Tuesday, September 26, 2017

Nepal September 2017 : Day 10

 

   September 15th Day 10 : Pokhara


    หลังจากที่ผ่านวันอันโหดร้ายเมื่อวานนี้ไปแล้ว กับการนั่งในรถบัสจากKatmanduมาถึงPokharaเก้าชั่วโมงอันโหดร้ายในรถบัสโทรมๆ ขึ้นเขาลงเขาหักศอกซ้ายขวาครั้งแล้วครั้งเล่าจนรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นจุดเล็กๆอยู่ในกระบอกชงคอกเทลที่กำลังถูกเขย่า เริ่มตั้งแต่ชั่วโมงที่สองในรสบัสทุกอณูความรู้สึกของร่างกายไปรวมกันอยู่ที่คอหอย มันพร้อมที่จะพรั่งพรูออกมาแต่กลับกลายเป็นแค่ความรู้สึก ฉันหลับตาลงพร้อมกับบอกตัวเองว่ามันไม่จริง มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเป็นแค่ความรู้สึกที่ฉันสร้างขึ้นมา มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาอันโหดร้ายในชีวิตของสุวรรณีน้อย


    เช้านี้ตีสี่ครึ่งฉันเดินออกห้องพักเล็กๆริมทะเลสาบPhewa เดินช้าๆออกไปหารถแท็กซี่ที่นัดแนะกันไว้เมื่อค่ำวานว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่Sarangkot อากาศตอนเช้าสดชื่นและฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาเนปาลที่ได้สูดหายใจเข้าไปเต็มปอด ทุกที่ที่ผ่านมามีแต่ฝุ่นควันและมลพิษ ฝุ่นที่นี่ไม่ได้เป็นฝุ่นบางแต่เป็นโครตฝุ่นที่แทบจะเกาะตัวเป็นเม็ดๆ ทักทายคนขับรถแล้วแวะไปรับสาวชาวฟินแลนด์ที่เจอเมื่อเย็นวานเพื่อแชร์ค่ารถ ที่พักนางอยู่ค่อนข้างไกลลึกลับจนฉันอดเป็นห่วงไม่ได้และคืนก่อนนางก็ส่งข้อความมาปรึกษาถึงเรื่องความปลอดภัย ฉันแนะนำให้ย้ายมาพักใกล้ๆกันวันนี้เพราะแหล่งที่พักฉันค่อนข้างปลอดภัย นั่งรถขึ้นเขาคดเคี้ยวเกือบครึ่งชั่วโมงเราก็ถึงฐานจุดชมวิว เดินขึ้นเขาไปช้าๆอาศัยแสงสว่างจากดวงดาว ทางค่อนข้างชันและขรุขระทำให้ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ฉัน ผู้ป่วยโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ สาวชาวฟินแลนด์ ผู้ป่วยจากอุบัติเหตุขาหักที่ยังอยู่ในการรักษาขั้นตอนสุดท้าย เราดูเหมือนจะเป็นคู่เดินที่สูสี ทุกๆสิบก้าวเราหยุดพัก ฉันพักเพื่องับลมและพักหัวใจที่เต้นถึงหนึ่งร้อยห้าสิบครั้งต่อนาที นางพักขาเพื่อลดความเจ็บปวด ระยะทางไม่ได้ไกลโหดร้ายอะไรนักแต่เราก็ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงและเป็นสองคนแรกๆที่ขึ้นถึงจุดสูงสุด


   ฉันนั่งลงกับพื้นสูดหายใจเข้าลึกๆ มองผ่านหุบเหวลึกข้างหน้าไปถึงขอบฟ้า และภูเขาสลับซับซ้อนเรียงตัวกันที่เริ่มปรากฏเห็นชัดเรื่อยๆเมื่อพระอาทิตย์เริ่มทอแสง แสงแรกเป็นแสงอ่อนละมุนแล้วความเข้มของแสงก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ่งที่ฉันรอคอยก็เกิดขึ้น เทือกเขาAnnapurnaปรากฎตัวออกมาช้าๆจากด้านซ้ายมือของพระอาทิตย์ ยอดหลายๆยอดเผยออกมาพร้อมกับแสงอาทิตย์ แล้วก็ถึงวินาทีสำคัญเมื่อยอด Machapuchare หรือ Fishtail Mountain ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ ปรากฎออกมาให้เห็นเหมือนกับกำลังนั่งดูมหรสพจอใหญ่ที่แสดงโดยธรรมชาติ ฉันกดชัตเตอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า แทบจะใช้ทุกโหมดที่มีในกล้องถ่ายรูป ใช้เวลาเกือบชั่วโมงซึมซาบทุกรายละเอียด ทุกความสวยงามของธรรมชาติข้างหน้า ฉันหัวเราะ ฉันร้องไห้ ฉันปลาบปลื้ม มันเป็นความฝันที่จะมาเห็นAnnapurna แล้ววันนี้ฉันก็ทำได้ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาถึงสามปีและไม่ได้เดินไปเห็นใกล้ๆเหมือนที่เคยคิดไว้แต่มันก็สวยงามและวันนี้มันเป็น "ความจริง"


    สายๆหลังอาหารเช้ารีบเก็บกระเป๋าย้ายที่พักไปอยู่ที่ดีกว่า ห้องพักแปดดอลลาร์เมื่อคืนร้อนอบอ้าวจนนอนแทบไม่สนิท หน้าต่างห้องน้ำปิดไม่สนิททำให้มียุงเข้ามาก่อกวนอยู่หลายตัว และที่น่าตกใจคือประตูที่ปิดจากข้างนอกทำให้ฉันติดอยู่ข้างในออกมาไม่ได้จนต้องเรียกคนข้างห้องมาเปิดให้ถึงสองครั้งสองครา ที่พักใหม่อยู่ชั้นห้าของโรงแรมใหม่เอี่ยม มีทีวี แอร์ กาต้มน้ำร้อน เตียงใหญ่พร้อมหมอนฟูนุ่มน่านอน ฉันจองรวดสองคืนพร้อมต่อราคาได้คืนละสิบแปดดอลลาร์และใช้บริการจองตั๋วเครื่องบินกับเขา มันเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนว่าจะต้องนั่งเครื่องบินภายในประเทศ จากPokharaไปKatmandu แต่ฉันก็ไม่มีวันที่จะนั่งรถบัสสายวิบากนั้นกลับไปอีกแน่นอน ธนบัตรใบละหนึ่งร้อยดอลลาร์หนึ่งใบ สิบดอลล่าร์หนึ่งใบ และหนึ่งดอลลาร์อีกสองใบถูกยื่นให้พนักงานโรงแรมเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ใจหนึ่งแอบเสียดายเงินแต่ใจหนึ่งบอกกับตัวเองว่าเพื่อสุขภาพทางใจและทางกายทำถูกต้องแล้ว อดทนเป็นสิ่งที่ควรทำแต่ไม่ต้องถึงกับทนอด ขึ้นเครื่องบินจากPokharaยังจะได้เห็นภูเขาสวยๆอีกด้วย การเดินทางต้องวางแผนให้รอบคอบ มีแผนสำรอง มีแผนสำรองของแผนสำรอง ได้ที่พักดีๆถูกใจก็เลยถือโอกาสอาบน้ำและสระผม ผมที่ยาวเร็วจัดของฉันคงดีใจที่ได้ลิ้มรสชาติแชมพูเพราะครั้งสุดท้ายที่สระกว่าสัปดาห์เข้าไปแล้ว เสื้อผ้าชุดชั้นในไม่กี่ตัวที่มีอยู่ผ่านการสวมใส่แล้วทุกชิ้น รองเท้าเริ่มส่งกลิ่นมาทางชีสแก่ๆ ทั้งหมดมาถูกนำมาซักด้วยแชมพูซองเล็กสี่ห้าซองที่ซื้อมาจากร้านข้างทาง ซักแล้วเอาไปตากไว้นอกระเบียง รู้สึกว่าตัวเองสะอาด ที่นอนสะอาด นอนดูการ์ตูนเน็ตเวิร์คพร้อมกับปรับแอร์ลงไปถึงสิบเจ็ดองศา ขดตัวเป็นสุขอยู่ในผ้าห่มงีบหลับไปกว่าสองชั่วโมง


     ริมทะเลสาบPhewaช่วงเย็นสงบเงียบ น้ำในทะเลสาบใสแจ๋ว ต้นไม้เขียวๆบนภูเขารอบล้อมทะเลสาบไว้ เงาของเรือไม้สีสันสดใสหลายสิบลำที่สะท้อนอยู่ในน้ำทำให้งดงามเหมือนภาพเขียน หนุ่มสาวชาวท้องถิ่นเดินเล่นบ้าง พายเรือเล่นบ้างเป็นคู่ๆ นักท่องเที่ยวหลายคนนั่งดื่มกินกันอยู่ริมน้ำอย่างมีความสุข ฉันเดินเลาะเลียบทะเลสาบไปเรื่อยๆพร้อมกับพยายามถ่ายรูปโดยใช้เทคนิคต่างๆกัน เสียงพระธิเบตร้องเพลงเผยแพร่ศาสนาอยู่ใกล้ท่าเรือดังก้องไปทั่วบริเวณ เครื่องดนตรีที่พระอีกสององค์เล่นคลอกับเสียงร้องมันทำให้รู้สึกขลังยิ่งขึ้น พระธิเบตนุ่งเสื้อและกางเกงสีเหลืองอ่อน โกนหัวเกลี้ยงยกเว้นหนึ่งกระจุกเล็กๆตรงท้ายทอย ฉันมองแล้วเผลอยกมือคลำผมส่วนท้ายทอยที่เคยโกนเกลี้ยงแต่ตอนนี้เริ่มยาวของตัวเอง ตาของพระหนุ่มมีประกายวิบวับขำทรงผมของฉัน

   Thaliบรรจุมาในถาดทองเหลืองถูกนำมาวางตรงหน้าฉันในร้านอาหารเล็กๆของชาวธิเบต ข้าวกองโต แกงผัก ผัดผัก ซุปถั่ว ถั่วทอด โยเกิร์ต และแผ่นแป้ง ฉันค่อยๆเคี้ยวและกลืนลงไปช้าๆ อาหารร้านนี้อร่อยและไม่แพง Thaliแต่ละร้านรสชาติต่างกัน ใส่มาในภาชนะที่ต่างกัน และราคาก็ต่างกัน ยิ่งเดินทางหลายวัน จำนวนเงินในกระเป๋าก็ร่อยหรอลงไปไปเรื่อยๆ ฉันนับวันที่เหลืออยู่เปรียบเทียบกับจำนวนเงินที่มี แล้วก็เลิกนับเพราะรู้สึกเหมือนเป็นการบีบบังคับตัวเอง มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าได้ทำแต่ไม่ได้สัมผัส
เมืองที่ฉันใช้เวลาหลายปีคิดฝันถึง หลายปีที่เมืองนี้ว่ายวนอยู่ในจินตนาการ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่แล้ว อยู่ในความฝันที่เป็นจริง ฉันอยู่ที่Pokhara









No comments:

Post a Comment