Tuesday, September 26, 2017

Nepal September 2017 : Day 1 - Day 5



    Nepal September 2017
    September 6 : Day 1 Chiangrai - Bangkok
    September 7 : Day 2 Bangkok - Katmandu
    September 8 : Day 3 Katmandu
    September 9 : Day 4 Katmandu

    September 10 : Day 5 Katmandu - Bhaktapur

      ฉันตื่นนอนแต่เช้าตรู่ เป็นการตื่นนอนเช้าแรกในโรงแรมราคาประหยัดหลังจากที่นอนโรงแรมหรูในเมืองมาสองคืนเพื่อให้รางวัลตัวเองเนื่องในวันคล้ายวันเกิด ห้องเล็กๆพร้อมห้องน้ำในตัวมันให้ความสะดวกสบายพอสมควรสำหรับหนึ่งคืน หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เก็บของใส่เป้แบกลงมาข้างล่าง เป้ใบเล็กมีเสื้อผ้าแค่ไม่กี่ผืนแต่ที่ทำให่มีน้ำหนักก็คือกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่พร้อมเลนส์เสริมอีกสองอันที่หอบหิ้วมาด้วย เมื่อวานก่อนเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมในเมืองฉันตัดสินใจแยกเสื้อผ้าส่วนหนึ่งออกใส่กระเป๋าสำรองแล้วฝากทางโรงแรมไว้จนถึงวันสุดท้ายก่อนกลับบ้านค่อยมารับคืน เด็กหนุ่มพนักงานโรงแรมนอนยาวหลับอยู่บนโซฟา ห้องอาหารยังคงเงียบกริบ ฉันส่งเสียงเรียกเบาๆจนเขาขยับตัวตื่นและเวลาอีกไม่ถึงยี่สิบนาทีกาแฟร้อนๆกลิ่นหอมๆก็มาวางอยู่ตรงหน้าฉัน กี่สัปดาห์แล้วที่ไม่ได้ลิ้มรสกาแฟด้วยสาเหตุของสุขภาพ ฉันตัดสินใจจิบกาแฟครึ่งถ้วยนั้นช้าๆพร้อมกับซึมซาบรสชาติเข้าไปให้ถึงส่วนที่ลึกที่สุดของประสาทสัมผัส ปาดเนยลงขนมปังแผ่นหนาสองแผ่นวางทับออมเล็ตที่มีรสเผ็ดนิดๆ นั่งกินช้าๆไม่รีบเร่งแล้วตบท้ายด้วยมะละกอสุกรสหวานแหลม
เช็คเอ้าท์พร้อมล่ำลาพนักงานโรงแรมเสร็จก็เดินลัดเลาะออกมาตามซอกซอยเล็กๆหาทางออกมาถนนใหญ่ ผังเมืองย่านทาเมลของกาฐมัณฑุดูคล้ายๆกับผังเมืองเมืองพาราณาสี มีรูเล็กรูน้อยทะลุไปมาคล้ายกับโพรงมด ฉันเช็คดูทิศทางจากจีพีเอสบนโทรศัพท์มือถือจนแน่ใจว่าต้องออกทิศไหนแล้วก็ก้าวเท้าไปเรื่อยๆ มุดซอกนั้นออกซอกนี้อยู่นับสิบนาทีก็ทะลุออกมาถึงถนนใหญ่ คนขับแท็กซี่ตรงรี่เข้ามาถามว่าฉันจะไปไหน ฉันบอกจุดหมายว่า เมืองBhaktapur ภัคตปูร์ เขาบอกว่าอยู่ที่ราคาหนึ่งพันรูปี ระยะทางสิบหกกิโลเมตรกับเงินสามร้อยบาทมันไม่แพงเลย แต่ฉันเดินทางคนเดียวทุกการใช้จ่ายคือจ่ายเต็มๆ บวกกับระยะเวลาอีกหลายวันที่ต้องกินอยู่ที่นี่ทำให้ต้องประหยัด อากาศตอนเก้าโมงเช้าของกาฐมัณฑุเริ่มดุดัน แดดจ้าพร้อมกับควันรถทำให้บรรยากาศดูเลวร้าย ฉันควักหน้ากากอนามัยพร้อมกับแว่นกันแดดอันโตมาใส่ เสื้อแขนยาวคลุมถึงหลังมือพร้อมกางเกงฮาเร็มทำให้รู้สึกปลอดภัย แอบเข้าข้างตัวเองว่าอย่างน้อยมลพิษเหล่านั้นคงสัมผัสตัวน้อยลง

     เกือบยี่สิบนาทีกับการเดินฝ่าฟันมลพิษและผู้คนฉันก็พาตัวเองมาถึง Bhaktapur Bus Park เป็นสถานีขนส่งหนึ่งในหลายๆสถานีในเมืองนี้ รถเมล์เก่าบ้างใหม่บ้างหลายสิบคันจอดเรียงรายอยู่ ฉันเอ่ยถามผู้คนแถวนั้นว่าต้องขึ้นรถคันไหน พยายามกระดกลิ้นรัวออกเสียงให้ฟังดูแขกๆซึ่งก็ได้ผลทุกครั้ง หากยังไม่เข้าใจจริงๆก็มีที่จดเอาไว้เป็นภาษาเขา การเดินทางมันสอนฉันไว้หลายๆอย่าง รถเมล์เนปาลสนุก มีฉันคนเดียวที่เป็นต่างชาติ คนขับเปิดเพลงแขกให้ฟังโยกไปมาคึกคัก มีตาคมๆหลายๆคู่แอบมองดูฉัน คงตกใจที่ฉันถอดหน้ากากอนามัยและแว่นตาออกมาโชว์ฟันจอบพร้อมกับสิวเม็ดเท่าบ้านที่เกิดจากฝุ่นในอากาศที่นี่ ได้เพื่อนใหม่เป็นสาวเนปาลีนั่งข้างๆ นางไอจนน่ากลัวว่าปอดจะหลุดออกจากร่างฉันก็เลยแบ่งฟิชเชอร์แมนเฟรนด์ให้ไปสองเม็ด นางถามแอดเฟสบุ๊คแนวเดียวกันกับที่ฉันโดนถามมาแล้วหลายสิบครั้งจากหนุ่มที่เจอบนถนนในเวลาสามวันที่ผ่านมา นั่งคุยกันได้สักพักนางก็ลงรถไป รถจากกาฐมัณฑุไปบักตปุรใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงสนนราคายี่สิบห้ารูปี เด็กท้ายรถบอกให้ฉันลงเมื่อฉันที่หมายแล้วรถก็แล่นไปเมืองอื่นต่อ ฉันลงรถมาแบบงงๆเพราะจู่ๆกูเกิ้ลแมพที่เปิดไว้ก็ไม่มีสัญญาณ ข้ามถนนเดินตรงไปเรื่อยๆจนเจอกับกลุ่มรถแท็กซี่ พวกเขาถามว่าฉันจะไปไหน ฉันตัดสินใจไปตั้งหลักที่ Bhaktapur Durbar Sqare เพราะเป็นชื่อเดียวที่จำได้จากการอ่านประวัติเมืองเมื่อคืน และจำได้ว่าโรงแรมที่จองไว้อยู่ใกล้ๆกัน คนขับรถแท็กซี่ยิ้ม(อ่อน)พร้อมกับชี้ไปแล้วบอกว่าเดินไปห้าเมตร หลังกำแพงนั้นคือ Bhaktapur Durbar Square 😝

    อาศัยกูเกิลแมพโหมดออฟไลน์ฉันเดินลัดเลาะไปจนเจอโรงแรมที่จองไว้ เจ้าของโรงแรมต้อนรับฉันด้วยชาเนปาลหอมกรุ่น แต่แอบคิดในใจว่าวันนี้จัดทั้งชาทั้งกาแฟจะเป็นไรมั้ยนิ คุยกันถูกคอได้อัพเกรดเป็นห้องชั้นสามพร้อมระเบียง ห้องตกแต่งสวยงามพร้อมเตียงใหญ่ในแบบที่ฉันชอบ ตัดสินใจจองต่ออีกหนึ่งคืนเพราะเริ่มชอบที่นี่ เก็บเป้ให้เข้าที่ คว้ากล้องออกเดินเข้าไปในเมือง เมือง Bhaktapur เป็นเมืองที่น่าสงสารมาก เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ยี่สิบห้า เมษายน ปีสองพันสิบห้า ทำให้เมืองเกือบทั้งเมืองเสียหาย สองปีกว่าผ่านไปแล้วแต่ร่องรอยความเสียหายยังมีให้เห็นอยู่ทั่ว ชาวบ้านยังคงซ่อมแซมบ้านตัวเองอยู่ บางบ้านก็ต้องสร้างใหม่ทั้งหลัง เสียงการก่อสร้างยังดังอยู่ทั่วเมือง ฉันเดินไปเรื่อยๆจนสังเกตว่ามีเสียงมอเตอร์ไซค์ขับตามฉันมาได้สักพักก็เลยหันกลับมาดู หนุ่มเนปาลท่าทางเรียบร้อยเจ้าของมอเตอร์ไซค์คันโตยิ้มกว้างให้ฉัน Where are you going? เขาถามด้วยประโยคภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ ฉันตอบเขาไปว่าเดินดูเมืองไปเรื่อยๆ เขาเชื้อเชิญให้ฉันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์และแน่นอนฉันไม่ได้ปฏิเสธ หมู่บ้านนี้ไปทะลุหมู่บ้านโน้น โรงเรียน วัดฮินดู จุดที่แผ่นดินไหวแรงที่สุด หมู่บ้านปั้นหม้อ สารพัดที่ที่เขาพาฉันไปดู ไม่แน่ใจว่าด้วยความบังเอิญหรือบุญถึงจึงทำให้ได้เข้าไปถึงวัดพุทธแห่งหนึ่งในหลืบเขาหนทางสลับซับซ้อน แล้วก็ได้รับอานิสงส์อาหารกลางวันจากที่นี่ด้วย มือฉันกำลังถือจานอาหารที่แม่ออกและแม่ชีตักให้ ตาก็เหลือบขึ้นมองบนผนัง สาธุ ใจมันตื้นตันไปหมด น้ำตาออกมาคลอเบ้า พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่เก้า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินพระราชทานทอดถวายณ.วัดแห่งนี้ วัดมุนีวิหาร เมื่อวันที่สิบเอ็ด ตุลาคม พุทธศักราชสองพันห้าร้อยห้าสิบสอง กินอาหารจนหมดจานยกมือไหว้พระบรมฉายาลักษณ์แล้วเดินไปในวิหาร ปัจจัยส่วนหนึ่งที่มีอยู่ถูกหย่อนลงไปในตู้บริจาค สาธุ สาธุ สาธุ บุญแท้ๆที่ได้มาถึง

   หนุ่มเนปาลยังคงตั้งหน้าตั้งตาพาฉันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ขึ้นลงเขาไปเรื่อยๆจนฉันต้องขอร้องเขาให้ไปส่งที่วัดแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พัก เขาเฝ้าถามถึงที่พักแต่ฉันก็เลี่ยงที่จะไม่ตอบ ฉันอ้างว่ายังไม่กลับที่พักตอนนี้แต่จะถ่ายรูปอยู่แถวๆนี้ไปเรื่อยๆ และต้องการจะอยู่คนเดียว เขาไม่ได้เรียกร้องอะไรและไม่ได้อะไรนอกจากน้ำดื่มหนึ่งขวดที่ฉันซื้อให้เขา บางทีเรื่องของน้ำใจมันก็ยิ่งใหญ่นัก แต่บางทีในมุมมองของนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่อยากช่วยมันมีเส้นบางๆที่อยู่ระหว่างคือ ระวังตัว กับ น้ำใจ
Bhaktapur เมืองเล็กๆ เศร้าๆ กลางหุบเขาของประเทศเนปาล











  

No comments:

Post a Comment