September 19th Day 14 : Thamel Katmandu
กาแฟใส่นมในถ้วยกระดาษไขอบอุ่นอยู่ในมือฉัน แดดตอนสายยังอบอุ่นไม่ร้อนแรง เดินออกจากParyatan Marg แล้วเลี้ยวเข้าThamel Marg เดินต่อไปช้าๆพร้อมกับจิบกาแฟในถ้วยไม่เร่งรีบกว่ายี่สิบนาทีขึ้นสะพานลอย ลงสะพานลอยอยู่หลายครั้งก็มาถึงป้ายรถเมล์ที่ต้องการ ฉันยืนงงๆอยู่กว่านาทีเพราะไม่แน่ใจว่าต้องขึ้นรถคันไหน รถตู้คันเล็กๆ และรถเมล์หลายคันจอดอยู่ กระเป๋ารถตะโกนเสียงดังโหวกเหวกเรียกผู้โดยสาร เดินไปถามกระเป๋ารถว่าคันไหนไปBoudhanath เด็กหนุ่มทำหน้างงๆฉันจึงออกเสียงใหม่ "Boda...." คนเนปาลออกเสียงแบบนี้ฉันอ่านมาจากบล็อกท่องเที่ยวคืนก่อน ได้ผลเพราะเด็กหนุ่มชี้ไปที่รถเมล์คันหนึ่ง ฉันเบียดตัวขึ้นไปบนรถเมล์คันเก่าๆที่มีผู้โดยสารนั่งเบียดเสียดอยู่ หนุ่มกระเป๋าชี้ให้ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ขยับแบ่งที่ให้ฉันนั่งหลังคนขับรถ รถเมล์เริ่มแล่นออกไปช้าๆพร้อมกับฝุ่นที่คลุ้งเข้ามาในรถ ฉันหยิบหน้ากากอนามัยออกมาจากกระเป๋าแล้วใส่ให้กระชับใบหน้า คนขับรถเปิดเพลงจังหวะเร่าร้อนเขย่าผู้โดยสารไปเรื่อยๆตามถนนที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อและฝุ่นควัน หน้ากากอนามัยช่วยได้มากเพราะนอกจากจะป้องกันฝุ่นได้บางส่วนแล้วก็ยังช่วยลดการได้กลิ่นจั้กกะแร้ของพี่ๆทั้งหลายในรถด้วย จากประสบการสิบกว่าวันที่นี่ก็ได้บทสรุปว่ากลิ่นเต่ามาจากผู้ชายไม่ได้มาจากผู้หญิง ถึงแม้เขาจะเป็นผัวเมียกันแต่กลิ่นตัวก็ไม่ติดกันอันนี้น่าแปลกเพราะสองวันก่อนไปยืนเลือกเสื้อยืดที่ร้านเล็กๆแล้วมีคู่ผัวเมียเดินเข้ามา กลิ่นเต่ากระจายทั่วร้านจนฉันเกือบทนไม่ไหว สักครู่ผัวเดินออกไปข้างนอก กลิ่นก็ก็เริ่มจางๆไป ฉันเป็นคนกลัวกลิ่น ดมจั้กกะแร้ตัวเองทุกเช้าว่ามีกลิ่นเหมือนแขกหรือยัง ทาโรลออนหลายครั้งหลังอาบน้ำ กลัวว่าเครื่องเทศที่กินเข้าไปจะส่งกลิ่นออกมาทางผิวหนัง ผู้ชายมีกลิ่นตัวสำหรับที่นี่คงเป็นเรื่องปรกติเพราะเห็นบางคนแต่งตัวดี หน้าตาดี กลิ่นตัวพวกเขาแรงมากจนฉันแอบคิดว่าโชคดีชะมัดที่เมืองนี้มีฝุ่นและการใส่หน้ากากอนามัยเป็นเรื่องปรกติ ไม่งั้นคงรู้สึกแย่ที่ใส่เพราะรังเกียจกลิ่นพวกเขา
ระยะทางจากป้ายรถเมล์Jamalถึงป้ายBoudhanathไม่ถึงสิบสองกิโลเมตร แต่รถแล่นไปช้าๆแวะรับส่งคนตลอดทาง ฉันนั่งมองคนขึ้นลงรถไปเรื่อยๆสลับมองออกไปนอกหน้าต่าง ใช้เวลาอยู่บนรถเกือบชั่วโมงจึงถึงที่หมาย จ่ายเงินให้กระเป๋ารถยี่สิบห้ารูปีก่อนจะเดินเข้าไปในเขตเจดีย์ ซื้อบัตรผ่านประตูแล้วพาตัวเองเดินเข้าไปหาเจดีย์ที่ใหญีที่สุดในโลก Boudhanath หรือที่คนไทยเรียกว่า พระมหาเจดีย์โพธินาถ ซึ่งองค์เจดีย์มีฐานทรงดอกบัวตูม มีเค้าศิลปะค่อนไปทางธิเบต บนเจดีย์มีรูปเพ้นท์ลายดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าหรือWisdom Eyesอยู่ทั้งสี่ทิศ อันเป็นสัญลักษณ์ให้ผู้คนทำดี องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนสถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกในปีคริสต์ศักราชหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบเก้า นักท่องเที่ยว คนต่างศาสนา พระธิเบต พระอินเดีย พุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธาพากันมาเยี่ยมเยือน กราบไหว้อย่างเนืองแน่น หลายคนแสดงจิตศรัทธาโดยนอนคว่ำหน้าราบไปกับพื้นใช้ศีรษะแตะบนพื้นแล้วเลื่อนตัวไปกับพื้นเรื่อยๆจนครบรอบเจดีย์ แต่ด้วยความที่องค์เจดีย์ใหญ่มากกว่าจะรอบคงเจ็บตามเนื้อตัวไปหมดเขาจึงใส่สนับเข่า ความศรัทธา ศาสนา มันยิ่งใหญ่เสมอ
เสียงกระซิบแว่วมาจากพุ่มไม้ระหว่างที่ฉันกำลังกำลังถ่ายรูป หนุ่มเนปาลตาคมแหวกตัวเองออกมาปรากฏตัวให้เห็น เขากวักมือให้ฉันเดิมตามมและด้วยความสงสัยฉันก็เดินตามไป ดอกไม้เล็กๆถูกเด็ดมาใส่มือฉันแล้วเขาก็ชี้ให้วางมันลงไประหว่างฐานเจดีย์ เดินต่อไปอีกนิดเศษธูปที่จุดไว้แล้วก็ถูกดึงออกจากกระถางแล้วส่งให้ฉันปักลงไปใหม่ เดินออกไปอีกนิดเขาให้ฉันเอาศีรษะไปแตะตรงรอยขาวๆตรงฐานเจดีย์ ฉันไม่อยากจะลบหลู่ความเชื่อของใครๆก็เลยเดินตามและทำไปเรื่อยๆ จุพีคมาถึงเมื่อเขาบอกให้ฉันเอาเงินออกมาสามร้อยรูปีแล้วขว้างเข้าไปในพุ่มไม้ข้างหน้า จำไม่ได้ว่าตัวเองเดินออกมาจากจุดนั้นเร็วขนาดไหน แต่มันก็คงจะเร็วพอจนหนุ่มคนนั้นตามไม่ทันจนถึงประตูทางออกฐานเจดีย์ ฉันหันกลับมามองแล้วยืนรอจนเขาตามมาถึง เขาชี้ไปที่นาฬิกาของเขาแล้วส่งสัญญาณถามว่ากี่โมงฉันจะเอาเงินไปไว้ ฉันจ้องหน้าเขาแล้วบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ของพระพุทธเจ้า เขาไม่ควรทำแบบนี้ ฉันไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเข้าใจที่ฉันพูดหรือไม่ ฉันแค่พูดในสิ่งที่ถูกต้อง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านอาหารเวียดนามเล็กๆภายในบริเวณเจดีย์ ผักสดๆห่อด้วยแผ่นแป้งบางทำให้รู้สึกสดชื่น พายแอปเปิลรสชาติไม่สู้ดีนักแต่ก็กินจนหมดจานเพราะความหิว ตามด้วยโซดาแก้วใหญ่เป็นอันจบมื้อเช้ารวบมือกลางวัน ใช้เวลาอีกค่อนชั่วโมงถ่ายรูปมุมนั้นนี้และเป็นครั้งแรกในเวลาสิบสามวันที่ได้พูดภาษาไทย เพราะตั้งแต่คุยสาวไทยสองคนที่สนามบินในวันที่มาถึงก็ไม่ได้เจอคนไทยอีกเลย หนุ่มๆสี่ห้าคนแบกกล้องอันโตมาจากกรุงเทพ อุปกรณ์พวกเขาดูครบครันและน่าทึ่ง พอๆกับพวกเขาที่ทึ่งกับการเดินทางคนเดียวของฉัน
โชดีที่ขากลับเจอรถเมล์คันเดิมแล่นผ่านมา หนุ่มกระเป๋าจำฉันได้เขายิ้มทักทาย รถคันเดิมแต่ไม่ได้กลับไปเส้นทางเดิมตลอดสายทำให้ฉันต้องลงรถแล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย เดินผ่านโรงหนังเล็กๆแล้วเดินกลับมาใหม่เพราะอยากลองดูหนังเนปาล ค่าตั๋วหนึ่งร้อยห้าสิบรูปีไม่กำหนดที่นั่ง โรงหนังกว้างขวางจอใหญ่ใช้ได้ แต่เก้าอี้เป็นเก้าอี้ไม้แบบพับ หนังเนปาลมีความคล้ายกับหนังอินเดีย หนังBolly Wood มีฉากรัก ฉากบู๊ ฉากเศร้า แต่ไม่มีฉากวิ่งข้ามเขาร้องเพลง ฉากไหนที่พระเอกโดนต่อยคนดูก็ร้องตกใจตาม ฉากไหนพระเอกต่อยคนร้ายได้คนดูปรบมือกันรัว ชั่วโมงกว่าๆในโรงหนังจบไปอย่างรวดเร็วสนุกสนานถึงแม้ว่าทั้งเรื่องจะเข้าใจคำเดียวคือ "ละ" แปลว่าใช่
ใช้เวลาเดินอีกนานโขกว่าจะมาถึงThamel แวะร้านซุปเปอร์ซื้อบิสกิตยี่ห้อที่ชอบ การหาซื้อบิสกิตในเนปาลเป็นเรื่องที่สนุกเพราะมีหลายแบบมากให้เลือก เขาใส่ธัญพืชไปเยอะมากจนแทบจะกินแทนมื้ออาหารได้ น้ำผลไม้ ชีสที่ชอบ องุ่นอบแห้งถุงเล็ก หอบหิ้วขึ้นมากินในห้องพักพร้อมกับดูหนังช่องHBO Terminator 2 มีความสุข
No comments:
Post a Comment