Sunday, December 14, 2014

Life


Life catches you by surprise,
It always does, but there's good mixed in with the bad.
It there.... you just have to recognize it.






Thursday, December 11, 2014

Me


I was born to be happy

I was born to be happy

I was born to be happy

I was born to be happy

I was born to be happy

I was born to be happy

I was born to be happy

I was born to be happy

      


Thursday, December 4, 2014

More colors in my life


On the day that I feel for more colors in my life....
    yellow orange green pink purple, any colors.... except for black and white

  I miss you.....












Monday, December 1, 2014

The same sun


    ลมหนาวหอบเอากลิ่นหอมฉุนของดอกตีนเป็ดที่ปลูกเรียงรายริมหนองนำ้มากระทบจมูกฉัน ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อจะเก็บกลิ่นหอมฉุนนั้นไว้ให้ลึกที่สุดถึงซอกหลืบของความทรงจำ กลิ่นดอกไม้ที่หลายๆคนเกลียดนักเกลียดหนาแต่สำหรับฉันมันเป็นกลิ่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีกลิ่นใดๆในโลกที่เหมือนหรือแม้แต่คล้าย มันเป็นกลิ่นที่มีความเย้ายวน มีเสน่ห์ เข้มแข็งแต่อ่อนหวาน ฉันเบี่ยงตัวลงจากจักรยานเสือภูเขาคันเก่งและพิงมันไว้กับต้นโมกต้นใหญ่ริมหนองนำ้ ต้นโมกต้นนี้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนมันยังออกดอกขาวสะพรั่งเต็มต้น ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันมายืนอยู่ใต้ต้นและรอจังหวะที่ลมพัดพาดอกโมกสีขาวนวลก้านยาวลอยคว้างลงมากระทบตัวฉันพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ณ.วันนั้นฉันนั่งอยู่ใต้ต้นโมกต้นนี้นับชั่วโมงจนรอบๆตัวฉันและบนตัวฉันขาวโพลนไปด้วยดอกโมก ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่มีดอกโมกแต่พระอาทิตย์ตกดินจากมุมใต้ต้นโมกก็ยังงดงามเหมือนเดิม ฉันทรุดตัวลงนั่งบนหญ้าแห้งๆหันหน้าปะทะกับแสงแดดสุดท้ายของวัน ดวงอาทิตย์กลมโตส่องแสงสีส้มเจิดจ้าเหมือนกับจะบอกลาก่อนจะเคลื่อนตัวช้าๆลงไปในเหลี่ยมเขาไกลลิบ ฉันเฝ้าดูปรากฏการณ์นี้วันแล้ววันเล่าที่แล้วที่เล่าแต่ไม่เคยเบื่อหน่าย มันเป็นการลาจากที่ไม่ใช่การจากลา พรุ่งนี้เช้าพระอาทิตย์ดวงเดิมก็จะกลับมา กลับมาพร้อมแสงแดดอันอบอุ่นตอนเช้าและพลังอันร้อนแรงช่วงบ่ายและอ่อนแรงลงในช่วงค่ำ และฉันก็จะคอยเฝ้าดูพร้อมกับจักรยานคันเดิม.

Friday, November 21, 2014

A piece of art


The truth is you don't know what is going to happen tomorrow. Life is a crazy ride, and nothing is guaranteed. 



Life is like a piece of art,
It needs a genuine heart.
Choose your paint and your brush,
Take your time, avoid the rush.

Before you paint choose your theme,
Don't be afraid to follow your dream.
It's alright, to make a mistake,
Your painting is real, it's not fake.

Watch at your painting, don't be crying,
Try again, keep on trying.
Your painting will never be fully complete,
Enjoy the steps, make sure it's sweet 


 by Joeriz Josef M. Chu
(Baybay City, Leyte, Philippines) 


 

Sunday, November 9, 2014

Loy Kratong parade 2014, Chiangrai

Night portrait
Not my strongest suit....

The same with a few things in my life.... keep doing it even it's not the best.







 

Monday, October 13, 2014

บทสุดท้าย


  ฉันหยิบช่อดอกลาเวนเดอร์ช่อจิ๋วใส่ลงไปในถุงขยะสีดำใบโต มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เชื่อมสายใยระหว่างฉันกับเขา มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาหยิบยื่นให้ฉันขณะนี้มันได้ไปรวมกับอีกหลายๆสิ่งในถุงและกลายเป็นขยะที่ฉันพร้อมจะกำจัดออกไปจากชีวิต หลังจากที่ฉันได้ต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองมานานนับเดือน ความรู้สึกที่ต้องสูญเสีย ความรู้สึกว่างเปล่าในใจ ความรู้สึกโหยหา ฉันได้ไว้อาลัยให้กับมันเป็นเวลาอันควรแล้วและมันก็ถึงเวลาที่ฉันต้องหันกลับมาเผชิญกับความเป็นจริง

  มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งๆกับคนไหนๆมันก็ไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดลดน้อยลง หนึ่งคนจากฉันไปพร้อมกับละทิ้งบทเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาให้ฉันในยามที่รักของเราหวานชื่น คนหนึ่งจากไปด้วยภาพวาดเหมือนของฉันที่ฉันเคยเก็บรักษาไว้สองสามปีและได้โยนทิ้งไปในที่สุด บางคนบันทึกชื่อฉันไว้ในคำนิยามของหนังสือเล่มที่เขาเขียนและกลายเป็นหนึ่งในหนังสือขายดีของเขา และอีกหลายๆคนที่ฉันลืมเลือนไปในที่สุด

  มนุษย์ทุกคนเป็นเจ้าของหัวใจเพียงหนึ่งดวงนั่นก็คือหัวใจของตัวเอง ในบางครั้งเราอาจจะเผลอคิดไปว่าเราได้หัวใจดวงอื่นมาครอบครองแต่สุดท้ายเมื่อไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจเราคิด อย่างน้อยเราก็ยังเหลือหัวใจของตัวเอง หัวใจดวงที่เราต้องดูแลให้ดีที่สุด

 



Sunday, October 12, 2014

บทที่สิบสอง


  ฉันสะบัดปลายพู่กันให้สะเด็ดนำ้แล้วแต้มลงบนสีม่วงเข้มในจานสีปาดปลายพู่กันให้แบนเรียบกับขอบจานและบรรจงลากเป็นลายเส้นยาวพาดผ่านสีดำสนิทที่ลงเป็นพื้นหลังบนผ้าใบผืนใหญ่ แสงแดดยามบ่ายส่องทะลุผ่านต้นลีลาวดีใบดกที่แซมไปด้วยดอกสีเหลืองนวลพราวพร่างตกกระทบกับผืนผ้าใบและโต๊ะไม้สักตัวเก่าหน้ากระท่อมที่ฉันใช้เป็นสถานที่เขียนภาพ ลมอ่อนๆพัดผ่านมาทำให้ปอยผมฉันปลิวไหวๆกระทบใบหน้า นึกขึ้นได้ว่าคงต้องหาเวลาไปตัดเล็มผมที่ยาวจนเกือบจรดเอว ฉันไม่ใช่คนที่ขยันสระผมนักบางครั้งฉันสามารถอยู่กับมันได้เกือบอาทิตย์โดยไม่ได้ทำความสะอาดหรือดูแลแต่อย่างไร ครั้งหนึ่งในอดีตระหว่างที่เขากำลังบรรจงเป่าผมให้ฉันเขาเคยถามฉันว่า "คุณจะอยู่ได้ยังไง ถ้าไม่มีผมคอยเป่าผมให้คุณหลังจากคุณสระผมเสร็จ" ฉันหัวเราะขำๆใส่เขาพร้อมกับตอบเขาไปว่าฉันก็ไปใช้บริการร้านทำผม ซึ่งปกติฉันก็ทำแบบนั้นอยู่แล้ว ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรที่จะต้องจ่ายค่าบริการทำผม แต่ฉันรู้สึกใจหายที่จะไม่มีเขาคอยเป่าผมให้ฉันอีก... ตลอดไป

 ฉันเลือกที่จะเขียนภาพแนวแอพสแทรคเพื่อบันทึกเป็นความทรงจำระหว่างความสัมพันธ์ของฉันกับเขา แอพสแทรคที่เต็มไปด้วยสีโทนเข้ม เส้นสายที่ตัดพาดกันดูแข็งแรงและชัดเจนบ่งบอกถึงความเป็นตัวฉันและความเป็นตัวเขา นอกจากเส้นสีจากปลายพู่กันอีกส่วนหนึ่งฉันใช้เกรียงปาดสีมืดจัดตวัดเป็นวงกลมสองวงทับเส้นสายที่ลงไว้แล้ว วงกลมคือความเหมือนระหว่างฉันกับเขาแต่เป็นสองวงกลมที่แยกจากกัน ฉันจุ่มพู่กันลงในถังนำ้หลังจากลงวันที่กำกับไว้ใต้ภาพพร้อมกับเพ่งมองภาพเขียน มันจะถูกนำไปแขวนไว้ในที่ๆฉันจะได้เห็นทุกวัน มันจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความล้มเหลวของความเชื่อใจ มันจะคอยเตือนสติฉันในยามที่ฉันอ่อนไหว

  เสร็จจากภาพเขียนฉันยังนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับนำ้โซดาลอยมะนาวซีกเแก้วใหญ่ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลงของแจ็ค จอห์นสัน แนวเพลงฟังเล่นๆสบายๆ ฉันรู้สึกว่าจิตใจฉันสงบและเป็นสุขหลังจากที่ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันตั้งใจไว้





บทที่สิบเอ็ด


  "นอนคว่ำแขนแนบลำตัวนะคะ" หมอนวดหญิงวัยกลางคนกล่าวกับฉันเมื่อฉันเดินเข้าไปในร้านนวดริมถนนคนเดินในคืนวันเสาร์และบอกกับเธอว่าฉันต้องการนวดไหล่ หลัง และศีรษะ ฉันนอนคว่ำลงกับฟูกผืนบางหน้าอกเกยไว้กับหมอนยัดนุ่นใบเล็ก หน้าผากสัมผัสกับฟูกและพยายามจะผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจให้อยู่ณ.จุดศูนย์ หมอนวดปฏิบัติหน้าที่ของเธออย่างคล่องแคล่ว นิ้วแข็งแรงไล่บีบเค้นกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นหลังของฉันไล่จากตำ่ขึ้นสูงมาเรื่อยๆจนฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานร้อนจัดที่วิ่งผ่านต้นคอไปถึงปลายนิ้ว ฉันเองไม่ได้หลงไหลศาสตร์การนวดสักเท่าไหร่แต่สำหรับคืนนี้ฉันอยากให้ใครซักคนมาสัมผัสตัวฉัน มาเติมความอบอุ่น ความใกล้ชิดและพูดคุยใกล้ๆทำให้ตัวฉันไม่รู้สึกอ้างว้างเหมือนกับช่วงเวลาหลายๆเดือนที่ผ่านมา เสียงเพลงพื้นเมืองจากเสียงตามสายของทางเทศบาลดังอ้อยสร้อยเป็นแบคกราวด์เพิ่มความขลังให้ร้านนวดและร้านรวงอื่นๆที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ทำมือจากท้องถิ่น ฉันนอนหลับตาและปล่อยให้อารมณ์จมดิ่งลงไปในห้วงลึก ไม่มีเขา ไม่มีใคร ไม่มีรัก ไม่มีเกลียด มีแค่ร่างกายของฉันกับสัมผัสของหมอนวดข้างถนน....

  หลังเสร็จสิ้นการนวดฉันเดินข้ามถนนไปยังคาเฟ่เล็กๆหัวมุม นักร้องหนุ่มกำลังบรรเลงเพลงสากลหวานเจื้อยแจ้วคลอกับเสียงกีตาร์ที่ตัวเองเล่น ฉันนั่งลงตรงมุมมืดสุดพร้อมกับสั่งไวน์ขาวหนึ่งแก้ว หลังจากสั่งแล้วฉันจึงรู้ตัวว่าผิดวิสัยตัวเองที่เรียกหาไวน์ขาว ด้วยว่าตัวตนที่แท้จริงของฉันแล้วฉันดื่มเฉพาะไวน์แดง ไวน์ขาวมันคงเป็นความเคยชินและเป็นอิทธิพลจากเขา อดีตคนพิเศษของฉัน  ฉันปล่อยใจให้ดื่มด่ำไปกับบทเพลงและรสชาติละมุนของไวน์ ทุกคำร้อง ทุกบทเพลงซึมซาบเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจฉัน คงไม่มีครั้งไหนที่ฉันตั้งใจฟังเพลงเหมือนคืนนี้มันเหมือนกับว่าทุกคำของทุกเพลงมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน มันเป็นสิ่งที่ฉันเคยสัมผัสเคยกระทำ นักร้องหนุ่มเสียงดีหลายคนเปลี่ยนกันขึ้นมาร้องเพลงต่างแนวบนเวที มีหลายคนพยายามส่งสายตามาให้ฉัน ผู้หญิงเดี่ยวนั่งมุมมืด ฉันทำหน้าเรียบเฉยใส่พวกเขาแสดงให้รับรู้ว่าฉันมาเพื่อจะผ่อนคลาย นั่งดื่ม ฟังเพลง ไม่ได้สนใจที่จะมองหาใครหรืออยากคุยกับใคร

  หมดไวน์ไปสามแก้วฉันก็ยังนั่งอยู่มุมเดิม และฉันก็ค้นพบเกมส์ใหม่ๆ เกมส์ชีวิตที่น่าท้าทายและน่าหัวเราะเยาะกับการใช้ชีวิตคู่ ฉันสั่งไวน์แก้วที่สี่พร้อมกับหันไปมองรอบๆ ลูกค้าส่วนมากของที่นี่จะมาเป็นคู่และหากผู้หญิงลุกไปห้องนำ้ผู้ชายก็จะเริ่มสอดสายตามองไปทั่วคาเฟ่ พอฉันสบตาเขา เขาก็จะส่งสายตาท้าทายและเชิญชวนกลับมา พอผู้หญิงของเขากลับมาเขาก็จะกลับเป็นคนแสนดีของเธอเหมือนเดิม ฉันไม่ได้มองผิดหรือคิดไปเองเพราะฉันได้ลองถึงสามครั้งจากสามหนุ่มที่นั่งต่างมุมกันในคาเฟ่ ความรัก ความไว้ใจ ความศรัทธา สิ่งเหล่านั้นมันได้ตายไปจากฉันนานแล้ว จิตใจฉันคงกระด้างเกินไปจนกว่าที่จะยอมรับได้ว่าผู้ชายเหล่านั้นก็แค่"มอง" ผู้หญิงอื่นไม่ได้เจตนาจะเกินเลยไปกว่านั้น หวลคิดไปถึงเขาอดีตผู้ชายของฉัน จิตใจเขาคงแข็งแกร่งเกินไป เกินกว่าจะให้โอกาส "เรา" อีกครั้ง


Friday, October 10, 2014

บทที่สิบ


  จักรยานเสือภูเขาสีดำคันเก่งพาร่างฉันทะยานฝ่าลมหนาวไปตามถนนเส้นเล็กคดเคี้ยวที่ทอดผ่านทุ่งหน้ากว้างใหญ่จรดไปถึงเทือกเขาไกลลิบตา กลิ่นหอมของรวงข้างออกใหม่แผ่กระจายไปทั่วทุ่ง สีเขียวจัดของนาข้าวทำให้ทุ่งนาดูแลมีมนต์ขลังและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ฉันชลอความเร็วลงพร้อมกับสูดหายใจลึกๆ นึกอยากให้มีคนผลิตนำ้หอมกลิ่นรวงข้าวออกใหม่มาขายฉันคงเป็นหนึ่งในลูกค้าประจำแน่นอน นอกจากกลิ่นหอมจากทุ่งนายังมีอีกหนึ่งกลิ่นหอมที่แทรกเข้ามาฉันพยายามมองหาที่มาจนในที่สุดก็เจอต้นตีนเป็ดต้นเล็กๆขึ้นแซมระหว่างคันนา ดอกตีนเป็ดช่อสีขาวเล็กส่งกลิ่นหอมฉุนหากเข้าไปสูดกลิ่นใกล้ๆแต่จากระยะไกลผสมกลิ่นรวงข้าวมันกลับทำให้เกิดกลิ่นที่น่าเย้ายวนไม่แพ้นำ้หอมชื่อดังราคาสูง อดคิดไปถึงผู้ชายในอดีตของฉันไม่ได้ เขามักจะทำหน้าขำๆทุกครั้งที่เห็นฉันซื้อนำ้หอมขวดเล็กราคาแพงลิ่วจากร้านดิวตี้ฟรีที่สนามบิน "คุณต้องเก็บเงินนานเท่าไหร่ถึงจะซื้อมันได้น่ะตัวเล็ก" ฉันบอกเขาไปว่ามันเป็นอารมณ์ของผู้หญิง สิ่งที่ผู้หญิงรักและชอบไม่ว่ามันจะถูกหรือแพงจะลำบากหรือง่ายดายผู้หญิงก็ต้องขวนขวายให้ได้มา เขาทำหน้าประหลาดกับคำตอบของฉันแต่จากนั้นอีกไม่กี่เดือนเขาก็ยื่นถุงกระดาษใบเล็กจากดิวตี้ฟรีส่งให้ฉัน ถุงกระดาษที่บรรจุนำ้หอมยี่ห้อที่ฉันใช้มานานนับสิบปี

   ฉันออกแรงในการปั่นจักรยานเพิ่มมากขึ้นและพยายามสลัดความคิดเรื่องเขาออกจากสมองของฉันแต่ดูเหมือนว่ามันจะไร้ผลในวันนี้ ภาพเก่าๆกลับเข้ามาในหัวของฉัน ภาพที่เราปั่นจักรยานขึ้นลงเขาในนอร์ทเวสท์ ภาพที่เขาจอดจักรยานรอฉันอยู่บนเนินเขาเพราะฉันหมดแรงปั่นจนต้องจูงขึ้นเนิน ภาพเขาหัวเราะทุกครั้งที่เห็นฉันลงจูงจักรยาน ภาพเขายื่นหมวกนิรภัยจักรยานใบใหม่ให้ฉันในวันที่ฉันยอมไปปั่นจักรยานกับเขา ความคิดถึงเขามาสะดุดที่นอกจากฉันแล้วมีผู้หญิงอีกกี่คนที่เขาเคยยื่นหมวกให้ หนึ่งในนั้นมันคงรวมถึงผู้หญิงเวียดนามของเขา

  ฉันชะลอความเร็วลงและจอดจักรยานไกล้กับแม่นำ้สายเล็กๆริมทาง พิงจักรยานไว้กับต้นชงโคที่กำลังออกดอกสีชมพูหวานเต็มต้น ทรุดตัวลงนั่งพิงอีกด้านหนึ่งของต้นชงโคหลับตาลงพร้อมกับหายใจเข้าออกลึกๆ ฉันคงใช้เวลาและระยะทางมากเกินไปกับการปั่นจักรยานวันนี้ เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงบ่ายค่อน ลมหนาวพัดผ่านไอแดดมากระทบตัวฉันมันทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ อบอุ่นแต่เย็นยะเยือก ฉันลืมตาขึ้นมองท้องฟ้าสีเข้มจัดที่ตัดกันสีชมพูหวานจากกลีบดอกเรียวแหลมของดอกชงโค ฉันชอบฤดูหนาวของภาคเหนือ ฉันชอบซุกตัวอยู่ในผ้าห่มลายดอกโบตั๋นหนานุ่มที่ฉันซื้อหามาจากประเทศจีน ฉันชอบใส่รองเท้าบู้ทคู่โปรดเดินไปมาในห้อง ชอบถ่ายรูปดอกไม้สวยๆแปลกตาที่ออกดอกเฉพาะหน้าหนาว และฉันก็ชอบที่จะมีเขาเคียงข้างในวันที่เหน็บหนาว
 



Thursday, October 9, 2014

บทที่เก้า


   สี่วันในฮานอยของฉันหมดไปกับการนอนวันละไม่ตำ่กว่าสิบสี่ชั่วโมง ดูเหมือนว่าร่างกายฉันกำลังเรียกร้องให้ทดแทนหลังจากที่นานนับเดือนฉันนอนหลับๆตื่นๆและทุกครั้งที่เหมือนจะเคลิ้มหลับลงก็เต็มไปด้วยฝันร้ายจนไรผมและหลังเปียกโชกทุกคืน เมื่อร่างกายเรียกร้องหาอาหารฉันก็เดินออกมาจากที่พักไปแค่ไม่กี่ก้าวเพื่อกินเฝอหนึ่งถ้วยจากนั้นก็ข้ามถนนไปนั่งดื่มที่คาเฟ่เล็กๆหัวมุมถนน ฉันเลือกที่จะนั่งข้างนอกถึงแม้อากาศจะหนาวเย็นและเต็มไปด้วยควันบุหรี่จากโต๊ะข้างเคียง เสื้อแขนยาวตัวหนานุ่มที่ฉันสวมใส่บวกกับผ้าพันคอผืนโตและฤทธิ์เดชของชานำ้ผึ้งมะนาวแก้วโตควันกรุ่นทำให้ร่างกายและจิตใจฉันรู้สึกอบอุ่นและสงบ ผู้คนที่สัญจรบนถนนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เสียงแตรรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ดังอยู่ไม่ขาดสาย แม่ค้าหลายคนหาบสินค้าเดินขวักไขว่ไปมา ดอกไม้สีสวยๆแปลกตา ส้อโอมือรูปร่างหงิงงอน่าพิสวง ขนมกรุบกรอบเครือบนำ้ตาลขึ้นเงาแลดูน่ากิน หลายๆคนหาบแห้วดิบที่มีทั้งแบบปอกเปลือกและไม่ปอกเปลือก ฉันอุดหนุนแห้วจากแม่ค้าคนหนึ่งสองสามครั้ง ทุกครั้งที่เธอเห็นฉันเธอจะรี่เข้ามาหาพร้อมกับยื่นแห้วที่ปอกแล้วสองสามลูกให้ รอยยิ้มกว้างดูจริงใจของเธอทำให้ฉันอดจะซื้อสินค้าของเธอไม่ได้ หนุ่มน้อยพนักงานคาเฟ่เอื้อมมือมาหยิบถ้วยชาที่ว่างเปล่าของฉันกลับไปหลังเคาท์เตอร์และกลับมาใหม่พร้อมกับชาถ้วยใหม่ ฉันเงยหน้าขึ้นมองเพราะไม่ได้สั่งถ้วยใหม่ หนุ่มน้อยพยักหน้าไปยังมุมหนึ่งของคาเฟ่ให้ฉันมองตาม ชายร่างสูงผิวขาวจัดแต่งกายในชุดทำงานเรียบร้อยพร้อมสูทรสีเข้มยกแก้วเบียร์ชูขึ้นมองตรงสบตาฉัน ฉันยกถ้วยชาขึ้นพร้อมกับทำปากขมุบขมิบขอบคุณ หมดชาถ้วยที่สองฉันเรียกพนักงานมาคิดเงินพร้อมทั้งจ่ายเพิ่มเป็นค่าเบียร์ตอบแทนให้เจ้าของชาถ้วยที่สอง ฉันลุกขึ้นยืนสะพายกล้องแนบลำตัวและเดินออกจากคาเฟ่โดยไม่หันกลับมามองข้างหลัง ฉันยังไม่อยากพูดคุยสนทนากับใครทั้งนั้น ฉันแค่อยากอยู่กับตัวฉันเอง

   ตอนเย็นวันที่สี่ฉันตัดสินใจเก็บสัมภาระเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมพร้อมทั้งจองตั๋วรถไฟรอบสามทุ่มไปซาปาเมืองที่ฉันรักอีกหนึ่งเมือง ซาปาเมืองแห่งหุบเขาและบ้านของม้งดำ เมืองที่ฉันเคยกินนอนอยู่นับเดือนตอนที่มาถ่ายรูปและเก็บข้อมูลกับนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังของยุโรปหลายๆปีก่อน  เมืองที่ฉันและตากล้องมือโปรคนหนึ่งได้นั่งคุยกันข้างเตาผิงกับไวน์แดงรสดีว่าเราเกิดมาเพื่อกันและกันแต่ท้ายสุดเราก็แค่เกิดมาเพื่อกันและกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ.... รถไฟเคลื่อนที่ออกจากฮานอยช้าๆ ผ่านตึกเล็กๆแคบๆแต่สูงเสียดที่เรียงเป็นแถวยาวและทิ้งช่วงเป็นบ้านเดี่ยวจนท้ายสุดเหลือแค่ทุ่งนากว้างสุดตา แสงสว่างจากดวงไฟข้างทางลดน้อยไปเรื่อยๆจนในที่สุดความมืดก็เข้ามาแทนที่ ฉันนอนขดตัวอยู่บนเตียงนอนรถไฟชั้นบน เสียงรถไฟดังเป็นจังหวะเข้าหูฉันเหมือนกับพยายามขับกล่อมฉันให้หลับไหลไปกับคำ่คืนอันมืดมิด ฉันผ่อนหายไจยาวๆหลับตาลงและจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งนิทรา


   เสียงเคาะประตูเคบินปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมา กดดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือบอกว่าเป็นเวลาตีห้า รถไฟคงไกล้จะถึงลาวไกเมืองที่ฉันต้องลงและต่อรถไปยังซาปาแล้ว ฉันขี้เกียจเกินกว่าจะไปล้างหน้าแปรงฟันทำธุระส่วนตัวในห้องนำ้รถไฟแคบๆเหม็นๆจึงได้แต่นั่งรอจนรถไฟหยุดลงช้าๆที่สถานีลาวไก ใช้เวลาไม่กี่นาทีฉันก็พาตัวเองมานั่งบนรถตู้คันเล็กที่พาฉันลัดเลาะไปตามถนนแคบๆขึ้นเขาลงเขาร่วมครึ่งชั่วโมงและสุดท้ายฉันก็มายืนอยู่หน้าโบสถ์เล็กๆกลางเมืองซาปา หญิงชาวม้งดำในชุดประจำเผ่าเดินขวักไขว่ไปมาบนถนน บนหลังของพวกเขามีเด็กทารกตัวน้อยนอนขดตัวอยู่ในผ้าคาดสีดำดูน่ารักน่าทนุถนอมเหมือนดักแด้ตัวโต แสงแดดอ่อนๆยามเช้าอบอุ่นนักจนฉันอดไม่ได้ที่จะนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กหลับตาลงปล่อยให้ไอแดดโลมเลียร่างกายพร้อมกับปล่อยใจให้ว่างเปล่า 


  สามวันเต็มๆในซาปาฉันใช้เวลาไปกับการถ่ายภาพผู้คน และทิวทัศน์ของนาขั้นบันไดที่กำลังเขียวขจี ฉันเก็บภาพสาวม้งดำที่กำลังหัวเราะเต็มที่โชว์ฟันทองสองมุมปาก ภาพเด็กตัวเล็กๆแบกตะกร้าใบจิ๋วบรรจุฟืนเดินขึ้นลงเขาเหมือนกับตะกร้านั้นไร้ซึ่งนำ้หนัก ภาพของสองพ่อลูกที่ช่วยกันจับลูกเป็ดสีเหลืองนวลลงตะกร้าไม้ไผ่สาน ฉันใช้เวลาอีกหลายๆชั่วโมงต่อวันในการเดินจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งผ่านกระท่อมหลังโย้ที่มีควันไฟลอดออกมาจากหลังคา ผ่านแม่นำ้สายเล็กๆที่คดเคี้ยว ผ่านทุ่งนา ผ่านกลุ่มเด็กๆที่โบกมือทักทาย ตอนคำ่ฉันกลับเข้าที่พักและหมกตัวอยู่ข้างเตาผิงเช็ครูปที่ฉันบันทึกลงในกล้อง จนดึกดื่นค่อนคืนและหลับไหลไปกับแก้วไวน์ในมือ ตื่นมาอีกวันฉันก็ทำเหมือนเดิม ออกเดินสำรวจตามหมู่บ้านมองหาจุดสวยๆสำหรับถ่ายรูป ซื้อขนมติดมือไปฝากเด็กๆตามรายทาง นั่งดื่มชาและมองผู้คนเดินผ่านไปมา บางครั้งฉันยังเห็นเขา ผู้ชายตัวโตคนที่ฉันผูกพันธ์ คนที่คอยดูแลฉันมานานปี คนที่เคยชงกาแฟถ้วยโตให้ฉันในตอนเช้าเดินปะปนกับผู้ที่นี่ บางครั้งฉันยังสัมผัสได้ถึงไออุ่นของเขาข้างๆกายฉัน และบางครั้งฉันก็ยังแอบคิดถึงเขา



Wednesday, October 8, 2014

บทที่แปด


  "Enjoy your stay Miss." เสียงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสนามบินนอยไบกล่าวหลังจากยื่นพาสปอร์ตส่งคืนให้ฉัน ฉันตอบขอบคุณและเดินฝ่านักท่องเที่ยวชาวจีนนับสิบคนที่ยืนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวออกไปยังประตูทางออก เป้ใบเก่าที่ผ่านร้อนหนาวมานับร้อยทริปยังทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์อยู่บนแผ่นหลังของฉัน เสื้อสี่ห้าตัว กางเกงอีกสองตัว ผ้าพันคอผืนโต ชุดชั้นและของใช้ส่วนตัวอีกไม่กี่ชิ้นถูกบรรจุอยู่ในนั้นและตบท้ายด้วยกล้องถ่ายรูปตัวที่เบาที่สุดที่ฉันเป็นเจ้าของ กระเป๋าใบนี้มันจะบรรจุชีวิตทั้งชีวิตของฉันไว้ในเวลาแปดวันที่ฉันจะใช้ชีวิตในเวียดนาม หลังจากที่ฉันรู้สึกตัวว่าทั้งร่างกายและจิตใจมีพลังพอที่จะเผชิญกับโลกได้ฉันตัดสินใจที่จะไปไหนซักที่หนึ่งไปให้ไกลจากที่ๆเคยอยู่ ไปให้ไกลจากทุกสิ่งทุกอย่างที่คุ้นเคย และไปให้ไกลจากความคิดเดิมๆที่ยังมีเขาคอยวนเวียนหลอกหลอน ความโชคดีในความโชคร้ายฉันไม่ได้เหลือเงินมากมายนักสำหรับการท่องเที่ยวในปีนี้ ตัวเลือกจึงมีอยู่ไม่กี่ตัวและฉันก็ตัดสินใจเลือกเวียดนามเพราะค่าตั๋วเครื่องบินอยู่ในช่วงโปรโมชั่นและค่าโรงแรมก็ไม่ได้แพงอะไรแต่ฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับประเทศที่ "เขา" ผู้ชายคนนั้นก็มาเยี่ยมเยือนบ่อยๆด้วยเหตุว่าผู้หญิงอีกคนหนึ่งของเขาก็เป็นคนที่นี่ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า "นี่กระมัง หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง"

  ฉันเดินออกมาจากตัวอาคารสนามบินและเลี้ยวขวาเดินต่อไปจนสุดทางเพื่อที่จะขึ้นรถโดยสารประจำทางไปในตัวเมืองฮานอย ฉันคุ้นเคยฮานอยดีเพราะเคยมาที่นี่นับสิบครั้งจึงไม่ได้ยากเย็นสำหรับฉันในการเดินทาง รถเมล์โดยสารเก่าๆที่ผู้โดยสารทั้งหมดเป็นชาวเวียดนามยกเว้นฉันคนเดียวเคลื่อนตัวออกจากท้ายสนามบินช้าๆ พนักงานประจำรถเดินเก็บค่าโดยสารมาจากด้านหลังสุดจนมาหยุดที่ฉันซึ่งนั่งอยู่หน้าสุด ฉันบอกเขาว่าฉันต้องการลงป้ายสุดท้ายซึ่งไม่ไกลจากโอลด์ควอร์ทเตอร์จุดที่ฉันได้จองห้องพักไว้พร้อมกับยื่นค่าโดยสารให้ พนักงานหนุ่มน้อยประจำรถยิ้มกว้างให้ฉันพร้อมกับชี้มาที่ฉันและเอ่ยว่า "เวียด" ฉันสั่นหัวให้เขาและตอบกลับว่า "No" ความเจ็บปวดระรอกแรกเริ่มโหมเข้ามา คนไทยและคนเวียดนามมีหลายอย่างคล้ายกันนี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาถึงมีฉันและมีผู้หญิงชาวเวียดนามอีกหนึ่งคน... รถแล่นเข้าสู่ตัวเมืองช้าๆ ละอองฝนปลิวเข้ามาในรถกระทบผิวหน้าฉัน อากาศในฮานอยค่อนข้างเย็นจนฉันต้องล้วงผ้าพันคอออกมาจากเป้และห่มคลุมตัวเองให้พ้นจากไอหนาว แขนสองข้างของฉันกอดเป้ใบเล็กไว้แนบอกเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ผู้คนสองข้างทางเดินเบียดกันอยู่บนทางเท้า ผู้หญิงเวียดนามตัวเล็กใส่ชุดประจำชาติเห็นผมยาวเฟื้อยที่ลอดออกมาจากหมวกทรงแหลมที่สวมอยู่ชั่งน่าดูนัก ฉันเองเป็นผู้หญิงเหมือนกันยังอดชื่นชมไม่ได้ เขาเองก็คงคิดเช่นเดียวกับฉัน เขาไม่ได้ผิดอะไรที่จะรักจะชอบกับผู้หญิงที่นี่แต่เขาผิดตรงที่เขาไม่ควรปิดบังฉัน เขาผิด ผิดอย่างมหันต์

   รถจอดสนิทที่ป้ายสุดท้าย ฉันเดินจากรถช้าๆข้ามไปอีกฟากหนึ่งของถนนและลัดเลาะไปเรื่อยๆผ่านหาบแม่ค้าที่ขายอาหารประเภทเฝอและปิ้งย่าง กลิ่นอาหารกลิ่นควันไฟตลออบอวนไปทั่วถนนและมันเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆเดือนที่ฉันรู้สึกหิว ฉันปลดเป้ออกจากบ่าพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆหน้าหาบแม่ค้าสั่งอาหารโดยการชี้นั่นนี่และสุดท้ายฉันก็ได้เฝอถ้วยโตมาดับความหิวพร้อมทั้งเบียร์ฮานอยขวดเล็ก จัดการเรื่องปากท้องเสร็จฉันพาตัวเองเข้ามาในห้องพัก มันเป็นห้องที่เล็กที่สุดเท่าที่ทางโรงแรมมีอยู่และฉันเองเป็นคนเลือกห้องนี้เพราะไม่อยากอยู่ในห้องใหญ่ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลง ฉันเปิดนำ้อุ่นจัดราดลงบนตัวเองเหมือนกับจะพยายามกระตุ้นให้ทั้งร่างกายและหัวใจอุ่นขึ้นมาหลังจากที่มันเย็นยะเยือกมานานนับเดือน หลังจากการอาบนำ้ที่ยาวนานฉันสอดตัวเองในผ้าห่มผืนโตและนี่เป็นคืนแรกที่ฉันหลับได้อย่างง่ายดายและยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ฉันตัดสินใจที่จะไม่มีเขาในชีวิต
 
 มีคนพูดไว้ว่า ผู้หญิงกับผู้ชายถ้าอกหักแล้วออกเดินทาง ผู้ชายก็แค่เปลี่ยนสถานที่กินเหล้า แต่ผู้หญิงเปลี่ยนสถานที่ร้องไห้ ฉันว่ามันไม่จริงสักเท่าไหร่ อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ร้องไห้ หรืออาจจะเป็นเพราะฉันไม่ได้อกหัก ฉันแค่เสียใจ เสียความรู้สึกดีๆที่เคยมี และสุดท้ายก็ตัดสินใจเสียเขาไป


Tuesday, October 7, 2014

บทที่เจ็ด


    ลมหนาวพัดพาความเย็นเยือกผ่านช่องหน้าต่างบานเล็กเข้ามาสู่กระท่อมหลังที่ฉันพักพิงอยู่ ต้นเดือนตุลาคมแต่ดูเหมือนว่าปีนี้ฤดูหนาวจะมาเยือนทางเหนือของประเทศไทยเร็วกว่าปกติ ฉันขยับตัวจากใต้ผ้าห่มผืนนุ่มเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน พลางนึกถามตัวเองว่าเป็นเวลากี่ชั่วโมงหรือว่ากี่วันหรือกี่อาทิตย์ที่ฉันหมกตัวเองอยู่บนเตียง ความเจ็บปวดในดวงใจดูเหมือนไม่มีท่าทางจะทุเลาเบาบางลง ทุกครั้งที่ฉันหลับตาลงภาพในอดีตยังคงตามมาหลอกหลอน ภาพแห่งความสุขที่ฉันกับเขาเคยมีร่วมกัน เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม คำพูดบางประโยคและบางครั้งฉันยังสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากกายเขา ฉันไม่เคยคิดว่าความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขามันจะลึกซึ้งถึงขนาดนี้เพราะเราไม่เคยใช้คำว่ารักต่อกัน ฉันไม่เคยบอกรักเขา เขาเองก็ไม่เคยพูดคำนั้นกับฉัน ฉันเคยแค่พูดในแนวที่ว่าให้เราแค่ซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่โกหก ไม่มีคนอื่นในขณะที่เรายังมีกันและกัน ส่วนที่เหลือที่เรามีต่อกันมันคือความใส่ใจ ดูแลซึ่งกันและกัน ฉันพึ่งรู้ถึงความงี่เง่าของตัวเองเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันพังทลายลง ความเชื่อใจ ความศรัทธา กับผู้ชายหนึ่งคน
    หลังจากที่ฉันได้อ่านเมล์ฉบับนั้นฉันก็ลบมันทิ้งและพยายามลบทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างใจคิด ฉันคงเงียบไปหลายวันเขาจึงพยายามติดต่อมา ข้อความ เมล์ โทรศัพท์ ฉันไม่พร้อมที่จะติดต่อกับเขาไม่ว่าทางใดๆทั้งสิ้น สุดท้ายฉันทนเสียงรบกวนเหล่านั้นไม่ไหวจึงคุ้ยเมล์ฉบับที่ฉันลบทิ้งไปแล้วมาส่งกลับไปให้เขาพร้อมกับบอกให้เขาหายไปจากชีวิตฉัน ปลายทางดูเหมือนจะเงียบไปหลายวันและในที่สุดก็มีข้อความกลับมาว่า "ผมไม่เคยโกหกคุณ ผมไม่เคยมีคนอื่นนอกจากคุณในขณะที่เรามีความสัมพันธ์กัน" ฉันจำได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆวันที่ฉันหัวเราะ หัวเราะกับข้อความงี่เง่าของผู้ชายเลวๆคนหนึ่งระหว่างที่ฉันหัวเราะก็มีหยดนำ้ตาไหลลงมากระทบแก้มฉัน มันเป็นนำ้ตาหยดแรกที่ไหลออกมาตั้งแต่ฉันได้อ่านเมล์ฉบับนั้นและฉันก็ได้สัญญาว่ามันจะเป็นแค่หยดเดียวที่ฉันสังเวยให้กับความรู้สึกที่มีต่อเขา
    ฉันดึงผ้าห่มเข้ามากระชับแนบอกอีกครั้ง ความเย็นที่แทรกตัวเข้ามาในกระท่อมบวกกับความเจ็บหน่วงในใจทำให้ฉันไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับตัวไปไหน อยากจะนอนอยู่อย่างนี้ไปนานๆ นานจนกว่าจะมีแดดอุ่นๆมากระทบตัวและอุ่นร่างกายรวมไปถึงหัวใจของฉันให้มันแข็งแกร่งดังเดิม ฉันเฝ้าบอกตัวเองว่า วันนี้ฉันเหนื่อยฉันแค่นอนพักให้หายเหนื่อย เมื่อฉันหายเหนื่อยแลัวฉันจะลุกขึ้นมาใหม่พร้อมจะใช้ชีวิตต่อไปในแบบที่ฉันต้องการ เขาก็เป็นแค่บทเรียนบทหนึ่ง เป็นแค่อุปสรรคในชีวิตช่วงหนึ่ง แล้วมันก็จะผ่านไป....


Monday, October 6, 2014

บทที่หก



    "ที่รักของผม อีกไม่กี่อาทิตย์เราก็จะได้เจอกัน ผมจัดเตรียมอุปกรณ์การแพทย์สำหรับโรงพยาบาลดานังไว้เรียบร้อยแล้วและหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อคนป่วยในโรงพยาบาลบ้านเกิดของคุณ ผมคิดถึงคุณนึกถึงวันที่เราปั่นจักรยานด้วยกันที่เว้ นึกถึงวันที่เราเดินเล่นบนหาดทรายที่ดานัง นึกถึงผมยาวสลวยของคุณยามถูกลมพัดสยาย จะกอดคุณให้สาสมใจที่สนามบินในวันที่คุณมารับผมอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า........"
  ฉันอ่านอีเมล์นั้นด้วยสายตาที่พร่ามัว ร่างทั้งร่างดูเหมือนจะหมดสิ้นซึ่งความรู้สึกไปชั่วขณะ หัวใจฉันเหมือนโดนมีดเล่มเล็กกรีดเป็นริ้วๆทั้งแนวนอนและแนวขวาง ความเจ็บปวดมันมากมายจนทำให้ฉันรู้สึกถึงความหน่วงชาในทุกจังหวะเต้นของหัวใจ อีเมล์จากเขาผู้ชายที่ฉันเลือกให้มาอยู่แนบชิดหัวใจฉันมากกว่าใครๆ ผู้ชายคนที่คอยดูแลห่วงใยฉันมานานนับปี ผู้ชายคนที่ฉันคิดไว้ว่าถ้าจะเลือกใครซักคนเป็นคู่ชีวิตก็จะต้องเป็นเขา ผู้ชายคนที่ฉันไว้ใจที่สุดและคิดว่าดีที่สุดสำหรับฉัน
  หลายอาทิตย์ก่อนก่อนที่เราจะลาจากกันที่นอร์ทเวสท์เขาบอกกับฉันว่าเขาต้องเดินทางมาเวียดนามหนึ่งอาทิตย์เพื่อมาเลคเชอร์นักศึกษาแพทย์ที่เมืองดานัง ฉันเห็นเขาง่วนอยู่กับการสั่งอุปกรณ์การแพทย์หลายๆอย่างเพื่อใช้ประกอบคำบรรยาย ฉันยังอดชื่นชมกับความมีนำ้ใจของเขาไม่ได้เพราะรู้ว่าเขาทำโดยไม่มีค่าตอบแทนใดๆ เขาบอกฉันว่าถ้าพอมีเวลาเหลือเขาจะแวะมาหาฉันที่เมืองไทย ฉันไม่ได้ตอบเขาเพราะรู้ดีว่าฉันเองก็คงยุ่งๆอยู่กับงานของตัวเอง และเขาเองก็เดินทางไปเวียดนามอยู่บ่อยๆโดยที่ไม่ได้แวะมาเยี่ยมเยียนฉัน
  ภาพหลายๆภาพย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของฉัน ภาพเขาชงกาแฟแก้วแรกของวันให้ฉัน ภาพที่เขาบรรจงผูกสายรองเท้าให้ฉันระหว่างที่ฉันง่วนอยู่กับการถ่ายภาพ ภาพของเขายื่นแก้วไวน์ใบโตที่มีไวน์ขาวรสหวานจัดที่ฉันชอบให้พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง และภาพสุดท้ายเค้กช้อคโกแลตก้อนโตในวันเกิดของฉัน ฉันกระพริบตาอีกสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเมล์ที่อยู่ในกล่องรับของฉันได้ถูกส่งมาจากเขาจริง ความเจ็บหน่วงในใจยังไม่ทุเลาแม้ว่าเวลาจะผ่านไปร่วมชั่วโมง อีเมล์ข้างหน้าฉันมันเป็นเรื่องจริงเพียงแต่ว่ามันถูกส่งมาให้ผิดคน มันควรจะถูกส่งไปยังผู้หญิงของเขา หรือจะเรียกให้ถูกว่าผู้หญิงอีกคนหนึ่ง....ของเขา


Saturday, October 4, 2014

บทที่ห้า

    บทที่ห้า

    เสื้อตัวสุดท้ายถูกเก็บใส่กระเป๋าเดินทางสีดำใบย่อมและหลังจากตรวจสอบจน แน่ใจว่าไม่ได้หลงลืมอะไรไว้ข้างหลังแล้วฉันก็รูดซิบกระเป๋าและลากไปพิงไว้ มุมห้องด้านหนึ่ง อีกหลายชั่วโมงกว่ารถแทกซี่ที่นัดไว้จะมารับฉันไปส่งยังสนามบิน ละอองฝนบางๆปลิวมากระทบหน้าต่างทำให้ทิวทัศน์ข้างนอกดูบิดเบี้ยวตามการหักเห ของแสง วันสีเทาของนอร์ทเวสท์ได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่สองคืนก่อนนับจากนี้จนถึง เดือนมีนาคมก็จะมีแต่ฝนและท้องฟ้าสีเทา ฉันทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุสีเข้มตัวหนานุ่มที่ทางโรงแรมได้จัดวางไว้ในมุม ที่แสงจากธรรมชาติสามารถสาดเข้ามาได้มากที่สุด โรงแรมที่พักเป็นโรงแรมขนาดใหญ่อยู่ในกลุ่มของสตาร์วูดที่มีโรงแรมชื่อดัง หลายๆโรงแรมร่วมในเครือและมีสาขาอยู่ทั่วโลก ค่าห้องพักสูงลิบหากต้องจ่ายด้วยเงินแต่ลูกค้าส่วนมากก็จะเป็นเมมเบอร์และ ใช้วิธีการสะสมแต้มและเดินทางในรูปแบบของตัวแทนบริษัท เช่นเดียวกับฉันที่เป็นเมมเบอร์มานับสิบปีและจองห้องด้วยการใช้ชื่อบริษัท เล็กๆที่ตัวเองเป็นเจ้าของอยู่บวกกับใช้แต้มสะสมที่มีอยู่มาเป็นส่วนจ่าย กว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ ฉันเลือกที่นี่เพราะอยู่กลางเมืองสะดวกสำหรับงานที่มาติดต่อและเดินเที่ยวใน ช่วงเวลาที่เหลือ จากสภาพอากาศขณะนี้ฉันตัดสินใจที่จะไม่ออกไปเดินเล่นรอเวลาขึ้นเครื่อง เหมือนที่คิดเอาไว้แต่แรก ละอองฝนเย็นๆบรรยากาศมัวๆมันไม่ใช่สิ่งที่ฉันโปรดปรานนัก
    ฉันหยิบไอแพดขึ้นมาคิดว่าจะร่างงานที่ต้องสะสางในวันรุ่งขึ้นที่ไทยแต่ฉันก็ ขี้เกียจเกินกว่าจะทำงานใดๆได้ นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ ไออุ่นของคนตัวใหญ่ยังกรุ่นๆอยู่แนบกายฉัน ในอุ้งจมูกยังได้กลิ่นของดอกลาเวนเดอร์ในสวนหลังบ้านเขา หูยังได้ยินเสียงแว่วๆถึงบทลาจาก "ผมคงคิดถึงคุณมากถ้าคุณกลับไป" ฉันเกลียดการลาจาก ฉันเกลียดการพิรี้พิไรที่สนามบิน ฉันไม่ใช่ฮีโร่ในเรื่องของการควบคุมความรู้สึก ฉันดีใจที่เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับฉัน "หมอคนใหม่ขอร้องให้ผมช่วยหาที่พักให้ อพาร์ทเมนต์ที่ไปติดต่อไว้เขานัดดูห้องในวันเดียวกับที่คุณบินกลับ ผมส่งคุณที่สนามบินเสร็จผมจะไปรับหมอริตาและเลยไปดูกัน" ฉันปฏิเสธข้อเสนอและขอให้เขาตรงไปรับหมอริตาส่วนฉันสะดวกมากกว่าที่จะเรียก แท็กซี่และจากลาไปอย่างเงียบๆเพียงลำพัง ย้อนนึกไปถึงความสัมพันธ์ของฉันกับเขาอีกครั้ง ความรู้สึกที่ลึกซึ้งเหนียวแน่นแต่ก็แฝงไปด้วยเส้นใยอันเปราะบางที่เสมือน กับพร้อมจะขาดสะบั้นได้ในทุกๆวินาทีและก็พร้อมที่จะกลับมาหล่อหลอมเป็นเนื้อ เดียวกันอีกในเวลาชั่วพริบตา ภาพของคนตัวโตเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับกล่องสีขาวใบใหญ่ในมือเมื่อหลายวัน ก่อน รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าพร้อมกับดวงตาพราวระยับเหมือนกับมีดาวนับร้อยดวงกำลัง เต้นระบำอยู่ในนั้น "Happy birthday" เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นกล่องใบนั้นมาให้ฉัน กล่องที่ประทับตราร้านเบเกอร์รี่ชื่อดังในเมืองนี้ ฉันพูดขอบคุณเขาเบาๆและบรรจงวางกล่องลงบนโต๊ะ แกะฝาด้านบนกล่องออกช้าๆเผยให้เห็นเนื้อใน เค้กช้อคโกแลตก้อนโตมีดอกไม้สดแสนสวยวางประดับอยู่บนหน้าเป็นดอกไม้ที่ฉัน เคยพูดไว้คราวที่เราเดินเล่นด้วยกันกลางทุ่งหญ้าที่ไหนซักแห่งว่ามันเหมาะสม จะอยู่บนเค้กช้อกโกแลตมากกว่าอยู่กลางทุ่งหญ้าแห่งนั้น ฉันอดตื้นตันในความใส่ใจของเขาไม่ได้ซึ่งแม้แต่ตัวฉันเองบางครั้งก็ลืมแม้ กระทั่งวันเกิดตัวเองหรือไม่ก็พยายามเลี่ยงไม่ใส่ใจ
    นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเตือนเวลาที่รถจะมารับไปสนาม บิน ฉันตรวจเช็คดูข้าวของอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูส่งกระเป๋าให้พนักงานที่ยืนรอ อยู่แล้วนำกระเป๋าลงไปชั้นล่างและจัดเก็บให้เรียบร้อยในรถแท็กซี่คันที่รอ อยู่ ใช้เวลาอีกไม่กี่นาทีสำหรับการเช็คเอาท์ทุกอย่างก็เสร็จสิ้น รถเคลื่อนออกไปช้าๆฉันทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง บรรยากาศมัวๆ ฝนปรอยๆ กลิ่นลาเวนเดอร์กรุ่นๆ และ เขา....


Friday, September 26, 2014

My heart


        

 

   My heart finally said

 

    " ENOUGH IS ENOUGH "




Monday, September 22, 2014

Classic USA Road Trip September 2014. The images






















Chapter 4


   แสงแดด ยามเช้ากระจายไออุ่นผ่านเข้ามาถึงเก้าอี้บุหนังหนานิ่มตัวโตที่ฉันนั่งอยู่ มองออกไปข้างนอกเห็นนกตัวเล็กสองสามตัวจิกกินผลองุ่นที่เถาเลื้อยขึ้นมาถึง ระเบียงหลังบ้าน ถัดจากเถาองุ่นเป็นเถากี่วี่กิ่งก้านอวบอ้วนแต่ไม่เคยออกลูกมาใหัเชย ชมสักครั้งไม่ว่าจะกี่ปีๆที่ฉันแวะเวียนมาดู จนเขารำ่ๆจะตัดทิ้งไปหลายครั้งแต่ฉันก็ขอร้องเขาไว้โดยให้เหตุผลว่า "อะไรบางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ แค่มีไว้เพื่อให้รู้ว่ามันยังอยู่ณ.จุดนั้น" เขาทำหน้าแปลกๆขณะรับฟังเหตุผลของฉัน แต่ก็ยอมล้มเลิกความคิดที่จะตัดเถากี่วี่เถานั้น ลมพัดเอื่อยๆปะทะกิ่งสนน้อยใหญ่ไหวเอนไปมา อากาศช่วงอาทิตย์สุดท้ายของเดือนกันยายนในเขตนอร์ทเวสท์ปีนี้ดีกว่าปีก่อนๆ มาก แต่ฉันก็ยังสมัครใจที่จะนั่งอยู่ริมหน้าต่างด้านในให้แสงแดดโลมเลียมากกว่า นั่งข้างนอกให้ไอเย็นมากระทบตัว
    อีกไม่กี่วันภาระกิจของฉันที่นี่ก็จะเสร็จสิ้น และฉันก็จะกลับไปสานต่อการงานที่ฉันคงค้างไว้ข้างหลัง ฉันค่อนข้างพึงพอใจกับวิถีการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเลือก มันไม่มีอะไรมั่นคงถาวรทำให้ดีที่สุดและสนุกกับทุกสิ่งที่ทำฉันเฝ้าบอกตัว เองครั้งแล้วครั้งเล่า นึกถึงคำพูดของศิลปินที่ฉันเคารพครั้งหนึ่งท่านเคยพูดไว้ว่า "ถ้ามึงคิดว่ามึงทำไม่ได้หรือมึงจะอดตายแสดงว่ามึงกระจอก ถ้ามึงไม่อยากเป็นคนกระจอกมึงก็ต้องทำให้มันดีๆ" คำสอนนี้ก้องอยู่ในหูฉันทุกครั้งที่ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าและไร้แรงใจ
    กาแฟอุ่นๆ มุสลี่โยเกิร์ตถ้วยเล็กพร้อมถั่วอบหลายๆชนิดเป็นอาหารกึ่งเช้ากึ่งเที่ยงที่ ฉันชื่นชอบและจัดว่าเป็นโมเม้นท์ส่วนตัวเหมือนเช่นขณะนี้ จนเขาเก็บเอามาล้อว่าฉันเป็นมนุษย์ผู้หญิงที่ถูกที่สุดเท่าที่เขาเคยคบหามา "คุณกินอย่างอื่นบ้างก็ได้นะตัวเล็กผมเลี้ยงคุณไหว" เขาล้อฉันทุกครั้งที่ฉันจับมูสลี่กล่องโตออกมาจากชั้นวางของในซุปเปอร์มา เก็ตขณะที่เราเดินซื้อของด้วยกัน "คุณก็รู้นี่ว่าฉันทำงานฟรีแลนซ์ ต้องอยู่ง่ายกินง่าย" ฉันล้อเขากลับไป แต่ทุกเช้าที่เราอยู่ด้วยกันก็จะมีมูสลี่ถ้วยเล็กกับกาแฟอุ่นๆวางไว้บนโต๊ะ รอฉันเสมอยกเว้นเช้านี้เพราะเขาต้องทำงานช่วงกลางคืน หลายวันก่อนเขากลับมาจากโรงพยาบาลหลังจากงานกะดึกด้วยสีหน้าตื่นเต้น "เมื่อเย็นวานมีหมอคนใหม่มาจากเมืองไทย เธอชื่อริตา ผมต้องเทรนด์งานให้เธอประมาณสามเดือน" จากนั้นเรื่องราวต่างๆของหมอริตาก็ถูกถ่ายทอดมาทุกรายระเอียด "หมอริตาไม่ได้ตัวเล็กๆบางๆเหมือนคุณนะ เธอตัวท้วมๆผมหยิกเต็มหัว ผมคุยเรื่องคุณให้เธอฟังเธอยังอยากจะเจอคุณเลย" ฉันไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่ในใจก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกันเพราะฉัน ต้องเดินทางกลับอีกไม่กี่วัน
    ฉันใช้เวลาช่วงที่เหลือเก็บกวาดห้องหับให้เขา ผู้ชายที่อยู่ตัวคนเดียวมักจะไม่ค่อยดูแลสถานที่สักเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่ได้ ยากอะไรในการเก็บกวาดเพราะแต่ละห้องก็เป็นห้องโล่งๆตามแบบผู้ชาย ย้อนนึกถึงวันก่อนที่เขาขอร้องให้ฉันอยู่ต่ออีกสักพัก "อยู่ต่ออีกสักหน่อยไม่ได้เหรอครับ ผมยังไม่หายคิดถึงคุณเลย แล้วเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก ผมอยากบินตามคุณไปเลยแต่ติดอยู่ที่งานผม ทั้งงานสอนที่มหาวิทยาลัยแล้วไหนจะดูแลคนไข้ที่โรงพยาบาลอีก" ฉันยืนกรานที่จะกลับเพราะมีอีกหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่อยากจะทำที่ไทย ดวงตาคู่นั้นดูสลดไปทันใดเมื่อฉันตอบปฏิเสธ
    เสียงประตูเปิดเข้ามาพร้อมกับเสียงทักทายเบาๆทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ คนตัวโตปรากฎขึ้นที่มุมห้องด้านหน้า "โวววว... คุณทำความสะอาดห้องให้ผมเหรอ ขอบคุณครับ คุณเหนื่อยมั๊ย คุณไม่ต้องลำบากทำเองก็ได้ ผมมีคนทำความสะอาดชาวแม็คซิกันมาทำให้ทุกๆเดือนอยู่แล้ว" ฉันบอกเขาว่าฉันก็อยากทำอะไรให้เขาบ้าง ทดแทนกับความมีนำ้ใจ ห่วงหา อาทร ที่เขาเคยมีให้กับฉันตลอดมา มือใหญ่แข็งแรงแตะลงมาบนแก้มฉัน "ผมก็อยากดูแลคุณให้มากและนานที่สุดเท่าที่ชีวิตผมมี" ฉันโน้มตัวอิงแอบกับอกกว้างอันแสนจะอบอุ่นคุ้นเคย
 
 

Saturday, September 20, 2014

Classic USA Road Trip, 4th September - 27th September 2014. Part 3

ก้นแฟ้บ พุงโต 916ไมล์ กว่าเก้าชั่วโมงจากไอดาโฮ ฟอลส์ ถึงเรโน Road trip is fun! 916 Miles, more than 9 hours from Idaho Falls to Reno.

    ตื่นแต่มืดเตรียมตัวสำหรับการเดินทางอันยาวไกลอีกหนึ่งวัน วันนี้กะจะทำระยะให้ยาวที่สุดและเร็วที่สุดเลยเลื อกที่จะใช้แต่ไฮเวย์ ขับกันมันมากแซงรถบรรทุกสวยๆคันแล้วคันเล่า ขับไปเล่นทายกับตัวเองไปว่าแมลงที่จะมาชนกระจกหน้ารถจะเละมาเป็นสีอะไร แดง เหลือง ขาว ฟ้า หรือว่า เขียว? แมลงเยอะมากตายเละเต็มกระจกทำเอาที่ปัดนำ้ฝนทำงานไม่ได้หยุด จากรัฐไอดาโฮข้ามมารัฐเนวาดาภูมิทัศน์เริ่มเปลี่ยน ความเขียวเริ่มลดลงเรื่อยๆความแห้งแล้งเริ่มมาเยือน และเปลี่ยนเป็นเขตเกือบทะเลทราย มองไปไกลๆเห็นลมหมุนทวิสเตอร์หลายอันกำลังปั่นอยู่กลางทุ่ง พุ่มไม้แห้งๆกลมๆหลุดจากรากหมุนกลิ้งขึ้นมาบนถนน ทำให้นึกถึงหนังคาวบอยเก่าๆที่เคยดู อยากเห็นคาวบอยตัวจริงจะได้ถามว่ารองเท้าบู้ทที่ใส่กันมันมีไอ้เหล็กกลมๆขอบ หยักๆเหมือนเหมือนมีดตัดพิซซ่าติดอยู่ตรงท้ายของบู้ทใช้ทำอะไรอย่างอื่นได้ บ้างนอกจากเอาไว้กระทุ้งสีข้างม้า    

   จอดรถเติมนำ้มันที่ปั๊มนำ้มันเก๋ๆในเขตเนวาดา ข้างปั๊มมีซาลูนแบบที่เคยเห็นในหนังแต่ไม่เห็นมีม้าผูกไวัข้างนอก ไปด้อมๆมองๆเห็นคนแก่สองสามคนนั่งอยู่ข้างใน ไม่เห็นใส่กางเกงยีน เสื้อเชิ้ต รองเท้าบู้ท หมวกปีก ไม่มีท่าทางจะเป็นคาวบอยเลย หรือว่าคาวบอยก็พัฒนาแล้วเหมือนกลุ่มชาติพันธุ์แถวบ้านฉัน? อีกฟากหนึ่งของปั๊มนำ้มันเป็นคาสิโน สังเกตได้ว่าปั๊มนำ้มันขนาดใหญ่ในอเมริกาจะมีคาสิโนอยู่ด้วยทุกที่ โดยเฉพาะเมืองเรโนที่มาถึงวันนี้เป็นเป็นเมืองของการเสี่ยงโชคอันดับที่สอง รองจากลาสเวกัส คิดๆอยู่ว่าจะลองเข้าไปดูในคาสิโนดูลองเล่นซัก100$เสียก็ถือว่าเป็นกรรมถ้า ได้รวยขึ้นมาจะขับรถเที่ยวให้ครบ50รัฐ อิอิ ได้แค่คิดเพราะชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะเอาเงินหลักพันมาเล่นการพนัน อยู่บ้านแค่ซื้อลอตเตอรี่100บาทแล้วไม่ถูกยังแอบเสียใจเสียดายตังไปตั้งหลาย วัน ชีวิตนี้มี   
   หลายอย่างที่อยากทำแต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงคือยาเสพติด การพนัน และสร้างหนี้สิน
กว่าจะหาโรงแรมเจอเล่นเอาเหนื่อย เรโนเป็นเมืองใหญ่แถมมีกลิ่นตุๆ กลิ่นควันรถ กลิ่นมลพิษ กลิ่นของความเป็นเมืองใหญ่ คงแค่คืนเดียวที่เมืองนี้ พักให้หายเหนื่อยวางแผนเดินทางสำหรับวันถัดไป ดินเนอร์วันนี้งัดมาม่าออกมาเติมนำ้ร้อน คิดถึงพริกป่น.......




  กินลมชมวิวบนไฮเวย์1 ทางหลวงที่สวยที่สุดในอเมริกา
   หลังจากที่ได้ชื่นชมกับต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ Redwood National and State Parks วัน นี้ได้เติมเต็มความอยากให้เป็นจริงสักที โดยการขับรถเที่ยวบน Highway 1 (หรืออีกชื่อหนึ่งที่คุ้นเคยกันดีกับ California State Route 1 และ Pacific Coast Highway) ทางหลวงที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายและสวยที่สุดในอเมริกา เนื่องจากทางหลวงเส้นนี้สร้างขนานไปกับ Pacific Coastline ลัดเลาะชายฝั่งตั้งแต่เหนือจรดใต้ของรัฐ California (บางช่วงบรรจบกับทางหลวงเส้นอื่นด้วย) ทำให้ทางเส้นนี้มีความคดเคี้ยว ลาดชัน ตามลักษณะภูมิประเทศของรัฐแคลิฟอร์เนีย และด้วยเหตุนี้รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อขับรถบนถนนสายนี้ มองไปทางซ้ายก็เห็นภูเขา มองไปทางขวาก็เป็นหุบเหวและมหาสมุทรแปซิฟิก จึงทำให้ถนนเส้นนี้เป็นทางหลวงที่จัดว่าสวยที่สุดในอเมริกา อีกทั้งบรรยากาศที่แปรปรวนตลอดเวลา ทำให้สามารถเจอกับทุกสภาพอากาศได้ในวันเดียว!
    จากเมืองยูริก้ารัฐแคลิฟอร์เนียถึงเมืองนิวพอร์ทรัฐออริกอนใช้เวลา กว่า7ชั่วโมง สามร้อยกว่าไมล์ แวะนั่นชมนี่ไปเรื่อยๆแบบตามใจฉันน่าเสียดายที่อากาศไม่ดีเท่าที่หวังไว้ ขับรถไปเรื่อยๆฝ่าฝน ฝ่าหมอก ดูๆไปก็เหมือนเมืองปริศนา ข้างทางด้านหนึ่งมีต้นสนต้นใหญ่น้อยที่เต็มไปด้วยมอสห้อยตัวลงมาดูเหมือนใน หนังเรื่อง เดอะ ลอร์ดออฟเดอะริง อีกด้านหนึ่งเป็นแนวมหาสมุทแปซิฟิกที่เต็มไปด้วยหุบเหว มันไม่ได้เป็นการขับรถในเส้นทางที่น่ากลัวที่สุดสำหรับฉัน ฉันเคยเจอหนักกว่านี้ที่ปาปัวนิวกีเนียและเอธิโอเปียเมื่อหลายปีก่อน แต่ไฮเวย์1ก็ยังเป็นความใฝ่ฝันที่สวยงามของฉันอยู่ดี
   ก่อนจะถึงนิวพอร์ทเจอหนุ่มขายบาบีคิวริมทางแวะซื้อซี่โครงหมูมาหนึ่งแถบกับ พริกจาลิเปโนพันแฮมรสจัดจ้านอีกสามอัน ดินเนอร์เกร๋ๆในห้องคืนนี้กับไวน์ที่หนีบมาจากซุปเปอร์อีกขวดใหญ่ Life ain't bad
— at Shilo Inn Suties Oceanchfront Hotel-Newport.


  แปดคืนเก้าวันกับรถคันเล็กบนพื้นที่แค่ส่วนเล็กๆของประเทศอเมริกา
  กลับมาถึงณ.จุดเริ่มต้นเช็คระยะการเดินทางได้ที่3,100ไมล์ ( 4,650กม. ) นับว่าเป็นroad tripที่ยาวที่สุดที่เคยทำมา ยิ่งใช้เวลาในอเมริกานานเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกถึงความกว้างใหญ่ของประ เทศนี้ และยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวฉันเล็กลงๆไปเรื่อยๆ อเมริกาประเทศอันดับท้ายๆที่ฉันจัดไว้ในรายการ "ต้องได้สัมผัส" ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดไว้ในด้านของการท่องเที่ยว ธรรมชาติที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์ ข้อมูลการท่องเที่ยวหาได้ง่าย บุคลากรของหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวมีความรู้ความสามารถและปฏิบัติหน้าที่ อย่างมีประสิทธิภาพมากถึงมากที่สุด
    แต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวในอเมริกาค่อนข้างสูง นอกเหนือจากค่าตั๋วเครื่องบินที่แพงอยู่แล้วยังมีค่าโรงแรมที่ขูดเลือดซิบๆ ตามมาอีก สำหรับค่าอาหารมีอยู่หลายทางเลือกตั้งแต่โครตถูกถึงแพงลิบ ฉันในฐานะของคนที่ข้องเกี่ยวกับด้านอาหารมายี่สิบกว่าปีก็อดไม่ได้ที่จะลอง สัมผัสความแตกต่างของอาหารขึ้นชื่อของแต่ละรัฐไม่ได้ อาหารที่นี่จัดมาจานใหญ่มากแอบดูคนอเมริกันกินแล้วรู้สึกทึ่งจริงๆที่สามารถ อัดทุกอย่างในจานลงกระเพาะได้จนหมดเกลี้ยง ทุกครั้งที่นั่งกินอาหารในร้านฉันต้องคอยอธิบายให้พนักงานเข้าใจว่าที่กิน ไม่หมดไม่ใช่เพราะว่าไม่อร่อยแต่ฉันเป็นคนกินน้อย หลายวันก่อนลองKFCถัง5ชิ้นที่ตามปรกติกินที่บ้านเราก็แทะไปชิวๆคนเดียวก็หมด แต่ของที่นี่ชิ้นใหญ่มากคาดว่าคงเอาไก่ยักษ์มาทอดแถมมีเครื่องเคราตามมาอีก มากมาย มันบด เกรวี่ สลัด คุกกี้ ( อันนี้แปลกมาก ซื้อไก่ทอดมีคุ้กกี้แถมให้ ) แถมเป๊ปซี่มาให้อีกแก้วโต ฉันขยอกไก่ทอดไปได้แค่สองชิ้นกับมันบดอีกสามสี่ช้อน จุกไปจนถึงเช้าอีกวัน!
   การเดินทางต้องใช้เงิน เงินไม่ใช่สิ่งที่มีค่าที่สุดแต่เงินสามารถแปรรูปเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดได้  อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ให้เป็นนายเงิน อย่าให้เงินเป็นนาย ถึงไม่มีเงินก็แค่ไม่ได้เป็นนายเงินไม่ใช่เป็นทาศมัน
  




  

Classic USA Road Trip, 4th September - 27th September 2014. Part 2

ตามหาจนเจอ!!!!! แกรนด์ พริสเมติก บ่อนำ้ร้อนที่สวยที่สุดในโลก!!!!
   บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก (Grand Prismatic Spring)
เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา ซึ่งสีสันที่แบ่งเฉดเป็น สีน้ำเงินตรงกลางบ่อและสีส้มที่ขอบบ่อนี้เองที่ทำให้สถานที่แห่งนี้งดงาม ราวกับอยู่ในเทพนิยาย จนไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายถึงการแบ่งเฉดสีของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า ขอบบ่อที่เป็นสีส้มนั้นเกิดขึ้นจากแบคทีเรียที่เจริญเติบโตอย่างหนาแน่น บริเวณขอบบ่อ เนื่องจากภายในบ่อนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีอุณหภูมิที่เหมาะสม
    วันนี้ตั้งใจจะตามหาบ่อนำ้ร้อนบ่อนี้ให้เจอหลังจากพลาดไปเมื่อวาน หาข้อมูลก่อนไปให้แน่ใจว่าจะไม่ขับรถเลยไป ต้องย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิมเมื่อวานขึ้นไปทางเหนือตามด้วยเลี้ยวซ้ายไปตาม เส้นมิดเดิล เบซิ่น จอดรถทิ้งไว้แล้วเดินตามเส้นทางที่ทางอุทธยานวางไว้ เดินพอหายหนาวสองสามกิโลเมตรก็ถึงบ่อนำ้ร้อนแต่เพราะว่าตัวบ่อกว้างใหญ่เกิน กว่าที่ถ่ายรูปให้เห็นสีสัน ถ่ายเป็นสิบๆรูปก็ได้แค่มุมหรือไม่ก็ควัน รู้สึกผิดหวังมากเพราะรูปที่เห็นในอินเตอร์เนตมันสวยจับใจมาก เดินย้อนกลับมาที่รถหาข้อมูลเพิ่มพบว่าต้องขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปถ่ายรูปจาก ข้างบน อันนี้ก็คงจนปัญญาที่จะทำหรืออีกนัยหนึ่งก็จนปัจจัย อืมมมมมมม.... มันต้องมีวิธีสินะ
นั่งหาข้อมูลจากผ่านอินเตอร์เนตไปเรื่อยๆจนมาเจอเวปช่างภาพ พวกนี้มักมีวิธีดีๆแปลกๆให้ได้มาซึ่งภาพสวยๆ นายคนหนึ่งเขียนไว้ว่าให้ขับรถลงไปทางใต้หน่อยแล้วเลี้ยวเข้าไปเส้นแฟรี่ ฟอลส์ จอดรถไว้ที่ลานจอดรถแล้วเดินตามเส้นทางไปนำ้ตกพอเจอทางแยกเล็กๆซ้ายมือขึ้น เขาให้เดินตามรอยนั้นไป ไปจนถึงยอดเขาจะได้วิวที่แต่ต้องใส่รองเท้าที่ปีนเขาไปเพราะทางชันมาก อ่ะนั่นไง สติมาตันหาเกิด เอ้ยยยย ปัญญาเกิด ทำตามคำแนะนำของนายไม่ทราบชื่อจนมาถึงลานจอดรถแฟรี่ ฟอลส์ แต่ที่ทำไม่ได้ก็คือรองเท้าเพราะมีแค่ที่ใส่มาคู่เดียวNBคู่ใจไปได้ทุกงาน แล้วมันจะไหวรึ? เอาน่าลองดูก่อน ตอนเป็นเด็กก็ตีนเปล่าวิ่งไปมาไม่เห็นเป็นไรนิ สะพายกล้องคาดลำตัว โทรศัพท์เหน็บกระเป๋ากางเกงด้านหลังเริ่มออกเดิน ทางเข้านำ้ตกเป็นดินปนทรายสีดำๆร่องรอยของลาวาที่ประทุออกมาในอดีตกาลยังมี ให้เห็น จิตก็คิดไปถึงหนังเรื่องเกี่ยวกับภูเขาไฟระเบิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่อง2012ที่ถ่ายทำที่นี่ยังฝังติดตา นึกแบบขำๆดีนะที่วันนี้นุ่งกางเกงในสีจัดมาหากเกิดอะไรขึ้นคนคงตามหาเราเจอ ง่าย กำไลแขนก็สลักชื่อไว้ละ กางเกงในมันอาจจะไหม้ได้แต่เครื่องเงินคงไม่หลอมเร็วขนาดนั้น เป็นอะไรไปคนที่อยู่ข้างหลังคงไม่ลำบากเพราะไม่ได้สร้างหนี้สินหรือภาระอะไร ทิ้งไว้ มีแค่แมวน้องสโนว์ตัวเดียวที่จะเป็นภาระ โน่น นี่ นั่น จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย.....
    มาถึงทางแยกขึ้นเขาแหงนขึ้นมองแล้วตกใจ เรียกว่าแหงนจนท้ายทอยจดหลัง มันชันมาากกกกก! ยืนพิจารณาอยู่หลายนาทีว่าจะทำยังไง ทางชันแต่มีต้นสนเล็กใหญ่ตลอดทาง ตัดสินใจปีนไต่ขึ้นไปเรื่อยๆสะพายกล้องไว้ด้านหลังมือเกาะกิ่งสนบ้างรากไม้ บ้างเท้าก็พยายามยันต้นไม้ตาม ขึ้นไปเรื่อยๆทีละนิดละนิดนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็กชอบปีนต้นฝรั่งหลังบ้าน ทักษะนั้นมันใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ขึ้นมาจนถึงระดับที่ตัวเองพอใจและกะพอได้รูปที่ดีกว่าถ่ายจากข้างล่างแต่คง ไม่เจ๋งเท่ากับพวกที่ถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ หาที่ยืนเหมาะๆอีกแขนกอดต้นสนเอาไว้เผื่อลมพัด แฮ่ๆ ข้างบนนั้นเงียบมากและบ่อนำ้ร้อนที่มองจากมุมสูงมันทำให้ใจฉันสงบไปหลายนาที งามเหลือเกิน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่งามที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาในชีวิต ความเหนื่อยความล้าจากการปีนป่ายมันหายไปหมดตั้งแต่วินาทีที่มองลงไปที่บ่ อนำ้ร้อน หลับตาลืมตาอีกหลายรอบให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป หรือตาฝาดไป มันไม่น่าเชื่อว่าจะมีอะไรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและสวยงามเต็มไปด้วย สีสันสายรุ้งแจ่มจรัสอย่างนี้ ถ่ายรูปเก็บไว้รูปแล้วรูปเล่าและไม่ลืมที่จะถ่ายซำ้ด้วยกล้องโทรศัพท์เอาไว้ โพสต์เฟสบุ้คก่อนนอน กำลังฟินกับภาพข้างหน้าก็ได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วๆจากข้างล่าง มองลงไปเห็นคนบ้าสองสามคนกำลังปีนขึ้นมา แต่ละคนแบกกล้องกับเลนส์ขึ้นมาเพียบ พอเห็นฉันก็ทำหน้าตกใจคงนึกว่าแถวนี้มีชะนีด้วยเหรอฟะ อิอิ ยืนฟังหนุ่มๆหายใจเป็นหมาหอบแดดเพราะความเหนื่อยจากการปีนขึ้น รู้สึกสะใจพอแล้วก็ตัดสินใจรูดลงเขา งานนี้รูดจริงๆเพราะร้องเท้าลื่นมาก กว่าจะลงมาถึงพื้นนมแบนเหลือเท่าเห็บหมา ฮาาาาาาาาาา....
    ออกจากเยลโลว์สโตนขับรถลงมาทางประตูใต้ผ่านอุทธยานแกรนด์ ทีทอน อันนี้ก็งามมาก งามแบบหวานๆซึ้งๆ มีทะเลสาป ต้นไม้สวยๆที่ใบกำลังเปลี่ยนสี สีเหลือง สีส้ม สีน้ำตาล ภูเขาสวยๆที่ยอดยังมีหิมะคลุม เหมือนภาพในโปสการ์ดที่เคยเห็นขายในร้านหนังสือบ้านเรา ขับข้ามมาทีเดียว3รัฐ ไอดาโฮ มอนแทน่า ไวโอมิ่ง และย้อนกลับมานอนที่เมืองไอดาโฮ ฟอลส์ วันี้ไม่ได้ทำระยะไกลมาก น่าจะไม่เกิน300ไมล์ หาอะไรแหล่มๆลงท้องตามด้วยBudเบียร์เย็นๆอีกแก้ว ขำๆกันไปอีกหนึ่งวัน
— feeling amused at Shilo Inns.
 











  

Classic USA Road Trip, 4th September - 27th September 2014. Part 1


   520ไมล์ 9ชั่วโมงครึ่ง จากรัฐไอดาโฮมาถึงรัฐมอนแทน่า สู่ทางเข้าด้านตะวันตกของเยลโลว์สโตน ใช้เส้นทางหมายเลข 12 90 287 และจบลงที่ 191ขับรถขึ้นลงภูเขาลูกแล้วลูกเล่าดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งหนทางไกลเท่าไหร่ฉันก็รู้สึกว่าตัวฉันเล็กลง เล็กลง ไปทุกที ภูเขาสูงๆยังมีหิมะคลุมอยู่บนยอดสีสันตัดกันน่าดู ขาว เขียว นำ้ตาลเข้ม ภูเขาลูกที่ตำ่กว่าปกคลุมไปด้วยต้นสนหลายๆพันธุ์ ถนนตัดตามลำธารสายเล็กๆคดเคี้ยว นำ้ใสๆไม่ได้ลึกอะไรมองเห็นโขดหินใต้นำ้รูปร่างแปลกตา นึกไปถึงพู่กันกับสีและผ้าใบที่วางอยู่มุมกระท่อมน้อยที่เชียงราย อยากเอามาละเลงสีสวยๆตามที่ตาเห็นตอนนี้ มันเป็นการขับรถที่ยาวนานครั้งหนึ่งในชีวิตฉัน อเมริกากว้างใหญ่มากแต่ประชากรไม่ได้กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ บางครั้งฉันขับรถเกือบชั่วโมงกว่าจะเจอบ้านซักหลังหรือปั๊มนำ้มันซักแห่ง อดคิดไม่ได้ว่าถ้ารถเสียจะต้องรอความช่วยเหลือนานเท่าไหร่เพราะหลายๆที่ก็ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ผ่านจุดสวยๆมากมายแต่ไม่สามารถจอดรถถ่ายรูปได้เพราะรถที่ขับบนเส้นทางนี้ใช้ ความเร็วสูงมากและไม่มีที่ให้จอดริมทาง ได้แต่เก็บภาพเหล่านั้นไว้ในความทรงทำให้ลึกและมากที่สุด
    หยุดพักอยู่หลายรอบเพราะความเหนื่อยและง่วง กาแฟที่นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่านำ้ร้อนสีนำ้ตาลใสๆหากวัดค่าคาเฟอีนก็คงได้ออก มาไม่มากนัก กาแฟของสตาร์บัคค่อยเข้มขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับของบ้านเรา ผ่านหมู่บ้าน เมืองเล็กๆ ทุกๆที่จะมีร้านคล้ายๆกัน สตาร์บัค เคเอฟซี ซับเวย์ แมคโดนัล เบอร์เกอร์คิง ทาโค่ร้านพวกนี้ไม่สามารถกระตุ้นต่อมอยากฉันได้เพราะที่ไหนๆก็มี ยอมเสียเงินเพิ่มนิดหน่อยหยุดตามซุปเปอร์มาร์เก็ตหาอะไรแปลกๆลอง เนื้อแห้งยี่ห้อแจ็คอะไรซักอย่างเคี้ยวเพลินมากได้อารมณ์ประมาณเนื้อแดด เดียวบ้านเรา อัลมอนด์อบแห้งถุงย่อม ผลไม้อีกหลายๆอย่างที่บ้านเราไม่ค่อยมีหรือแพงก็จัดมาซะหลายลูก นำ้เปล่าขวดโต แค่นี้ก็เอาอยู่แทนที่มื้อกลางวัน แอบเห็นคนที่นี่ซื้อเป๊ปซี่แก้วจัมโบ้จากแมคโดนัลราคาแค่89เซ็นต์แต่เราซื้อ นำ้เปล่าราคาตั้ง1.80$ มิน่าคนที่นี่ถึงอ้วนนักนำ้อัดลมมันถูกนี่เอง
   ขับรถมาเรื่อยๆพอเห็นป้ายให้ระวังควายไบซันก็เริ่มใจชื้น เข้าเขตเยลโล่ว์สโตนละงานนี้ต้องขอบคุณจีพีเอสของโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ ของเขาแม่นจริงๆแถมใช้เป็นกล้องถ่ายรูปก็ได้อีก อิอิ หิวจนตาลายรีบหาที่ชิมปลาเทร้าท์ชื่อดังจากแม่นำ้ที่นี่ รสชาติไม่ผิดหวังจริงๆแต่แอบบ่นในใจหน่อยว่าปลาครึ่งตัวเนี่ยนะ600กว่าบาท ที่บ้านกินกันได้เป็นอาทิตย์ อั๊ยยยย เที่ยวหลายวันงบมันก็ร่อยหรอมั่งอะนะ ไม่เป็นไรพรุ่งนี้แก้ตัวกินเบาๆหน่อยละกัน แอบดูห้องพักเห็นมีไมโครเวฟกับกาต้มนำ้บริการอยู่ กาแฟฟรี อาหารเช้ารวมอยู่แล้ว ขำๆกันไปอีกยาววววว...
— feeling strong at Yellowstone National Park.




    เดอะ เยลโลว์สโตน วันตามล่าหาควายไบซัน
   ตั้งแต่ขับรถเข้ามาในเขตเยลโลว์สโตนเมื่อวานก็เห็นแต่ป้ายระวังชนควาย ระวังชนหมี ระวังชนกวาง จึงตั้งใจไว้ว่าวันนี้อย่างน้อยจะต้องได้เห็นควายไบซันตัวเป็นๆให้ได้ เพราะตอนเป็นเด็กเคยดูละครทีวีแล้วนางเอกก็ชอบด่าพระเอกที่(เล่น)เป็นลูกครึ่งว่า ไอ้ควายไบซัน ตอนนั้นก็แอบสงสัยอยู่ว่าทำไมไม่ควายเฉยๆทำไมต้องควายไบซัน??
    เสียงคนข้างห้องตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่คงเตรียมตัวไปส่องสัตว์ช่วงเช้า สำหรับสุวรรณี No! เปิดม่านหน้าต่างดูเห็นยังไม่สว่างดีแถมมีนำ้แข็งบางๆเกาะกระจกรถอีกเต็ม นึกถึงสภาพตัวเองยืนสั่นขูดกระจกรถก่อนขับไปทำงานเหมือนที่เคยทำมานับสิบปี ช่วงที่อยู่ยุโรปแล้วถอดใจ แถมประสบการณ์ส่องสัตว์เช้ามืดเหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยทำที่ประเทศกัวเตมาลา เมื่อหลายปีก่อนก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ ตื่นมาตีสาม นั่งเรืออีกชั่วโมง เดินป่าอีกสามสี่ชั่วโมง เจอนกสองตัวกับควายอีกสองตัว มะเอาดีกว่าาาาา... ไปสายหน่อยขอแค่เห็นควายไบซันซักตัวสองตัวก็พอใจละ
สายๆขับรถเข้าไปในเขตอุทธยาน จ่ายค่าเสียหายไป50$สำหรับตัวเองและอีก25$ของไอ้Jeepเล็ก นำ้มันเติมมาเต็มถังจากข้างนอก ลิตรละ 1.10$ อย่าให้เล่าต่อเรื่องราคานำ้มันเลยเดี๋ยวจะยาวแถมลามปามไปถึงคนโน้นคนนี้ อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) เป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเขตติดต่อสามรัฐได้แก่ ไวโอมิง มอนแทนา และไอดาโฮ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐไวโอมิง เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีเนื้อที่มากกว่า 8,992 ตารางกิโลเมตร ภายในอุทยานประกอบไปด้วยที่ราบสูงและภูเขาสูงมีหน้าผาชัน และมีทะเลสาบเยลโลวสโตน เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อนมากกว่า 10,000 แห่ง และ 250 แห่งเป็นบ่อน้ำพุร้อน(เป็นแมกมาใต้ดินที่พุ่งออกมา) และน้ำพุร้อนที่สำคัญคือ น้ำพุร้อนโอลด์เฟทฟุล มีน้ำพุงออกมาทุก ๆ 33 และ 93 นาทีโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยในรอบ 100 ปี มีน้ำตกกว่า 300 แห่งและสามารถค้นพบได้อีกมากมาย สัตว์ป่าที่น่าสนใจในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ได้แก่ หมีกริซซ์ลี หมีดำ ควายป่าไบซัน กวางมูส กวางเอลก์ แพะภูเขาบิกฮอร์น แมวป่า หมาป่า
    ขับรถเข้าไปไม่ถึง10ไมล์รถเริ่มติด นี่ขนาดไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวของที่นี่ ขับตามๆกันไปจนมาถึงต้นตอของรถติด ควายไบซันสามสี่ตัวยืนเล็มหญ้าอยู่กลางทุ่งลิบๆตา รีบหาที่จอดรถและคว้ากล้องกับเลนส์18/200มาส่อง ได้รูปควายมาตัวเท่าขี้ตาแมว สมน้ำหน้าตัวเองที่ขี้เกียจหิ้วเลนส์เสริม ขับเข้าไปลึกเรื่อยๆเริ่มเจอควายเพิ่มขึ้นอีกหลายตัว ความตื่นเต้นเริ่มน้อยลงจนเกิดอาการเบื่อควายเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่บ่อนำ้ พุร้อน นำ้พุร้อนที่นี่ไม่ได้เหม็นกำมะถันตุๆแบบทางบ้านเรากลิ่นค่อนข้างน้อยแถมมี สีสันสวยงามแตกต่างกันไป การจะไปดูนำ้พุร้อนสีสวยๆก็ต้องลงทุนเดินระยะทางจากที่จอดรถก็ไกล้ไกลแตก ต่างกันไปแต่สรุปแล้ววันนี้ฉันคงเดินมากกว่า40กม. อากาศเย็นๆทำให้เดินไม่เหนื่อยนัก ขาสั้นก็อาศัยเดินเร็วๆแซงฝรั่งตัวโตๆคนแล้วคนเล่า น่าภูมิใจชะมัด ให้กำลังใจตัวเองว่าเดินเยอะขนาดนี้เย็นนี้อนุญาตให้ตัวเองกินไก่ทอดKFC แถมมันบดอีกถ้วยนึง เอาเป๊ปซี่อีกแก้วก็ได้
   ขับผ่านผ่านนำ้พุร้อนอีกหลายร้อยบ่อผ่านภูเขาอีกหลายสิบลูกจนรู้สึกว่าหู อื้อและสภาพภูมิทัศน์เปลี่ยนไป บนภูเขาที่ขับรถอยู่ยังมีหิมะคลุมเป็นจุดๆ เช็คระดับความสูงได้เกือบ3,000เมตร มิน่าหูถึงดับ ขึ้นเขาลงเขาอีกหลายครั้งจนบ่ายกว่าจึงตัดสินใจกลับออกมาทางประตูตะวันตก เยลโลว์สโตนกว้างใหญ่เกินไปเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาต่อส่วนที่เหลือ. A big big girl in the big big world
— at Yellowstone National Park.