้องเรียกคนข้างห้องมาเปิดให้ถึงสองครั้งสองครา ที่พักใหม่อยู่ชั้นห้าของโรงแรมใหม่เอี่ยม มีทีวี แอร์ กาต้มน้ำร้อน เตียงใหญ่พร้อมหมอนฟูนุ่มน่านอน ฉันจองรวดสองคืนพร้อมต่อราคาได้คืนละสิบแปดดอลลาร์และใช้บริการจองตั๋วเครื่องบินกับเขา มันเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนว่าจะต้องนั่งเครื่องบินภายในประเทศ จากPokharaไปKatmandu แต่ฉันก็ไม่มีวันที่จะนั่งรถบัสสายวิบากนั้นกลับไปอีกแน่นอน ธนบัตรใบละหนึ่งร้อยดอลลาร์หนึ่งใบ สิบดอลล่าร์หนึ่งใบ และหนึ่งดอลลาร์อีกสองใบถูกยื่นให้พนักงานโรงแรมเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ใจหนึ่งแอบเสียดายเงินแต่ใจหนึ่งบอกกับตัวเองว่าเพื่อสุขภาพทางใจและทางกายทำถูกต้องแล้ว อดทนเป็นสิ่งที่ควรทำแต่ไม่ต้องถึงกับทนอด ขึ้นเครื่องบินจากPokharaยังจะได้เห็นภูเขาสวยๆอีกด้วย การเดินทางต้องวางแผนให้รอบคอบ มีแผนสำรอง มีแผนสำรองของแผนสำรอง ได้ที่พักดีๆถูกใจก็เลยถือโอกาสอาบน้ำและสระผม ผมที่ยาวเร็วจัดของฉันคงดีใจที่ได้ลิ้มรสชาติแชมพูเพราะครั้งสุดท้ายที่สระกว่าสัปดาห์เข้าไปแล้ว เสื้อผ้าชุดชั้นในไม่กี่ตัวที่มีอยู่ผ่านการสวมใส่แล้วทุกชิ้น รองเท้าเริ่มส่งกลิ่นมาทางชีสแก่ๆ ทั้งหมดมาถูกนำมาซักด้วยแชมพูซองเล็กสี่ห้าซองที่ซื้อมาจากร้านข้างทาง ซักแล้วเอาไปตากไว้นอกระเบียง รู้สึกว่าตัวเองสะอาด ที่นอนสะอาด นอนดูการ์ตูนเน็ตเวิร์คพร้อมกับปรับแอร์ลงไปถึงสิบเจ็ดองศา ขดตัวเป็นสุขอยู่ในผ้าห่มงีบหลับไปกว่าสองชั่วโมง


     ริมทะเลสาบPhewaช่วงเย็นสงบเงียบ น้ำในทะเลสาบใสแจ๋ว ต้นไม้เขียวๆบนภูเขารอบล้อมทะเลสาบไว้ เงาของเรือไม้สีสันสดใสหลายสิบลำที่สะท้อนอยู่ในน้ำทำให้งดงามเหมือนภาพเขียน หนุ่มสาวชาวท้องถิ่นเดินเล่นบ้าง พายเรือเล่นบ้างเป็นคู่ๆ นักท่องเที่ยวหลายคนนั่งดื่มกินกันอยู่ริมน้ำอย่างมีความสุข ฉันเดินเลาะเลียบทะเลสาบไปเรื่อยๆพร้อมกับพยายามถ่ายรูปโดยใช้เทคนิคต่างๆกัน เสียงพระธิเบตร้องเพลงเผยแพร่ศาสนาอยู่ใกล้ท่าเรือดังก้องไปทั่วบริเวณ เครื่องดนตรีที่พระอีกสององค์เล่นคลอกับเสียงร้องมันทำให้รู้สึกขลังยิ่งขึ้น พระธิเบตนุ่งเสื้อและกางเกงสีเหลืองอ่อน โกนหัวเกลี้ยงยกเว้นหนึ่งกระจุกเล็กๆตรงท้ายทอย ฉันมองแล้วเผลอยกมือคลำผมส่วนท้ายทอยที่เคยโกนเกลี้ยงแต่ตอนนี้เริ่มยาวของตัวเอง ตาของพระหนุ่มมีประกายวิบวับขำทรงผมของฉัน

   Thaliบรรจุมาในถาดทองเหลืองถูกนำมาวางตรงหน้าฉันในร้านอาหารเล็กๆของชาวธิเบต ข้าวกองโต แกงผัก ผัดผัก ซุปถั่ว ถั่วทอด โยเกิร์ต และแผ่นแป้ง ฉันค่อยๆเคี้ยวและกลืนลงไปช้าๆ อาหารร้านนี้อร่อยและไม่แพง Thaliแต่ละร้านรสชาติต่างกัน ใส่มาในภาชนะที่ต่างกัน และราคาก็ต่างกัน ยิ่งเดินทางหลายวัน จำนวนเงินในกระเป๋าก็ร่อยหรอลงไปไปเรื่อยๆ ฉันนับวันที่เหลืออยู่เปรียบเทียบกับจำนวนเงินที่มี แล้วก็เลิกนับเพราะรู้สึกเหมือนเป็นการบีบบังคับตัวเอง มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าได้ทำแต่ไม่ได้สัมผัส
เมืองที่ฉันใช้เวลาหลายปีคิดฝันถึง หลายปีที่เมืองนี้ว่ายวนอยู่ในจินตนาการ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่แล้ว อยู่ในความฝันที่เป็นจริง ฉันอยู่ที่Pokhara









Nepal September 2017 : Day 9



  
September 14th Day 9 : Patan - Pokhara

   เก้าชั่วโมงกับรถบัสสายนรก โหดที่สุดในชีวิตของการขึ้นรถ
ไหนๆก็มาถึงจุดนี้ละ นอนให้แขกเล่นหน้าซะ
พรุ่งนี้ค่อยเขียนบันทึก 😅









Nepal September 2017 : Day 8


   September 13th : Day 8 Nagarkot - Bhaktapur - Patan


    เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนตีสี่ครึ่ง ฉันงัวเงียดึงผ้าห่มผืนใหญ่หนาออกจากตัวด้วยความเคยชิน ความเย็นวิ่งกรูเข้าสัมผัสทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าบนภูเขาสูงลิบ ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วคว้ากางเกงตัวที่หนาที่สุดมาใส่พร้อมทั้งเสื้อฮีทเทคตัวบางที่หอบหิ้วติดกระเป๋ามาด้วย สวมทับด้วยเสื้อแขนยาวติดฮู้ดอีกหนึ่งตัว เสื้อผ้าพวกนี้ฉันใช้มานานนับสิบปีคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปจริงๆ เช็คแบตเตอรี่กล้องถ่ายรูปให้เรียบร้อยก่อนจะเดินลงไปถนนใหญ่ที่นัดแนะกับคนขับรถไว้ หมอกหนาๆตกลงมาเหมือนกับสายฝน ทางเดินค่อนข้างลืนทำให้ฉันต้องพยายามทรงตัวและเดินลงมาช้าๆ เงี่ยหูฟังเครื่องยนต์รถแทนการใช้สายตาเพราะเห็นแต่หมอกขาวๆรอบตัว คนขับรถดีใจที่เจอฉัน ฉันเองก็ดีใจที่เจอเขาเพราะอ่านในหลายๆบล็อกบอกกันว่าพวกเขาไม่เคยมาตามนัด ทักทายกันเสร็จก็หยอกเย้าเขาไปว่าเธอดีใจที่เจอฉันเพราะกลัวฉันเบี้ยวเธอเหมือนกันใช่มั้ย เขาหัวเราะเสียงดังลั่นภูเขาแล้วตอบฉันว่านักท่องเที่ยวที่นัดเขาไว้ก็ไม่ค่อยมาตามนัด


    รถเก๋งฮุนไดคันเล็กๆค่อยๆไต่เลียบภูเขาขึ้นไปเรื่อยๆ หมอกหนาจัดทำให้ต้องใช้ความระวังมากขึ้นจนค่อนชั่วโมงรถก็พาเรามาถึงจุดหมายทางรถ คนขับชี้หนทางเส้นเล็กๆที่ฉันต้องเดินขึ้นไป View Tower แล้วเขาก็กลับไปนั่งรอในรถ ทางแคบชันและหมอกหนาทำให้การเดินของฉันเป็นไปด้วยความลำบาก อาศัยแสงสว่างจากไฟฉายโทรศัพท์มือถือและก้อนหินสีขาวก้อนโตๆริมทาง ฉันหยุดเดินแล้วเอื้อมมือไปดึงฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะเพื่อเพิ่มความอบอุ่น แอบขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยขี้เหนียวเรื่องซื้อรองเท้า Flyknitคู่เก่งทำหน้าที่ของมันได้ดีที่สุดในเรื่องของการเกาะพื้นและความยืดหยุ่น หยุดพักเป็นระยะๆเพื่อที่จะไม่ให้หัวใจทำงานหนักเกินไป ปัญหาโรคภัยที่เป็นอยู่มันทำให้ฉันต้องระวังเรื่องนี้และมันก็เกือบจะทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงแค่แผนการ หลังจากที่ทดสอบสมรรถภาพตัวเองก่อนที่จะออกเดินทางมาที่นี่ บวกกับประกันสารพัดราคาสูงลิ่วที่ซื้อไว้สำหรับทริปนี้ทำให้ฉันค่อนข้างจะมั่นใจว่าฉันจะทำได้ และฉันจะทำในสิ่งที่รักที่สุดให้ได้ หืดขึ้นคอไปหลายสิบรอบฉันก็มาถึงจนได้ นักท่องเที่ยวสี่ห้าคนและฉันยืนอยู่บนจุดสูงสุดของView Tower เราหันหน้าไปหาภูเขาเอเวอเรสต์ จ้องมองอยู่จุดนั้นนานนับสิบนาทีจนทั้งหมดค่อยๆทยอยกันเดินลงไป ฉันยังคงอยู่ตรงนั้น จ้องอยู่ที่จุดของเอเวอเรสต์ จุดที่ไม่มีแม้แต่เงาของภูเขาอันยิ่งใหญ่ จุดที่หลังคาโลกแอบซ่อนตัวอยู่ จุดที่มีแต่เมฆหมอกปกคลุม
กลับมาถึงที่พักด้วยความผิดหวังเล็กๆ เก็บข้าวของลงเป้แล้วออกไปเช็คเอาท์จากที่พักราคาสูงพร้อมกับจ่ายค่าอาหารเย็นเมื่อวานที่ราคาเหมือนโดนปล้น ความเร็วของการเดินลงจากที่พักถึงท่ารถคงจะเป็นสถิติใหม่ มองหารถไปเมือง Bhaktapurก่อนจะต่อรถอีกคันไปเมืองPatan ได้อาหารเช้าจากร้านเล็กๆใกล้กับท่ารถ กาแฟอุ่นๆทำให้ความขุ่นใจลดลงไปได้บ้าง


    รถโดยสารคันเก่าพาฉันลงมาจากภูเขาช้าๆ แวะรับส่งนักเรียนระหว่างทางไปเรื่อยๆทำให้กว่าจะถึงBhaktapurใช้เวลาไปเดือบสองชั่วโมง ลงจากรถพร้อมกับแผนศูนย์ที่มีอยู่ในหัว ไม่รู้ว่าต้องไปขึ้นรถที่ไหนต่อ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ดูเหมือนโลกมันก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรนักหลังจากที่เดินแบบไร้จุดหมายมาได้สองสามนาทีก็เจอเด็กหนุ่มแต่งชุดนักศึกษายืนอยู่ริมถนน คนที่แต่งชุดนักศึกษา คนได้เรียนหนังสือก็ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ได้เด็กหนุ่มคนนี้ชี้ทางไปท่ารถที่จะไปเมืองPatanได้ แบกเป้เหงื่อโทรมเดินไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก็สามารถพาตัวเองมานั่งบนรถโดยสารผุๆได้ ชั่วโมงกว่านิดๆกับยี่สิบห้ารูปีฉันก็มาถึงเมืองPatan เมืองประวัติศาสตร์ อีกเมืองที่ล่มสลายเพราะเหตุแผ่นดินไหว ได้ห้องพักบนชั้นห้าของโรงแรมที่หันหน้าเข้าหา Patan Dubbra Square มันเป็นความโชคดีอย่างยิ่งเพราะคืนนี้ไม่ได้จองโรงแรมไว้ เดินจากท่ารถมาเรื่อยๆจนเหนื่อยก็เลยเปิดดูในอโกด้าแล้วเจอโรงแรมที่ถูกใจก็เลยเดินตามจีพีเอสเข้าไปถามราคาดู ราคาพอรับได้แต่ที่แน่ๆเหนื่อย อยากจะโยนเป้บนหลังทิ้ง อยากจะนอน และก็ได้นอนสมใจในห้องสวย ที่นอนนุ่ม วิวดีที่สุด แต่เป็นคนละโรงแรมกับที่จีพีเอสบอกทางไว้ งีบหลับไปจนบ่ายคล้อยแล้วออกไปเดินดูวัดวา ค่าเข้าชมทุกเมืองในเนปาลแพงลิบแต่ฉันก็เต็มใจจ่ายเพราะรู้ไปว่าให้เขาเอาไปซ่อมแซมบ้านเมืองที่ล่มสลาย Patanสวยงามคลาสสิคเหมือนกับที่ฉันคิดไว้ เป็นแหล่งรวมศิลปะแกะสลักหินแหล่งใหญ่ ผู้คนเป็นมิตร และที่นี่ฉันก็ได้ลิ้มรสอาหารเนปาลีที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นมื้อที่แพงที่สุดในเจ็ดวันที่ผ่านมา แต่มันก็เป็น เดอะเบสท์








Nepal September 2017 : Day 7



     September 12 : Day 7 Bhaktapur- Nagarkot

    เกือบเก้าโมงเช้าออกเดินเท้าจากห้องพักเล็กๆ เดินเท้าไปเรื่อยๆพร้อมกับเป้บนหลังที่เหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆทุกย่างก้าว เดินลัดเลาะผ่านหมู่บ้านวัดวาจนออกมาถึงถนนใหญ่ รีบล้วงหน้ากากอนามัยมาปิดจมูกปากเพราะฝุ่นควัน ถึงแม้อากาศที่นี่จะดีกว่าในเมืองกาฐมัณฑุก็ตาม แต่ฉันก็ยังสัมผัสถึงปริมาณมลพิษทางอากาศได้ สิวนับสิบเม็ดที่ผุดขึ้นบนหน้าเป็นสัญญาณเตือนได้เป็นอย่างดี ก้าวเท้าถี่ๆหลบหลีกการสัญจรบนถนน รถมอเตอร์ไซค์ รถจักรยาน รถยนต์ รถบันทุก รถเมล์โดยสาร รวมถึงผู้คนและสัตว์เลี้ยงใช้ถนนร่วมกัน ระยะห่างระหว่างตัวฉันกับรถราที่วิ่งผ่านนับได้ไม่กี่เซนติเมตร


    เดินไปเรื่อยๆเกือบครึ่งชั่วโมงตามเส้นทางที่ศึกษามาจากแผนที่ล่วงหน้าแล้วจนถึงสถานีขนส่ง ถามเด็กหนุ่มที่ยืนข้างรถจนแน่ใจว่าสถานีขนส่งแห่งนี้มีรถไปเมือง Nagarkot ไม่ลืมที่จะถามราคาให้แน่ใจว่าไม่เกินจากที่นึกไว้ หนุ่มน้อยกระเป๋ารถชี้มือให้ขึ้นไปนั่งหลังคนขับริมหน้าต่าง รถเมล์โดยสารเก่าๆเปิดหน้าต่างทุกบานเริ่มแออัดขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่ฉันนั่งลง กว่าจะถึงเวลารถออกก็มีทั้งผู้โดยสารที่ได้ที่นั่งและที่ต้องห้อยโหนจนไม่มีช่องว่างให้ขยับตัว ข้าวของสารพัดกองรวมกันอยู่ระหว่างเบาะคนขับรถและหน้าที่นั่งฉัน ตัดสินใจเลื่อนเป้ของตัวเองขึ้นไว้บนสุดของกองสัมภาระและเหยียบไว้เพื่อจะได้มีที่วางขา รถแล่นเขย่าไปเรื่อยๆตามถนนลูกรัง สะบัดซ้ายเอียงขวาไปตามจังหวะหักพวงมาลัยของคนขับ ไต่เลียบเลาะไปตามถนนริมเขาช้าๆ ฉันชะโงกออกไปดูนอกหน้าต่างมองเห็นหุบเหวลึกอยู่ไกลไม่เกินหนึ่งเมตรจากล้อรถ คนขับเบรคตัวโก่งทุกครั้งที่มีรถสวนมา พวกเขาจะขับให้ชิดแนวของแต่ละฝ่ายมากที่สุด ฝั่งซ้ายชิดกับแถบเขาดินสไลด์ ฝั่งขวาชิดกับหุบเหว เสียววาบในช่องท้องทุกครั้งที่ชะโงกออกไปดูล้อรถ ผู้คนที่นี่กลิ่นเหมือนนมที่เพิ่งคั้นออกมาจากเต้าของวัว หรือเหมือนกลิ่นของเด็กทารกที่กินนมแม่ มันไม่ถึงกับเหม็นแต่มันเป็นกลิ่นเฉพาะ กลิ่นคน จังหวะอันเร่าร้อนของเสียงเพลงที่เปิดในรถ รถแล่นขึ้นสูงไปเรื่อยๆจนสังเกตได้ว่าพืชพันธุ์เปลี่ยนไป จากไม้ยืนต้นกลายเป็นต้นสนนานาพันธุ์ อุณหภูมิเริ่มลดลง พร้อมกับผู้โดยสารที่ทะยอยลงเรื่อยๆระหว่างทาง กว่าชั่วโมงก็ถึงจุดสุดท้ายของรถโดยสาร จุดสิ้นสุดของเส้นทางนี้ เมือง Nagarkot บ้านของเทือกเขาหิมาลัย


    จากจุดที่รถโดยสารจอดถึงที่พักที่จองไว้นับระยะโดยจีพีเอสได้หนึ่งพันแปดร้อยเมตร ฉันตัดสินใจออกเดิน บอกตัวเองว่าไม่ถึงสองกิโลเมตรคงไม่หนักหนาอะไร เดินไปเรื่อยปรากฏว่าทางเริ่มสูงชัน ก้าวแต่ละก้าวเริ่มเล็กลงเล็กลงจนต้องหยุดพักเป็นระยะๆ ไอเย็นกระทบหน้าทำให้รู้สึกดีขึ้น รวบรวมพลังก้าวต่อไปเรื่อยๆและหยุดเช็คจังหวะการเต้นของหัวใจ หนึ่งร้อยสี่สิบห้าครั้งต่อนาทีคือจุดพีค อ้าปากรับออกซิเจนเป็นหมาหอบแดดอยู่หน้าป้ายที่พัก "Hotel At the end of the universe" แหงนขึ้นดูปรากฏว่าต้องปีนบันไดไปอีกครึ่งเขา ถึงว่าตอนจองเห็นในรูปเหมือนว่าจะแตะหิมาลัยได้ วิวจากที่พักมันพอจะทำให้ลืมความเหนื่อยล้าได้ เทือกเขาหิมาลัยทอดตัวให้เห็นอยู่ไกลๆพร้อมกับยอดเขาเอเวอเรสต์เท่าขี้ตาแมว
นั่งดื่มด่ำกับหิมาลัยนานนับสองชั่วโมงพร้อมกับกาแฟนมกาใหญ่ อากาศตอนกลางวันสบายไม่ถึงกับหนาว มีนักท่องเที่ยวไม่กี่คนที่พักที่นี่ สาวชาวแคนาดาขนจักกะแร้ยาวเฟื้อยนั่งเล่นกีตาร์อยู่ข้างๆฉัน เราคุยกันเรื่องนู้นนี้จนบ่ายคล้อยก่อนที่ฉันจะตัดสินใจเดินลงไปสำรวจตลาดข้างล่าง เดินลงง่ายดายนักเพราะไม่ถึงสิบห้านาทีฉันก็มาถึงตลาดเล็กๆริมท่ารถ มีร้านค้าอยู่แค่สองสามร้านและขายของอยู่ไม่กี่อย่าง เดินเข้าไปในโรงแรมใหญ่ที่มีร้านอาหารอยู่ด้านใน นั่งกิน Biriyani จานใหญ่จนหมดเกลี้ยง ข้าวที่ผัดกับเครื่องเทศจนหอมฉุนทำให้เลือดลมดีขึ้น เดินตัวอุ่นออกมาจากร้านอาหารแล้วแวะทักทายกับคนขับรถรับจ้าง สอบถามเรื่องไปวิวทาวเวอร์พรุ่งนี้เช้าเพราะฉันคงเดินสามชั่วโมงจากที่นี่ไปแล้วถึงที่โน่นไม่ไหว คนขับตอบตกลงหลังจากที่ต่อรองราคาอยู่ที่แปดร้อยรูปี หนุ่มน้อยตาคมน้ำใจงามคนขับรถรับจ้างอีกคนเสนอให้ฉันติดรถกลับขึ้นไปข้างบนด้วยเพราะเขาก็จะไปรับลูกค้าแถวนั้น นั่งรถขึ้นเขาสบายตัวแล้วกลับมานอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้บนลานกว้างหน้าล้อบบี้ที่พัก อากาศเย็นๆสัมผัสกับเท้าเปล่าเปลือย


    พระอาทิตย์ลาลับขอบเขาไปช้าๆพร้อมกับยอดเขาเอเวอเรสต์ที่ค่อยๆเลือนหายไปจากสายตา อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆแต่ฉันยังคงนอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ยาว อยู่ในอ้อมกอดอันยิ่งใหญ่ของเทือกเขาหิมาลัย อยู่ที่ The end of the universe.










Nepal September 2017 : Day 6


     September 11 : Day 6 Bhaktapur


     สียงกุกกักริมหน้าต่างห้องชั้นสามปลุกให้ฉันตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นไปเลื่อนผ้าม่านออก นกพิราบคู่ต้นตอของเสียงบินจากขอบระเบียงด้วยความตกใจ แดดอุ่นๆสาดเข้ามาในห้องพาดผ่านแขนสีเข้มที่มีรอยขาวจากส่วนที่สายนาฬิกาทับไว้ ฉันนั่งลงบนขอบเตียงหมุนดัดตัวไปมาสี่ห้าครั้ง แล้วลุกขึ้นยืนทำโยคะแบบง่ายๆก่อนจะไปเข้าห้องน้ำ แต่งตัวเสร็จกก็คว้ากล้องถ่ายรูปลงไปชั้นล่าง เดินช้าๆมุ่งหน้าไปยัง Taumadhi Square เช้าตรู่แบบนี้ยังไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก จะมีก็แต่คนสูงวัยที่นำดอกไม้มาบูชาตามวัดเล็กๆริมทาง ภาพคุ้นตาแบบนี้ทำให้ฉันนึกถึงบาหลีเพราะเป็นศาสนาเดียวกันกับที่นี่ ผู้คนก็แต่งกายคล้ายกันและมีดอกไม้ทัดหูเหมือนๆกัน วัดของพวกเขารวมไปถึงสิ่งก่อสร้างเล็กๆที่อยู่ตามมุมถนน มีเชิงเทียนทำจากเหล็กเป็นแถวยาว จุดธูป วางดอกไม้ ไหว้เสร็จก็ใช้นิ้วแตะผงสีแดงที่เรียกกันว่าซินดูร์หรือบินดิเจิมตรงหน้าผากของตัวเอง ฉันนั่งศึกษาเรื่องนี้อยู่พักใหญ่จึงได้ความว่าแต่ละแห่งการเจิมซินดูร์จะไม่เหมือนกัน บ้างก็เจิมเฉพาะหญิงที่แต่งงานแล้ว บ้างก็เจิมได้ทุกเพศทุกวัย บ้างก็เจิมได้เฉพาะนักบวช แต่ที่นี่ถือเป็นหลักว่าการบูชาจะไม่สมบูรณ์หากผู้ที่ทำการบูชาไม่ได้เจิมซินดูร์ ถึงฉันจะไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกับพวกเขาแต่ฉันก็ยกมือไหว้เมื่อเดินผ่านวัดเหล่านั้นเสมอ บางครั้งจะมีนักบวชเดินมาหาและเจิมหน้าผากให้ เงินในจำนวนที่ฉันพอจะแบ่งทำบุญกับเขาได้จะถูกหย่อนลงในภาชนะที่นักบวชถือมา

    Taumadhi Square ยามเช้ามีตลาดเล็กๆกระจายอยู่รอบบริเวณ กระสอบเก่าๆถูกนำมาปูข้างถนนหรือไม่ก็ตามขอบแนวกำแพงที่ทรุดลงจากเหตุแผ่นดินไหว แตงกวา ฝักกระเจี๊ยบ มะระขี้นก หัวผักกาด ผักกาด และผักอีกไม่กี่ชนิดถูกนำมาวาง กล้วยขายเป็นกองกองละสี่ห้าลูก พริกเม็ดกลมๆสีเขียวแดงดูน่ารัก พ่อค้าแม่ขายแต่ละคนไม่ได้มีสินค้ามาขายมากมาย แต่ละคนก็ขายกันคนละอย่าง คนหนึ่งขายกระเจี๊ยบห้ากอง อีกคนขายแตงกวาสามกอง มันเป็นธุรกิจที่ฉันคิดว่ายุติธรรมมาก แอบนึกไปถึงหลายปีก่อนที่ตลาดปาปัวนิวกินี มีพ่อค้าแม่ค้าหลายเจ้าขายบริการไฟแช็ก ไฟแช็กธรรมดาๆหนึ่งอันมัดเชือกผูกติดกับหลักไม้ ใครอยากจุดอยากเผาอะไรก็มาจ่ายเงินแล้วจุดใช้ มันน่าทึ่งตรงที่ว่าเขาไม่ได้ขายอะไรพ่วงไปด้วย ร้านของเขาคือพื้นหญ้า หลักไม้ และไฟแช็ก


    สายๆฉันกลับเข้ามาที่พัก โต๊ะอาหารโต๊ะใหญ่มีแต่ฉันกับหนึ่งสาวจากอังกฤษและอีกหนึ่งสาวจากเปรู อาหารเช้าฝีมือเด็กหนุ่มพนักงานสารพัดตำแหน่งอร่อยใช้ได้ เขาปิ้งขนมปังด้วยกระทะร้อนๆ เสริฟพร้อมกับมะเขือเทศย่าง แฮชบราวน์เนยและแยม กาแฟใส่นมหอมจนฉันอดใจไม่ไหว นั่งคุยกับสาวๆได้ความว่าเป็นกลุ่มอาสาสมัครจากกาฐมัณฑุมาเที่ยวที่นี่สองสามวัน เราคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการกันอยู่ค่อนชั่วโมงก่อนจะแยกย้ายกันไป เสร็จจากอาหารเช้าฉันใช้เวลาเวลาไปกับออกเดินสำรวจเมืองฝั่งเหนือจนถึงบ่ายแดดจัดก็แวะกินโยเกิร์ตใส่ถ้วยดินเผาที่โปรดปรานเสร็จก็กลับเข้ามาพักผ่อน สีโมงเย็นแดดอ่อนลงฉันออกเดินอีกรอบทางฝั่งใต้ เดินลึกเข้าไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆเห็นการก่อสร้างยังมีอยู่ทุกจุดของเมือง ถุงบรรจุทรายหนักอึ้งถูกแบกไว้บนหลังพร้อมกับสายที่รัดไว้กับหน้าผาก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกเขาขนมันขึ้นไป ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม ชั้นที่สี่ ชั้นที่ห้า ผู้หญิงนั่งอยู่กันเป็นกลุ่มๆบรรจงขัดก้อนอิฐดินเผาที่พังทลายลงมาก้อนแล้วก้อนเล่าเพราะเหตุแผ่นดินไหวสองปีก่อน เขาจะขัดทำความสะอาดก้อนอิฐพวกนี้และจะทำให้มันเป็น "บ้าน" อีกครั้งด้วยแววตามุ่งมั่น ฉันเดินผ่านซากปรักหักพังเหล่านั้นไปเรื่อยๆ มองออกไปเห็นทุกสิ่งก่อสร้างบนหลืบเขาแห่งนี้ที่พังทลายด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว อยากจะปลอบโยนพวกเขา บอกพวกเขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้นพร้อมกับกาลเวลา แต่คำเดียวที่ฉันสื่อสารกับพวกเขาได้ก็คือ นามัสเต และใจที่รื้อไปด้วยน้ำตา


    ฉันบอกลาพระอาทิตย์กับอาหารเย็นบนดาดฟ้าของชาวธิเบต ร้านอาหารเล็กๆแอบอยู่ในซอกลึกลับที่ด้วยฉันเหลือบเห็นด้วยความบังเอิญและมันก็เป็นความบังเอิญที่ดีมาก ถึงแม่ว่าจะต้องพาตัวเองขึ้นมาสูงลิบกับบันไดที่แสนชันจนต้องหยุดหอบหลายครั้งคราแต่วิวที่เห็นมันก็ทำให้หายเหนื่อย ลมเย็นๆกระทบหน้า ภาพของหุบเขาสลับซับซ้อนที่ปรากฏอยู่รอบตัวสามร้อยหกสิบองศา เด็กชายชาวธิเบตนำอาหารมาเสริฟพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร มีน้องสาวตัวเล็กๆของเขาแอบมองมาจากด้านหลัง Momo Daal และTarkari ของพวกเขาไม่ได้อยู่ในภาชนะสวยงามเหมือนที่ฉันกินที่ร้านใหญ่โตวันก่อน โต๊ะกินข้าวที่นี่ก็เป็นโต๊ะพลาสติกธรรมดา น้ำก็ยกมาให้ทั้งขวดไม่มีแก้วใส่ให้ แต่อาหารของพวกเขาอร่อยมากมาย แกงถั่วข้นคลั่กมันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดสำหรับฉันเพราะเป็นแหล่งโปรตีนแทนจากเนื้อ ผัดมันฝรั่งกับผักอีกสองสามอย่างใส่เครื่องเทศหอมพอได้กลิ่น ข้าวเมล็ดป้อมๆนุ่มละมุนในปาก


    เมืองเล็กๆท่ามกลางหุบเขา เมืองที่เกือบจะล่มสลายด้วยภัยธรรมชาติ เมืองที่มีอะไรๆน่าสนใจเยอะแยะ เมืองที่มีรสชาติเหมือนลูกหว้าสุกจัด และจะเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ฉันจะไม่ลืม Bhaktapur








Nepal September 2017 : Day 1 - Day 5



    Nepal September 2017
    September 6 : Day 1 Chiangrai - Bangkok
    September 7 : Day 2 Bangkok - Katmandu
    September 8 : Day 3 Katmandu
    September 9 : Day 4 Katmandu

    September 10 : Day 5 Katmandu - Bhaktapur

      ฉันตื่นนอนแต่เช้าตรู่ เป็นการตื่นนอนเช้าแรกในโรงแรมราคาประหยัดหลังจากที่นอนโรงแรมหรูในเมืองมาสองคืนเพื่อให้รางวัลตัวเองเนื่องในวันคล้ายวันเกิด ห้องเล็กๆพร้อมห้องน้ำในตัวมันให้ความสะดวกสบายพอสมควรสำหรับหนึ่งคืน หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เก็บของใส่เป้แบกลงมาข้างล่าง เป้ใบเล็กมีเสื้อผ้าแค่ไม่กี่ผืนแต่ที่ทำให่มีน้ำหนักก็คือกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่พร้อมเลนส์เสริมอีกสองอันที่หอบหิ้วมาด้วย เมื่อวานก่อนเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมในเมืองฉันตัดสินใจแยกเสื้อผ้าส่วนหนึ่งออกใส่กระเป๋าสำรองแล้วฝากทางโรงแรมไว้จนถึงวันสุดท้ายก่อนกลับบ้านค่อยมารับคืน เด็กหนุ่มพนักงานโรงแรมนอนยาวหลับอยู่บนโซฟา ห้องอาหารยังคงเงียบกริบ ฉันส่งเสียงเรียกเบาๆจนเขาขยับตัวตื่นและเวลาอีกไม่ถึงยี่สิบนาทีกาแฟร้อนๆกลิ่นหอมๆก็มาวางอยู่ตรงหน้าฉัน กี่สัปดาห์แล้วที่ไม่ได้ลิ้มรสกาแฟด้วยสาเหตุของสุขภาพ ฉันตัดสินใจจิบกาแฟครึ่งถ้วยนั้นช้าๆพร้อมกับซึมซาบรสชาติเข้าไปให้ถึงส่วนที่ลึกที่สุดของประสาทสัมผัส ปาดเนยลงขนมปังแผ่นหนาสองแผ่นวางทับออมเล็ตที่มีรสเผ็ดนิดๆ นั่งกินช้าๆไม่รีบเร่งแล้วตบท้ายด้วยมะละกอสุกรสหวานแหลม
เช็คเอ้าท์พร้อมล่ำลาพนักงานโรงแรมเสร็จก็เดินลัดเลาะออกมาตามซอกซอยเล็กๆหาทางออกมาถนนใหญ่ ผังเมืองย่านทาเมลของกาฐมัณฑุดูคล้ายๆกับผังเมืองเมืองพาราณาสี มีรูเล็กรูน้อยทะลุไปมาคล้ายกับโพรงมด ฉันเช็คดูทิศทางจากจีพีเอสบนโทรศัพท์มือถือจนแน่ใจว่าต้องออกทิศไหนแล้วก็ก้าวเท้าไปเรื่อยๆ มุดซอกนั้นออกซอกนี้อยู่นับสิบนาทีก็ทะลุออกมาถึงถนนใหญ่ คนขับแท็กซี่ตรงรี่เข้ามาถามว่าฉันจะไปไหน ฉันบอกจุดหมายว่า เมืองBhaktapur ภัคตปูร์ เขาบอกว่าอยู่ที่ราคาหนึ่งพันรูปี ระยะทางสิบหกกิโลเมตรกับเงินสามร้อยบาทมันไม่แพงเลย แต่ฉันเดินทางคนเดียวทุกการใช้จ่ายคือจ่ายเต็มๆ บวกกับระยะเวลาอีกหลายวันที่ต้องกินอยู่ที่นี่ทำให้ต้องประหยัด อากาศตอนเก้าโมงเช้าของกาฐมัณฑุเริ่มดุดัน แดดจ้าพร้อมกับควันรถทำให้บรรยากาศดูเลวร้าย ฉันควักหน้ากากอนามัยพร้อมกับแว่นกันแดดอันโตมาใส่ เสื้อแขนยาวคลุมถึงหลังมือพร้อมกางเกงฮาเร็มทำให้รู้สึกปลอดภัย แอบเข้าข้างตัวเองว่าอย่างน้อยมลพิษเหล่านั้นคงสัมผัสตัวน้อยลง

     เกือบยี่สิบนาทีกับการเดินฝ่าฟันมลพิษและผู้คนฉันก็พาตัวเองมาถึง Bhaktapur Bus Park เป็นสถานีขนส่งหนึ่งในหลายๆสถานีในเมืองนี้ รถเมล์เก่าบ้างใหม่บ้างหลายสิบคันจอดเรียงรายอยู่ ฉันเอ่ยถามผู้คนแถวนั้นว่าต้องขึ้นรถคันไหน พยายามกระดกลิ้นรัวออกเสียงให้ฟังดูแขกๆซึ่งก็ได้ผลทุกครั้ง หากยังไม่เข้าใจจริงๆก็มีที่จดเอาไว้เป็นภาษาเขา การเดินทางมันสอนฉันไว้หลายๆอย่าง รถเมล์เนปาลสนุก มีฉันคนเดียวที่เป็นต่างชาติ คนขับเปิดเพลงแขกให้ฟังโยกไปมาคึกคัก มีตาคมๆหลายๆคู่แอบมองดูฉัน คงตกใจที่ฉันถอดหน้ากากอนามัยและแว่นตาออกมาโชว์ฟันจอบพร้อมกับสิวเม็ดเท่าบ้านที่เกิดจากฝุ่นในอากาศที่นี่ ได้เพื่อนใหม่เป็นสาวเนปาลีนั่งข้างๆ นางไอจนน่ากลัวว่าปอดจะหลุดออกจากร่างฉันก็เลยแบ่งฟิชเชอร์แมนเฟรนด์ให้ไปสองเม็ด นางถามแอดเฟสบุ๊คแนวเดียวกันกับที่ฉันโดนถามมาแล้วหลายสิบครั้งจากหนุ่มที่เจอบนถนนในเวลาสามวันที่ผ่านมา นั่งคุยกันได้สักพักนางก็ลงรถไป รถจากกาฐมัณฑุไปบักตปุรใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงสนนราคายี่สิบห้ารูปี เด็กท้ายรถบอกให้ฉันลงเมื่อฉันที่หมายแล้วรถก็แล่นไปเมืองอื่นต่อ ฉันลงรถมาแบบงงๆเพราะจู่ๆกูเกิ้ลแมพที่เปิดไว้ก็ไม่มีสัญญาณ ข้ามถนนเดินตรงไปเรื่อยๆจนเจอกับกลุ่มรถแท็กซี่ พวกเขาถามว่าฉันจะไปไหน ฉันตัดสินใจไปตั้งหลักที่ Bhaktapur Durbar Sqare เพราะเป็นชื่อเดียวที่จำได้จากการอ่านประวัติเมืองเมื่อคืน และจำได้ว่าโรงแรมที่จองไว้อยู่ใกล้ๆกัน คนขับรถแท็กซี่ยิ้ม(อ่อน)พร้อมกับชี้ไปแล้วบอกว่าเดินไปห้าเมตร หลังกำแพงนั้นคือ Bhaktapur Durbar Square 😝

    อาศัยกูเกิลแมพโหมดออฟไลน์ฉันเดินลัดเลาะไปจนเจอโรงแรมที่จองไว้ เจ้าของโรงแรมต้อนรับฉันด้วยชาเนปาลหอมกรุ่น แต่แอบคิดในใจว่าวันนี้จัดทั้งชาทั้งกาแฟจะเป็นไรมั้ยนิ คุยกันถูกคอได้อัพเกรดเป็นห้องชั้นสามพร้อมระเบียง ห้องตกแต่งสวยงามพร้อมเตียงใหญ่ในแบบที่ฉันชอบ ตัดสินใจจองต่ออีกหนึ่งคืนเพราะเริ่มชอบที่นี่ เก็บเป้ให้เข้าที่ คว้ากล้องออกเดินเข้าไปในเมือง เมือง Bhaktapur เป็นเมืองที่น่าสงสารมาก เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ยี่สิบห้า เมษายน ปีสองพันสิบห้า ทำให้เมืองเกือบทั้งเมืองเสียหาย สองปีกว่าผ่านไปแล้วแต่ร่องรอยความเสียหายยังมีให้เห็นอยู่ทั่ว ชาวบ้านยังคงซ่อมแซมบ้านตัวเองอยู่ บางบ้านก็ต้องสร้างใหม่ทั้งหลัง เสียงการก่อสร้างยังดังอยู่ทั่วเมือง ฉันเดินไปเรื่อยๆจนสังเกตว่ามีเสียงมอเตอร์ไซค์ขับตามฉันมาได้สักพักก็เลยหันกลับมาดู หนุ่มเนปาลท่าทางเรียบร้อยเจ้าของมอเตอร์ไซค์คันโตยิ้มกว้างให้ฉัน Where are you going? เขาถามด้วยประโยคภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ ฉันตอบเขาไปว่าเดินดูเมืองไปเรื่อยๆ เขาเชื้อเชิญให้ฉันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์และแน่นอนฉันไม่ได้ปฏิเสธ หมู่บ้านนี้ไปทะลุหมู่บ้านโน้น โรงเรียน วัดฮินดู จุดที่แผ่นดินไหวแรงที่สุด หมู่บ้านปั้นหม้อ สารพัดที่ที่เขาพาฉันไปดู ไม่แน่ใจว่าด้วยความบังเอิญหรือบุญถึงจึงทำให้ได้เข้าไปถึงวัดพุทธแห่งหนึ่งในหลืบเขาหนทางสลับซับซ้อน แล้วก็ได้รับอานิสงส์อาหารกลางวันจากที่นี่ด้วย มือฉันกำลังถือจานอาหารที่แม่ออกและแม่ชีตักให้ ตาก็เหลือบขึ้นมองบนผนัง สาธุ ใจมันตื้นตันไปหมด น้ำตาออกมาคลอเบ้า พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่เก้า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินพระราชทานทอดถวายณ.วัดแห่งนี้ วัดมุนีวิหาร เมื่อวันที่สิบเอ็ด ตุลาคม พุทธศักราชสองพันห้าร้อยห้าสิบสอง กินอาหารจนหมดจานยกมือไหว้พระบรมฉายาลักษณ์แล้วเดินไปในวิหาร ปัจจัยส่วนหนึ่งที่มีอยู่ถูกหย่อนลงไปในตู้บริจาค สาธุ สาธุ สาธุ บุญแท้ๆที่ได้มาถึง

   หนุ่มเนปาลยังคงตั้งหน้าตั้งตาพาฉันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ขึ้นลงเขาไปเรื่อยๆจนฉันต้องขอร้องเขาให้ไปส่งที่วัดแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พัก เขาเฝ้าถามถึงที่พักแต่ฉันก็เลี่ยงที่จะไม่ตอบ ฉันอ้างว่ายังไม่กลับที่พักตอนนี้แต่จะถ่ายรูปอยู่แถวๆนี้ไปเรื่อยๆ และต้องการจะอยู่คนเดียว เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรและไม่ได้อะไรนอกจากน้ำดื่มหนึ่งขวดที่ฉันซื้อให้เขา บางทีเรื่องของน้ำใจมันก็ยิ่งใหญ่นัก แต่บางทีในมุมมองของนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่อยากช่วยมันมีเส้นบางๆที่อยู่ระหว่างคือ ระวังตัว กับ น้ำใจ
Bhaktapur เมืองเล็กๆ เศร้าๆ กลางหุบเขาของประเทศเนปาล