Tuesday, September 26, 2017

Nepal September 2017 : Day 11


   September 16th Day 11 : Pokhara



    ด้วยความเคยชินทำให้ฉันตื่นนอนตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้า เปิดประตูออกไปนั่งบนเก้าอี้เล็กๆนอกระเบียงรับแสงแดดอุ่น เทือกเขาAnnapurnaโชว์ยอดขาวโพลนอยู่ลิบๆข้างหน้าฉัน เช้านี้เมฆหมอกไม่เยอะทำให้เห็นหลายๆยอดของเทือกเขา Annapurnaมียอดที่สูงกว่าแปดพันเมตรอยู่หนึ่งยอด เรียกว่าAnnapurna one สูงถึงแปดพันเก้าสิบเอ็ดเมตรและเป็นภูเขาที่สูงที่สุดอันดับสิบของโลก แล้วก็ยังมีสูงกว่าเจ็ดพันเมตรอยู่สิบสามยอด และสูงกว่าหกพันเมตรอีกสิบหกยอด Annapurraเป็นภาษาสันสกฤตเหมือนกับชื่อของฉัน แปลออกมาได้ประมาณว่าเทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว ถ้วยโกโก้อุ่นๆในมือกับเทือกเขาข้างหน้าทำให้เช้านี้เป็นเช้าที่อบอุ่นมีความสุข


    แวะเยี่ยมเยือนสาวฟินแลนด์ข้างห้องที่เปลี่ยนใจกระทันหันไม่ออกไปกับฉันวันนี้เพราะนางรู้สึกไม่สบาย ส่งยาแก้ปวด/แก้ไข้ที่มีติดตัวมาพร้อมแอปเปิ้ลสองลูกให้นาง แล้วลงมากินอาหารเช้าก่อนจะเดินออกไปถนนใหญ่หาร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ลุงหน้าโหดเจ้าของแผงเช่ารถริมถนนให้ฉันซ้อนรถมอเตอร์ไซค์คันโตของเขาเข้าไปเอารถเช่าในซอยลึกลับ ฉันเลือกคันที่สภาพดีสุดเท่าที่เขามีอยู่ มอเตอร์ไซค์สีฟ้าพาฉันลัดเลาะไปเรื่อยๆร่วมครึ่งชั่วโมงก็ถึงพิพิธภัณฑ์ภูเขา จอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ใกล้ป้อมยามแล้วเดินเข้าไปซื้อตั๋วราคาสี่ร้อยรูปี เดินเรื่อยๆไปตามทางเดินเล็กๆจนถึงอาคารพิพิธภัณฑ์ ฉันหันหน้ากลับมาทางทางเดินเพราะได้ข้อมูลมาว่าวิวเทือกเขาAnnapurnaจากจุดนี้สวยมาก และมันก็สวยจริงๆ สวยกว่าทุกครั้งทุกที่ที่เคยเห็นมา ข้างในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงได้น่าสนใจมาก มีเรื่องราวของภูเขาทุกลูก มีเรื่องราวของนักปีนเขาที่พิชิตยอดเขาแต่ละลูก เสื้อผ้า อุปกรณ์ปีนเขา ชนเผ่าที่อยู่ในแต่ละที่ รวมไปถึงสัตว์ต่างๆ รูปภาพเก่าๆ มีวีดีทัศน์ให้ดู ฉันชอบที่นี่มากทั้งๆที่ปรกติคิดว่าพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่ๆน่าเบื่อ แต่ที่นี่กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ตื่นเต้นท้าทาย


    หลังจากที่ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าๆที่พิพิธภัณฑ์ก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ตามจีพีเอสไปเรื่อยๆ จุดหมายก็คือ World Peace Pagoda พอมาถึงจุดหนึ่งก็ไม่สามารถไปต่อได้เพราะมีดินสไลด์ปิดทางไว้ ถึงกับต้องจอดตั้งหลักใหม่เพราะไม่แน่ใจว่าควรกลับเข้าเมืองไปหรือหาทางใหม่ แต่ด้วยความที่อยากจะเห็นเพราะวันก่อนนั่งอยู่ริมทะเลสาบแล้วมองขึ้นไปฝั่งตรงข้ามเห็นบนภูเขามียอดเจดีย์สีขาวสวย ดูจีพีเอสจนแน่ใจว่ายังมีทางเล็กๆอีกทางที่สามารถไปถึงที่นั่นจึงเริ่มใช้เส้นทางนั้น ถนนกรวดก่อนโตๆมีร่องลึกทำให้การขับมอเตอร์ไซค์เป็นไปด้วยความยากลำบาก หลายครั้งที่ล้อรถติดลึกลงไปในร่องจนขึ้นไม่ได้ต้องหาก้อนกรวดมารองล้อแล้วค่อยๆเร่งคันเร่ง เร่งคันเร่งแรงไปรถก็พุ่งเฉไปทางเหวลึกข้างทาง ฉันใช้เวลากว่าชั้วโมงค่อยๆประคับประคองรถไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ยอมแพ้ จอดรถไว้ข้างทางแล้วตัดสินใจออกเดินไปเรื่อจนถึงทางทางขึ้นเจดีย์ มีรถมอเตอรไซค์คันใหญ่หลายคันจอดที่นี่ทำให้เข้าใจว่ามันคงไม่ใช่ถนนสำหรับรถคันเล็ก ล้อเล็ก และคนขับตัวเล็กๆอย่างฉัน รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ซีซีสูง ล้อใหญ่ และคนขับคงต้องตัวใหญ่ด้วย แวะกินจาปาตีกับแกงผักตรงทางขึ้นเจดีย์ให้มีแรงก่อนแล้วออกเดินขึ้นเขา ทางเดินชันและคดเคี้ยวมากๆบวกกับแดดที่ร้อนสุดๆ ฉันดึงผ้าพันคอผืนยักษ์ออกจากกระเป๋ามาโพกหัว ให้ชายผ้าปกคลุมครึ่งหน้าและคอ แว่นกันแดดอันโตช่วยได้มาก เดินๆหยุดๆทุกๆสองสามนาทีจนแอบคิดจะยอมแพ้แต่ก็ยังกัดฟันเดินต่อไปจนถึงเขตเจดีย์. World Peace Pagoda เป็นชื่อที่เหมาะสมกับสถานที่ที่สุดเพราะข้างบนสงบเงียบมาก เสียงที่ได้ยินมีแค่เสียงลมที่พัดผ่านและเสียงนกร้อง เจดีย์สีขาวใหญ่สร้างขึ้นในสมัยรัชการที่สองโดยพระชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างสัญลักษณ์ความสงบหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองฮิโรชิม่าและเมืองนางาซากิ เดินเล่นชมวิวมองลงมาเห็นทะเลสาบPhewaสวยใสอยู่นานนับสิบนาทีก็ต้องเดินกลับลงมาเพราะบริเวณเจดีย์ห้ามใส่รองเท้าและพื้นโดนแดดเผาทำให้เวลาเดินรู้สึกร้อนมาก


    จากเจดีย์World Peace Pagoda ไปถึง ทะเลสาบBegnasใช้เวลากว่าชั่วโมง ถนนเมืองโพคาราค่อนข้างขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ถึงแม้จะมีบางช่วงที่ราดยางเรียบร้อยแต่ผิวถนนก็ไม่เรียบเสมอกัน ฉันต้องใช้ความพยายามและใช้สายตาเป็นอันมากเพื่อที่จะไม่ตกลงไปในหลุมเพราะจะทำให้รถเสียหลัก แต่ก็ยังมีบางครั้งที่เผลอมองข้างทางจนล้อรถตกไปในหลุม รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าและจีพีเอสบนมือถือยังคงทำงานอย่างแข็งขันจนในที่สุดฉันก็ถึงทะเลสาบ ชายแก่หน้าตาดุดันถือไม้เท้ารี่เข้ามาหาเมื่อฉันจอดรถ เขายื่นแผ่นกระดาษจากสมุดฉีกเล่มเล็กให้ฉันแล้วบอกว่าเป็นตั๋วค่าจอดรถ ฉันได้ยินเขาว่าห้าก็เลยยื่นให้ห้ารูปีเหมือนที่ได้จ่ายตอนที่จอดใกล้กับเจดีย์สิบรูปี ชายแก่ปฏิเสธธนบัตรใบละห้ารูปีเสียงดังพร้อมกับบอกว่าสามสิบรูปี ระหว่างที่ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะทำอะไรก็ได้ยินเสียงเล็กๆมาจากร้านขายของชำไกลออกไป หญิงสาวในร้านส่งสัญญาณมือว่า "ไม่" มาทางฉัน ฉันตัดสินใจเสียบแผ่นกระดาษคืนและดึงธนบัตรออกจากมือชายแก่แล้วควบมอเตอร์ไซค์ขับออกไป เสียงกร่นด่าแว่วมาตามหลังจนอดเสียวสันหลังไม่ได้ว่าจะมีไม้เท้าบินมาใส่หลังฉัน ไม่ไกลนักก็จอดรถไว้หน้าร้านขายของร้านหนึ่งที่มีผู้ชายตัวโตหลายคนนั่งดื่มกินกันอยู่ สั่งน้ำดื่มเย็นๆหนึ่งขวดมาดับความร้อน เจ้าของร้านน่ารักและเข้าใจภาษาอังกฤษฉันจึงเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่ชอบใจนักที่ได้ยินเพราะริมทะเลสาบเป็นที่สาธารณะไม่มีการเก็บค่าอะไรทั้งสิ้น พูดสุดเสียงชายแก่ก็ตามฉันมาถึงและส่งเสียงโวยวายอยู่หน้าร้าน เจ้าของร้านและลูกค้าชายตัวโตหลายคนก็ส่งเสียงขับไล่ให้เขาไปคงพูดถึงการเก็บค่าจอดรถของเขาด้วยเพราะเห็นชี้ไปที่สมุดฉีกในมือ สามสิบรูปีแปลเป็นเงินไทยได้เก้าบาท เก้าบาทมันไม่ใช่เงินจำนวนมากแต่ที่ฉันไม่ยอมจ่ายเพระมันไม่ถูกต้อง มันไม่ได้มีทั้งเหตุและผลที่ต้องจ่าย ถ้าชายแก่คนนั้นเดินเข้ามาขอเฉยๆฉันก็คงจะให้ไป คิดไปถึงการเอาเก้าบาทแลกกับความปลอดภัยของตัวเอง แลกกับสภาพจิตอารมณ์ บางทีสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมันก็รวดเร็วเกินไปจนตัดสินใจไม่ถูก

    นั่งพักสักครู่จนคลายความร้อนไปบ้างก็ฝากรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ร้านขายของชำแล้วก็ออกเดินไปทะเลสาบBegnas น้ำใสแจ๋วและต้นไม้ร่มรืนทำให้จิตใจสงบขึ้น เดินเที่ยวเล่นถ่ายรูปจนเหนื่อยแล้วก็เดินกลับออกมาตรงเขื่อนเล็กๆหลังทะเลสาบ เด็กหญิงวัยไม่เกินแปดขวบสามคนกำลังกระโดดน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาหันมาเจอฉันก็พากันชี้มาที่กล้องถ่ายรูปที่สะพายอยู่ ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปพวกเขาในท่าทางต่างๆจนพวกเขาพอใจ คนตัวเล็กสุดพยักเพยิดชี้ชวนให้ฉันลงมาเล่นน้ำด้วย ฉันวางกระเป๋าและกล้องไว้บนพื้นหญ้าถอดรองเท้าตามด้วยกางเกงและเสื้อแขนยาวที่ใส่มา มีชุดว่ายน้ำชิ้นเดียวที่ใส่ไว้ข้างในเพราะวางแผนว่าจะมาว่ายน้ำที่ทะเลสาบอยู่แล้ว เด็กๆกรีดร้องสนุกสนานเมื่อฉันกระโดดลงไปในน้ำ พวกเขาถีบตัวจากฝั่งมาเกาะแขนเกาะไหล่ฉัน ดำผุดดำว่ายเล่นกัน น้ำเย็นๆใต้เขื่อนไม่ลึกนักแต่ไหลเชี่ยว เด็กๆส่งเสียงดังและกวักมือเรียกทุกครั้งที่ฉันว่ายออกไปไกล สุดท้ายพวกเราก็เล่นกันอยู่ใกล้ๆฝั่งจนปากซีดมือเหี่ยว ฉันขึ้นมาจากน้ำ เช็ดตัวด้วยผ้าพันคอผืนเดิมแล้วนุ่งเสื้อกางเกง ล้วงกระเป๋าหยิบบิสกิตออกมาแกะแล้วส่งให้เด็กๆแบ่งกัน พวกเขายังอยู่ในน้ำเมื่อฉันโบกมือลา


    ขากลับแวะไปห้างสรรพสินค้าที่ว่าใหญ่ที่สุดในเมือง ห้างสรรพสินค้าห้าชั้นมีสินค้านานานชนิดแต่ไม่สวยงามทันสมัยเหมือนของเมืองไทย ฉันสนใจเรื่องผักไม้ของกินก็เลยมาเดินดู ผักมีไม่กี่ชนิดแต่ก็ดูน่าสนใจ พริกหน้าตาแปลกๆ องุ่นและฝรั่งที่ติดป้ายว่ามาจากเมืองไทยราคาสูงลิบ เดินไปดูชีสของที่ฉันโปรดปรานมีให้เลือกหลายอย่าง หยิบใส่ตะกร้ามาหลายชนิดรวมทั้งชีสจามรีที่อยากจะลองชิมมานานแล้ว น้ำผลไม้อีกหนึ่งกล่อง ที่ไม่ลืมคือยาแต้มสิวยี่ห้อHimalayaที่ใช้ดีจนวางแผนจะหิ้วกลับบ้านสักสามโหล


     รถมอเตอร์ไซค์ถูกนำไปคืนหกโมงเย็นตรงเวลาไม่ขาดไม่เกิน ค่าเช่ารถเก้าร้อยรูปีรวมค่าน้ำมันอีกสามร้อยรูปีถ่อว่าคุ้มค่า เดินฮัมเพลงจังหวะแขกมาถึงที่พักก็มืดพอดี แวะยืมมีดจากร้านอาหารชั้นล่างมาตัดชีส กำลังนั่งลงจะจัดการชีสหน้าตาดีกับบีสกิตให้สำราญใจเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สาวฟินแลนด์ยืนอยู่หน้าประตูชวนฉันออกไปกินข้าวเย็น ฉันเชื้อเชิญนางให้เข้ามาพร้อมทั้งจัดน้ำผลไม้และชีสให้นาง บอกว่าเย็นนี้ฉันมีปาร์ตี้ชีสแทนอาหารเย็น นางว่ารอฉันครึ่งวันเพื่อจะปรับทุกข์เรื่องที่นางมีปัญหากับหนุ่มเนปาลเวลาออกไปเดินข้างนอก ฉันปลอบโยนและอธิบายให้นางเข้าใจว่าผู้ชายแถบนี้ชอบการจับเนื้อต้องตัว เวลาเขาคุยกับเราเขาจะจับแขนจับไหล่ และการที่นางเป็นฝรั่งผิวขาว ผมบลอนด์ นุ่งชุดแขนกุดมันก็ย่อมเป็นจุดสนใจ การแต่งตัวมิดชิดคลุมแข้งคลุมแขนมันปลอดภัยกว่าแน่นอน นางรับคำแล้วคุยต่อไปสักครู่ก็ขอตัวออกไปกินข้าว


    ฉันนั่งจิบน้ำผลไม้ ตามด้วยชีสและบีสกิตช้าๆ แอบคิดถึงไวน์ขาวดีๆสักแก้ว องุ่นหวานๆอีกสักพวง แต่ได้แค่นี้ก็ดีมากมายแล้ว ชีวิตฉันในโพคารา เนปาล











No comments:

Post a Comment