Tuesday, September 26, 2017

Nepal September 2017 : Day 8


   September 13th : Day 8 Nagarkot - Bhaktapur - Patan


    เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนตีสี่ครึ่ง ฉันงัวเงียดึงผ้าห่มผืนใหญ่หนาออกจากตัวด้วยความเคยชิน ความเย็นวิ่งกรูเข้าสัมผัสทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าบนภูเขาสูงลิบ ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วคว้ากางเกงตัวที่หนาที่สุดมาใส่พร้อมทั้งเสื้อฮีทเทคตัวบางที่หอบหิ้วติดกระเป๋ามาด้วย สวมทับด้วยเสื้อแขนยาวติดฮู้ดอีกหนึ่งตัว เสื้อผ้าพวกนี้ฉันใช้มานานนับสิบปีคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปจริงๆ เช็คแบตเตอรี่กล้องถ่ายรูปให้เรียบร้อยก่อนจะเดินลงไปถนนใหญ่ที่นัดแนะกับคนขับรถไว้ หมอกหนาๆตกลงมาเหมือนกับสายฝน ทางเดินค่อนข้างลืนทำให้ฉันต้องพยายามทรงตัวและเดินลงมาช้าๆ เงี่ยหูฟังเครื่องยนต์รถแทนการใช้สายตาเพราะเห็นแต่หมอกขาวๆรอบตัว คนขับรถดีใจที่เจอฉัน ฉันเองก็ดีใจที่เจอเขาเพราะอ่านในหลายๆบล็อกบอกกันว่าพวกเขาไม่เคยมาตามนัด ทักทายกันเสร็จก็หยอกเย้าเขาไปว่าเธอดีใจที่เจอฉันเพราะกลัวฉันเบี้ยวเธอเหมือนกันใช่มั้ย เขาหัวเราะเสียงดังลั่นภูเขาแล้วตอบฉันว่านักท่องเที่ยวที่นัดเขาไว้ก็ไม่ค่อยมาตามนัด


    รถเก๋งฮุนไดคันเล็กๆค่อยๆไต่เลียบภูเขาขึ้นไปเรื่อยๆ หมอกหนาจัดทำให้ต้องใช้ความระวังมากขึ้นจนค่อนชั่วโมงรถก็พาเรามาถึงจุดหมายทางรถ คนขับชี้หนทางเส้นเล็กๆที่ฉันต้องเดินขึ้นไป View Tower แล้วเขาก็กลับไปนั่งรอในรถ ทางแคบชันและหมอกหนาทำให้การเดินของฉันเป็นไปด้วยความลำบาก อาศัยแสงสว่างจากไฟฉายโทรศัพท์มือถือและก้อนหินสีขาวก้อนโตๆริมทาง ฉันหยุดเดินแล้วเอื้อมมือไปดึงฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะเพื่อเพิ่มความอบอุ่น แอบขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยขี้เหนียวเรื่องซื้อรองเท้า Flyknitคู่เก่งทำหน้าที่ของมันได้ดีที่สุดในเรื่องของการเกาะพื้นและความยืดหยุ่น หยุดพักเป็นระยะๆเพื่อที่จะไม่ให้หัวใจทำงานหนักเกินไป ปัญหาโรคภัยที่เป็นอยู่มันทำให้ฉันต้องระวังเรื่องนี้และมันก็เกือบจะทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงแค่แผนการ หลังจากที่ทดสอบสมรรถภาพตัวเองก่อนที่จะออกเดินทางมาที่นี่ บวกกับประกันสารพัดราคาสูงลิ่วที่ซื้อไว้สำหรับทริปนี้ทำให้ฉันค่อนข้างจะมั่นใจว่าฉันจะทำได้ และฉันจะทำในสิ่งที่รักที่สุดให้ได้ หืดขึ้นคอไปหลายสิบรอบฉันก็มาถึงจนได้ นักท่องเที่ยวสี่ห้าคนและฉันยืนอยู่บนจุดสูงสุดของView Tower เราหันหน้าไปหาภูเขาเอเวอเรสต์ จ้องมองอยู่จุดนั้นนานนับสิบนาทีจนทั้งหมดค่อยๆทยอยกันเดินลงไป ฉันยังคงอยู่ตรงนั้น จ้องอยู่ที่จุดของเอเวอเรสต์ จุดที่ไม่มีแม้แต่เงาของภูเขาอันยิ่งใหญ่ จุดที่หลังคาโลกแอบซ่อนตัวอยู่ จุดที่มีแต่เมฆหมอกปกคลุม
กลับมาถึงที่พักด้วยความผิดหวังเล็กๆ เก็บข้าวของลงเป้แล้วออกไปเช็คเอาท์จากที่พักราคาสูงพร้อมกับจ่ายค่าอาหารเย็นเมื่อวานที่ราคาเหมือนโดนปล้น ความเร็วของการเดินลงจากที่พักถึงท่ารถคงจะเป็นสถิติใหม่ มองหารถไปเมือง Bhaktapurก่อนจะต่อรถอีกคันไปเมืองPatan ได้อาหารเช้าจากร้านเล็กๆใกล้กับท่ารถ กาแฟอุ่นๆทำให้ความขุ่นใจลดลงไปได้บ้าง


    รถโดยสารคันเก่าพาฉันลงมาจากภูเขาช้าๆ แวะรับส่งนักเรียนระหว่างทางไปเรื่อยๆทำให้กว่าจะถึงBhaktapurใช้เวลาไปเดือบสองชั่วโมง ลงจากรถพร้อมกับแผนศูนย์ที่มีอยู่ในหัว ไม่รู้ว่าต้องไปขึ้นรถที่ไหนต่อ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ดูเหมือนโลกมันก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรนักหลังจากที่เดินแบบไร้จุดหมายมาได้สองสามนาทีก็เจอเด็กหนุ่มแต่งชุดนักศึกษายืนอยู่ริมถนน คนที่แต่งชุดนักศึกษา คนได้เรียนหนังสือก็ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ได้เด็กหนุ่มคนนี้ชี้ทางไปท่ารถที่จะไปเมืองPatanได้ แบกเป้เหงื่อโทรมเดินไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก็สามารถพาตัวเองมานั่งบนรถโดยสารผุๆได้ ชั่วโมงกว่านิดๆกับยี่สิบห้ารูปีฉันก็มาถึงเมืองPatan เมืองประวัติศาสตร์ อีกเมืองที่ล่มสลายเพราะเหตุแผ่นดินไหว ได้ห้องพักบนชั้นห้าของโรงแรมที่หันหน้าเข้าหา Patan Dubbra Square มันเป็นความโชคดีอย่างยิ่งเพราะคืนนี้ไม่ได้จองโรงแรมไว้ เดินจากท่ารถมาเรื่อยๆจนเหนื่อยก็เลยเปิดดูในอโกด้าแล้วเจอโรงแรมที่ถูกใจก็เลยเดินตามจีพีเอสเข้าไปถามราคาดู ราคาพอรับได้แต่ที่แน่ๆเหนื่อย อยากจะโยนเป้บนหลังทิ้ง อยากจะนอน และก็ได้นอนสมใจในห้องสวย ที่นอนนุ่ม วิวดีที่สุด แต่เป็นคนละโรงแรมกับที่จีพีเอสบอกทางไว้ งีบหลับไปจนบ่ายคล้อยแล้วออกไปเดินดูวัดวา ค่าเข้าชมทุกเมืองในเนปาลแพงลิบแต่ฉันก็เต็มใจจ่ายเพราะรู้ไปว่าให้เขาเอาไปซ่อมแซมบ้านเมืองที่ล่มสลาย Patanสวยงามคลาสสิคเหมือนกับที่ฉันคิดไว้ เป็นแหล่งรวมศิลปะแกะสลักหินแหล่งใหญ่ ผู้คนเป็นมิตร และที่นี่ฉันก็ได้ลิ้มรสอาหารเนปาลีที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นมื้อที่แพงที่สุดในเจ็ดวันที่ผ่านมา แต่มันก็เป็น เดอะเบสท์








No comments:

Post a Comment