Tuesday, September 26, 2017

Nepal September 2017 : Day 7



     September 12 : Day 7 Bhaktapur- Nagarkot

    เกือบเก้าโมงเช้าออกเดินเท้าจากห้องพักเล็กๆ เดินเท้าไปเรื่อยๆพร้อมกับเป้บนหลังที่เหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆทุกย่างก้าว เดินลัดเลาะผ่านหมู่บ้านวัดวาจนออกมาถึงถนนใหญ่ รีบล้วงหน้ากากอนามัยมาปิดจมูกปากเพราะฝุ่นควัน ถึงแม้อากาศที่นี่จะดีกว่าในเมืองกาฐมัณฑุก็ตาม แต่ฉันก็ยังสัมผัสถึงปริมาณมลพิษทางอากาศได้ สิวนับสิบเม็ดที่ผุดขึ้นบนหน้าเป็นสัญญาณเตือนได้เป็นอย่างดี ก้าวเท้าถี่ๆหลบหลีกการสัญจรบนถนน รถมอเตอร์ไซค์ รถจักรยาน รถยนต์ รถบันทุก รถเมล์โดยสาร รวมถึงผู้คนและสัตว์เลี้ยงใช้ถนนร่วมกัน ระยะห่างระหว่างตัวฉันกับรถราที่วิ่งผ่านนับได้ไม่กี่เซนติเมตร


    เดินไปเรื่อยๆเกือบครึ่งชั่วโมงตามเส้นทางที่ศึกษามาจากแผนที่ล่วงหน้าแล้วจนถึงสถานีขนส่ง ถามเด็กหนุ่มที่ยืนข้างรถจนแน่ใจว่าสถานีขนส่งแห่งนี้มีรถไปเมือง Nagarkot ไม่ลืมที่จะถามราคาให้แน่ใจว่าไม่เกินจากที่นึกไว้ หนุ่มน้อยกระเป๋ารถชี้มือให้ขึ้นไปนั่งหลังคนขับริมหน้าต่าง รถเมล์โดยสารเก่าๆเปิดหน้าต่างทุกบานเริ่มแออัดขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่ฉันนั่งลง กว่าจะถึงเวลารถออกก็มีทั้งผู้โดยสารที่ได้ที่นั่งและที่ต้องห้อยโหนจนไม่มีช่องว่างให้ขยับตัว ข้าวของสารพัดกองรวมกันอยู่ระหว่างเบาะคนขับรถและหน้าที่นั่งฉัน ตัดสินใจเลื่อนเป้ของตัวเองขึ้นไว้บนสุดของกองสัมภาระและเหยียบไว้เพื่อจะได้มีที่วางขา รถแล่นเขย่าไปเรื่อยๆตามถนนลูกรัง สะบัดซ้ายเอียงขวาไปตามจังหวะหักพวงมาลัยของคนขับ ไต่เลียบเลาะไปตามถนนริมเขาช้าๆ ฉันชะโงกออกไปดูนอกหน้าต่างมองเห็นหุบเหวลึกอยู่ไกลไม่เกินหนึ่งเมตรจากล้อรถ คนขับเบรคตัวโก่งทุกครั้งที่มีรถสวนมา พวกเขาจะขับให้ชิดแนวของแต่ละฝ่ายมากที่สุด ฝั่งซ้ายชิดกับแถบเขาดินสไลด์ ฝั่งขวาชิดกับหุบเหว เสียววาบในช่องท้องทุกครั้งที่ชะโงกออกไปดูล้อรถ ผู้คนที่นี่กลิ่นเหมือนนมที่เพิ่งคั้นออกมาจากเต้าของวัว หรือเหมือนกลิ่นของเด็กทารกที่กินนมแม่ มันไม่ถึงกับเหม็นแต่มันเป็นกลิ่นเฉพาะ กลิ่นคน จังหวะอันเร่าร้อนของเสียงเพลงที่เปิดในรถ รถแล่นขึ้นสูงไปเรื่อยๆจนสังเกตได้ว่าพืชพันธุ์เปลี่ยนไป จากไม้ยืนต้นกลายเป็นต้นสนนานาพันธุ์ อุณหภูมิเริ่มลดลง พร้อมกับผู้โดยสารที่ทะยอยลงเรื่อยๆระหว่างทาง กว่าชั่วโมงก็ถึงจุดสุดท้ายของรถโดยสาร จุดสิ้นสุดของเส้นทางนี้ เมือง Nagarkot บ้านของเทือกเขาหิมาลัย


    จากจุดที่รถโดยสารจอดถึงที่พักที่จองไว้นับระยะโดยจีพีเอสได้หนึ่งพันแปดร้อยเมตร ฉันตัดสินใจออกเดิน บอกตัวเองว่าไม่ถึงสองกิโลเมตรคงไม่หนักหนาอะไร เดินไปเรื่อยปรากฏว่าทางเริ่มสูงชัน ก้าวแต่ละก้าวเริ่มเล็กลงเล็กลงจนต้องหยุดพักเป็นระยะๆ ไอเย็นกระทบหน้าทำให้รู้สึกดีขึ้น รวบรวมพลังก้าวต่อไปเรื่อยๆและหยุดเช็คจังหวะการเต้นของหัวใจ หนึ่งร้อยสี่สิบห้าครั้งต่อนาทีคือจุดพีค อ้าปากรับออกซิเจนเป็นหมาหอบแดดอยู่หน้าป้ายที่พัก "Hotel At the end of the universe" แหงนขึ้นดูปรากฏว่าต้องปีนบันไดไปอีกครึ่งเขา ถึงว่าตอนจองเห็นในรูปเหมือนว่าจะแตะหิมาลัยได้ วิวจากที่พักมันพอจะทำให้ลืมความเหนื่อยล้าได้ เทือกเขาหิมาลัยทอดตัวให้เห็นอยู่ไกลๆพร้อมกับยอดเขาเอเวอเรสต์เท่าขี้ตาแมว
นั่งดื่มด่ำกับหิมาลัยนานนับสองชั่วโมงพร้อมกับกาแฟนมกาใหญ่ อากาศตอนกลางวันสบายไม่ถึงกับหนาว มีนักท่องเที่ยวไม่กี่คนที่พักที่นี่ สาวชาวแคนาดาขนจักกะแร้ยาวเฟื้อยนั่งเล่นกีตาร์อยู่ข้างๆฉัน เราคุยกันเรื่องนู้นนี้จนบ่ายคล้อยก่อนที่ฉันจะตัดสินใจเดินลงไปสำรวจตลาดข้างล่าง เดินลงง่ายดายนักเพราะไม่ถึงสิบห้านาทีฉันก็มาถึงตลาดเล็กๆริมท่ารถ มีร้านค้าอยู่แค่สองสามร้านและขายของอยู่ไม่กี่อย่าง เดินเข้าไปในโรงแรมใหญ่ที่มีร้านอาหารอยู่ด้านใน นั่งกิน Biriyani จานใหญ่จนหมดเกลี้ยง ข้าวที่ผัดกับเครื่องเทศจนหอมฉุนทำให้เลือดลมดีขึ้น เดินตัวอุ่นออกมาจากร้านอาหารแล้วแวะทักทายกับคนขับรถรับจ้าง สอบถามเรื่องไปวิวทาวเวอร์พรุ่งนี้เช้าเพราะฉันคงเดินสามชั่วโมงจากที่นี่ไปแล้วถึงที่โน่นไม่ไหว คนขับตอบตกลงหลังจากที่ต่อรองราคาอยู่ที่แปดร้อยรูปี หนุ่มน้อยตาคมน้ำใจงามคนขับรถรับจ้างอีกคนเสนอให้ฉันติดรถกลับขึ้นไปข้างบนด้วยเพราะเขาก็จะไปรับลูกค้าแถวนั้น นั่งรถขึ้นเขาสบายตัวแล้วกลับมานอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้บนลานกว้างหน้าล้อบบี้ที่พัก อากาศเย็นๆสัมผัสกับเท้าเปล่าเปลือย


    พระอาทิตย์ลาลับขอบเขาไปช้าๆพร้อมกับยอดเขาเอเวอเรสต์ที่ค่อยๆเลือนหายไปจากสายตา อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆแต่ฉันยังคงนอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ยาว อยู่ในอ้อมกอดอันยิ่งใหญ่ของเทือกเขาหิมาลัย อยู่ที่ The end of the universe.










No comments:

Post a Comment