Wednesday, September 12, 2018

Southern India


🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️

12-09-2018
Day 8 Pondicherry

   Pondicherry หรือ Puducherry หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า Pondy เป็นอดีตอาณานิคมของฝรั่งเศสหลังจากที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาก่อน ภาษาหลักของที่นี่คือภาษาทมิฬและภาษาฝรั่งเศส บางส่วนของเมืองยังคงมีร่องรอยของความเป็นฝรั่งเศสให้เห็นอย่างชัดเจน มีตึกสไตล์ฝรั่งเศส มีโบสถ์สวยๆทั้งสไตล์ฝรั่งเศสและสไตล์อังกฤษ พอนดี้เป็นเมืองเล็กๆแห่งการพักผ่อน ชีวิตที่นี่ช้ากว่าโกลกาต้าและเจนไนมากมาย มีคาเฟ่ตกแต่งเก๋ไก๋สไตล์ฝรั่งเศสอยู่หลายที่

     กว่าครึ่งวันฉันสนุกกับการไล่ล่าหาไอเดียใหม่ๆเพื่อที่จะเอาไว้ใช้ในการทำงานในวันข้างหน้า เข้าคาเฟ่นี้ออกคาเฟ่โน้นสั่งโน่นนิดนี่หน่อยเพื่อที่จะได้ซึมซับบรรยากาศของแต่ละที่  คนขายไอเดียบางทีก็น่าขัน ใบสะระแหน่สองสามใบลอยอยู่ในน้ำหนึ่งแก้วกับน้ำแข็งอีกสามก้อนสามารถแปลเป็นเงินได้หกสิบบาท ตะไคร้หนึ่งหัวทุบพอให้กลิ่นออกแช่ลงไปในน้ำร้อนแล้วเสริฟในถ้วยสวยๆแปลเป็นเงินได้เก้าสิบบาท ผักสลัดหลากชนิดคลุกเคล้ากับน้ำมันมะพร้าวแล้วโรยด้วยเมล็ดงาใส่ในจานดินเผาแปลเป็นเงินได้หนึ่งร้อยเจ็ดสิบบาท จักรยานโบราณ ถาดสังกะสี เชือกถัก สารพัดอย่างที่คนบางกลุ่มสามารถทำให้มีค่าขึ้นมาได้อย่างมหาศาล  วันนี้ฉันเสียเงินไปไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับค่าความคิดสร้างสรรค์

     นั่งอ้อยอิ่งกับกาแฟและครัวซองในร้านเบเกอรี่ฝรั่งเศสชื่อดังของเมืองนานโขจนนึกขึ้นได้ว่าเงินในกระเป๋าร่อยหรอเต็มแก่แล้วเพราะถูกใช้จ่ายเป็นค่าที่พักทั้งสองคืน รีบเดินออกไปหาตู้เอทีเอ็มแต่ต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะแต่ละตู้ไม่ยอมรับบัตรที่ใช้อยู่ เหงื่อเริ่มตก คิดไปสารพัดว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยกับเมื่อยี่สิบปีก่อนกระมัง มาถึงธนาคารสุดท้ายตัดสินใจเปลี่ยนบัตรเป็นบัตรเอทีเอ็มวีซ่าเพราะบัตรก่อนๆเป็นบัตรมาสเตอร์การ์ด ได้ผลทันตาเห็นธนบัตรรูปท่านมหาตมะ คานธี ไหลออกมาจากช่องรับเงิน ค่าธรรมเนียมสองร้อยรูปีพอรับได้ เปิดโทรศัพท์เช็คดูยอดเงินในบัญชีก็ถูกหักออกถูกต้องตามจำนวน แอบดีใจที่การเดินทางสมัยนี้ง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ บัตรเอทีเอ็มเดบิตธรรมดาๆจากธนาคารไทย เอามากดเงินที่นี่ใช้ได้สบายๆแค่เสียต่าธรรมเนียมนิดหน่อย จำได้ว่าครั้งที่มาอินเดียใต้ยี่สิบปีที่แล้วต้องซื้อเช็คเดินทางเอามาขึ้นเป็นเงินที่นี่

      สบายใจแล้วก็ออกเดินไปตามแผนที่วางไว้ วัดพระพิฆเนศชื่อดังที่มีช้างตัวเป็นๆมาคอยตบหัวให้พร ฉันโดนตบไปหนึ่งทีแล้วขนลุกซู่ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น โบสถ์อังกฤษ และจุดสำคัญมากสำหรับฉันอีกจุดหนึ่งคือตลาด Goubert ตลาดใหญ่ของเมืองพอนดี้ ชอบตลาดนี้มากเพราะไม่แออัดเหมือนตลาดเมืองอื่นๆ สินค้าก็น่าสนใจมีทั้งผักผลไม้และดอกไม้สายๆ ผู้คนก็เป็นมิตรทำให้มีโอกาสได้ใช้กล้องจริงๆถ่ายรูป ที่จริงคนอินเดียใต้เขาก็น่ารักและเป็นมิตรดีแต่มักจะวางหน้าเฉยๆกันจนดูเหมือนดุ เดินลัดเลาะไปทุกซอกทุกมุมของตลาดพยายามจดจำสิ่งที่พบเห็นไว้ให้มากที่สุด แอบคิดเล่นๆว่าถ้าจะทำอาหารไทยในอินเดียจะหาวัตถุดิบได้ครบมั้ย เท่าที่เห็นเอามาทำอะไรได้บ้าง  เดินจนเหงื่อชุ่มหลังหน้ามันแพล่บก็ตัดสินใจกลับไปพักผ่อน แดดช่วงเที่ยงถึงบ่ายสามร้อนจัดฉันมักใช้เวลานี้พักผ่อนแล้วค่อยออกมาอีกทีหลังบ่ายสามโมงตอนแดดอ่อนแรง

  แวะซื้อฝรั่งมานั่งแทะในห้องต่อด้วยการซักผ้า ตอนแรกกะจะซักแค่ชุดชั้นในเพราะไม่มีตัวที่สะอาดเหลืออยู่แล้วแต่ซักไปซักมาเกิดความสนุกก็เลยซักกางเกงขายาวที่ใส่มาแล้วห้าวันกับเสื้อยืดอีกสามสี่ตัวที่ผ่านการใส่มาแล้วหลายรอบเหมือนกัน น้ำร้อนๆจากก๊อกถูกเปิดใส่ถังพลาสติกที่จะมีประจำในห้องพักในอินเดีย ผงซักฟอกซองละสิบรูปีถูกเทใส่ลงไปแล้วตีให้ขึ้นฟองก่อนจะโยนเสื้อผ้าลงไปแช่สักสิบนาที ขยี้สองสามทีแล้วล้างเอาฟองออกบิดผ้าให้แห้ง โหหหห ซักผ้าด้วยมือก็สนุกดีนะ นุ่งกางเกงเอวยืดแต่ดึงขึ้นมาทำเป็นเกาะอก เดินถือถังพลาสติกใส่ผ้าที่ซักแล้วขึ้นไปตากบนดาดฟ้า ที่พักออกแบบมาดีเพราะชั้นดาดฟ้ามีศาลาเล็กๆไว้ให้ผู้ที่มาพักขึ้นมานั่งตากลม แถมมีเชือกขึงไว้ทำเป็นราวตากผ้า.... มั้ง? คิดในใจว่าถ้าไม่ซักผ้าวันนี้จะมีโอกาสได้ซักที่อื่นมั้ยนะ ลมแรงตีผ้าแต่มีที่หนีบๆไว้ ตอนแรกกะว่าจะนั่งเฝ้าจนแห้งแต่คืดว่าเสียเวลาก็เลยตากทิ้งไว้แล้วกลับลงมาที่ห้อง

   เดินสำรวจเมืองรอบบ่ายจุดมุ่งหมายอยู่ที่Botanic Garden ไม่ได้อยากเห็นสวนแต่อยากเห็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อีกที่หนึ่งของเรื่อง Life of Pi เมื่อวานเห็นมาแล้วหนึ่งที่แถวชายหาดPromanade ตอนเช้าเห็นอีกที่คือที่ตลาด หนังเรื่องนี้ท้าทายความคิดและจินตนาการของฉันมากเพราะต้องดูซ้ำถึงสี่รอบกว่าจะเข้าใจแก่นแท้ มันไม่ใช่แค่ฉากสวยๆ เรื่องราวที่ตื่นเต้นของPi แต่มันแฝงไปด้วยปรัชญา จินตนาการ มายา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และความวิตกจริตของมนุษย์  หัวใจฉันเต้นแรงเมื่อเดินเกือบจะถึงทางเข้า ผ่านทางโค้งนี้แล้วก็จะเป็นประตูสวนที่ในเรื่องใช้เป็นประตูสวนสัตว์ของครอบครัวPi  แล้วประตูสีเหลืองก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าฉัน เหมือนกับที่เคยเห็นในหนัง ยิ้มให้ตัวเองพร้อมกับพึมพำว่ามาถึงจนได้ ถ่ายรูปประตูสองสามภาพแล้วซื้อตั๋วราคาห้าสิบรูปีเข้าไปดูข้างในปรากฎว่าไม่ได้มีอะไรมากเพราะมันไม่ได้เป็นสวนสัตว์เหมือนในหนัง นั่งรถไฟเด็กเล่นชมสวนห้านาทีแล้วเดินกลับออกไป หนุ่มอินเดียตาคมเดินตามมาถามว่าเหงามั้ย ชวนฉันไปกินข้าวเป็นเพื่อนก็ได้นะ ตอบปฏิเสธไปเบาๆพร้อมกับคำขอบคุณ

   ระหว่างทางเดินกลับฟ้ามืดแล้วแสงไฟเริ่มเข้ามาแทนที่ เห็นหนุ่มสาวนั่งกินไอศกรีมโคนริมทางก็เลยนั่งกินบ้าง ช่วงกลางวันไม่กล้ากินเพราะเห็นว่าฝุ่นเยอะแต่ตอนนี้มืดก็เลยมโนว่าไม่มีฝุ่น แวะซื้อโฟมล้างหน้ายี่ห้อHimalayaของดีอินเดียเพราะหน้าเริ่มมีเม็ดสิวเห่อจากฝุ่นและควัน ไม่ลืมซื้อปลาหมึกหั่นเป็นวงๆชุบแป้งทอดใส่สีแดงเข้มห่อด้วยใบไม้แห้งและกระดาษหนังสือพิมพ์เอาไว้เป็นอาหารค่ำ  เดินฮัมเพลงที่คิดว่าน่าจะเป็นเพลงฮินดูมาตามทางจนถึงที่พัก  การเดินทางยิ่งนานวันยิ่งง่ายขึ้นและมีความสุขมากขึ้น

  นามัสเต พอนดี้

🙏🏼🙏🏼🙏🏼🙏🏼🙏🏼









No comments:

Post a Comment