Tuesday, September 11, 2018

Southern India



🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️🚶🏽‍♀️

09-092018
Day 5 Kolkata - Chennai

   การเดินทางเริ่มขึ้นอีกครั้งตอนสิบเอ็ดโมงเช้า เสื้อผ้าข้าวของถูกบรรจุไว้อย่างรัดกุม ของหนักสุดอยู่ข้างล่างตามหลักทฤษฎีการใช้เป้ เดินออกมาป้ายรถเมล์เพราะยังอยากแก้มือเมื่อวาน ระหว่างทางแวะจิบไจจากร้านเดิมเมื่อวานมีแตกต่างคือวันนี้ไม่ต้องสั่งเพราะเห็นหน้าก็เป็นที่รู้กัน มาถึงป้ายรถเมล์ยังไม่ทันตั้งตัวปรากฎว่ารถสายที่ต้องการมาพอดี โชคดีชะมัด รถเมล์เก่าๆเปิดหน้าต่างทุกบาน เวลารถวิ่งรถเบรคมีเสียงเอี๊ยดอ๊าด ค่าโดยสารจนถึงป้ายใกล้สนามบินระยะทางยี่สิบกิโลเมตรราคาสิบแปดรูปีกับเวลาเกือบสองชั่วโมง  รถแล่นไปช้าๆจอดทุกๆป้ายและแต่ละป้ายก็ใกล้กันมากกกก ฉันนั่งไปขำไปไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะเที่ยวบินที่จองไว้คือบ่ายสีโมงครึ่ง นั่งมองนั่นมองนี่เพลินไปเกือบครึ่งชั่วโมงจึงสังเกตเห็นว่าตัวเองนั่งผิดฟากเพราะฟากตรงข้ามมีแต่ผู้หญิงแต่ฟากนี้มีแต่ผู้ชาย ทำหน้าเขินๆขยับไปนั่งฝั่งผู้หญิง เสียงเพลงฮินดีหวานเจื้อยแจ้วดังมาจากข้างหลัง หันไปเจอเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆร้องเพลงคลอไปกับเสียงจากวิทยุอันเล็กที่ถืออยู่ แอบยิ้มตามพร้อมกับคิดว่าน่ารักจังร้องเพลงอารมณ์ดีบนรถเมล์แต่มารู้ทีหลังเมื่อเด็กเดินผ่านว่าเด็กเป็นขอทานมาร้องเพลงหาเงินกับแม่ เงินเหรียญกำใหญ่ถูกฉันกวาดออกจากก้นกระเป๋าสะพายใส่ลงไปในมือเล็กๆของเธอ เธอทำตาโตยิ้มดีใจแล้วจูงมือแม่ลงรถไป

   รถเมล์จอดป้ายที่ใกล้สนามบินที่สุดแต่ยังเป็นระยะทางกว่ากิโลเมตร ฉันไม่ได้หวั่นกับการเดินเพราะเตรียมพร้อมร่างกายมาแล้วแต่ตอนที่ซ้อมเดินที่บ้านไม่ได้ซ้อมกับอุณหภูมิเกือบสี่สิบองศาพร้อมกับเป้บนบ่า ก้าวเท้ายาวๆพยายามรักษาความเร็วให้สม่ำเสมอ คอยหลบรถราที่มาทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง เดินจนเข้ามาถึงเขตสนามบินเจอพนักงานรักษาความปลอดภัยหลบร้อนอยู่ใต้ต้นไม้ เขาชี้ให้ฉันเข้าไปเดินในอุโมงค์ทางไปลานจอดรถ เดินไปสุดอุโมงค์ทะลุออกลานจอดรถแล้วข้ามถนนก็เจออาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เดินผิดทางถูกทางอยู่พักใหญ่ก็พาตัวเองมาถึงจุดตรวจสัมภาระข้ามขั้นตอนการเช็คอินไปเพราะจัดการมาจากบ้านพร้อมทั้งปริ้นท์บอร์ดดิ้งพาสต์มาเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่รอคิวก็ปลดเป้ออกจากหลังคลายความเมื่อยล้าแต่ต้องรีบใส่กลับไว้ที่เดิมเพราะเสื้ออินเดียแขนยาวตัวยาวสีชมพูเข้มตัวใหม่ที่ใส่อยู่เปียกเหงื่อโชกไปทั้งหลัง ผ่านจุดตรวจสัมภาระมาได้รีบไปหลบมุมเอาหลังไปผึ่งแอร์จนเสื้อแห้ง คงได้ผอมแน่คราวนี้ เหงื่อออกเยอะ โหะ โหะ

   1,668กม. จากโกลกาต้าถึงเจนไน ตอนแรกที่วางแผนเส้นทางนี้กะว่าจะนั่งรถไฟแต่เสียดายเวลาหนึ่งวันกับหนึ่งคืนและราคาตั๋วเครื่องบินก็ไม่ได้โหดร้ายอะไร ไม่ถึงสองชั่วโมงIndiGoก็พาฉันมาถึงเมืองเจนไน แผนนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินต่อด้วยรถเมล์จากสนามบินเข้าเมืองเป็นต้องพับไปเพราะกว่าจะออกจากตัวอาคารขาเข้าข้างนอกก็มืดมิดหมดแล้ว ความมืดที่อินเดียเป็นภัยที่ผู้หญิงที่เดินทางตามลำพังต้องระวัง ผิดหวังซำ้สองที่Olaแท็กซี่ราคาสามร้อยเจ็ดสิบรูปีไม่เรียกแท็กซี่ให้เพราะฉันไม่มีหมายเลขโทรศัพท์อินเดีย ผิดหวังซ้ำสามค่าแท็กซี่Prepaidที่สนามบินอยู่ที่ห้าร้อยรูปี แทบหมดหวังแต่พอดีพี่คนขับตุ๊กๆช่วยเติมความหวังให้ ป้ะจะไปส่งสี่ร้อยห้าสิบรูปี เออ เอาก็เอาวะขี้เกียจเดินกลับไปหาแท็กซี่Prepaid บอกที่หมายไปแล้วพี่แกสั่นหัวดุ๊กดิ๊ก อีนี่ฉานไม่รู้จัก ฉานถามเพื่อนแป๊บนะ ถามกันไปถามกันมาสี่ห้าคนสั่นหัวดุ๊กดิ๊กกันไปมานับยี่สิบนาทีจนฉันทนไม่ไหวรีบตะโกนบอก อีนี่ขับนะ เดี๋ยวฉานจะบอกทางให้ อีนี่ฉานมีgpsว๊อยยยย  คนขับตุ๊กๆคันเล็กสีเหลืองมะนาวหรือที่คนที่นี่เขาเรียกว่าเอาโต้พาฉันแว๊นด้วยความเร็วที่น่าจะมากกว่าความเร็วเสียง นั่งกางขากว้างๆจะได้ทรงตัวถนัด เป้สะพายคาบนหลังไว้เอาไว้ถ่วงน้ำหนักตัว มือขวาจับราวรถ มือซ้ายจับโทรศัพท์มือถือ ซ้ายพี่ซ้าย แยกหน้าเลี้ยวขวา ตรงไปเรื่อยๆ  ไปเรื่อยๆค่อนชั่วโมงก็ถึงจุดหมาย มันไกลนะ เด็กแว๊นตั้งประเด็น อืมมม ก็บอกแล้วนิว่าอยู่ในเมือง ขอเพิ่มนะ ขามาหกร้อยขากลับไปอีกหกร้อยรวมเป็นพันสอง  จะบ้าเร้อะ ฉันไม่ได้กลับไปด้วยนิ เอาไปห้าร้อยไม่ต้องทอน แถมให้เป็นค่าขับเร็วได้ใจป้า กระโดดลงรถสวยๆแล้วเดินจากมา เสียงตะโกนโหวกเหวกดังตามหลังแต่ฉันไม่สนใจ เดินต่อไปเรื่อยๆเห็นป้ายที่พักอยู่ข้างหน้าแล้ว คิดในใจว่าถ้ากล้าตามมาจะโวยวายให้เป็นเรื่องเลยทีเดียวเชียว แต่ก็ไม่มีใครตามหลังมา

   มาถึงที่พักราคาหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดบาทกับอีกสามสิบสองสตางค์ พนักงานต้อนรับน่ารักมาก ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่ การเดินทาง ละเอียดยิบ ต่างกับโรงแรมราคาแพงที่พักก่อนหน้านี้ลิบลับ ห้องพัดลม เตียงกว้าง ทีวีมีเพลงฮินดีสนุกๆให้ฟังหลายช่อง เปิดประตูห้องน้ำตะลึงกับส้วมนั่งยองๆ อืมมมม ในรูปมันไม่มีแบบนี้นิ ครั้งสุดท้ายใช้ส้วมแบบนี้มันนานกี่ปีมาแล้วนะ ยิ่งเป็นมนุษย์พิศดารอยู่ด้วย ถ้าห้องน้ำห้องท่าไม่ถูกจริตนี่อั้นได้เป็นสามสี่วันนะ

   อาหารเย็นเป็นมังสวิรัติร้านเล็กๆหัวมุมซอยหลังที่พัก เดินเข้าไปทำหน้ามึนๆเพราะไม่รู้จะสั่งอะไร อาหารอินเดียใต้ไม่เหมือนอาหารอินเดียเหนือถ้าฉันนึกอะไรไม่ออกก็สั่งThaliไว้ก่อนก็ได้ทุกอย่างครบเซ็ต อืมมมม วันนี้หลายอืมมม ละนะ อินเดียเริ่มจะสนุกเจ้มจ้นละนะ  อ้าวววมีเมนูภาษาอังกฤษด้วยนิแต่อ่านได้ความอย่างเดียวคือข้าวผัด เอ้าข้าวผัดก็ได้กับอาลูนี่อีกอย่าง อาลูก็มันฝรั่งอันนี้จำได้  ไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะรวมกับลูกค้าอีกหลายๆคน ใครอยากนั่งตรงไหนกับใครก็ได้ เขยิบๆแบ่งกันนั่งน่ารักดี ใบตองถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมน้ำหนึ่งแก้ว ฉันนั่งเฉยเพราะไม่คิดจะดื่มน้ำจากก๊อกที่นี่ หนุ่มตาคมพนักงานเสิร์ฟทำท่าทางให้ฉันเอาน้ำพรมใบตอง อ๋อกลัวข้าวติดตองมั๊งเพราะเดี๋ยวต้องเอาข้าวตักใส่ใบตองแล้วใช้มือเปิบกิน หนุ่มทำตาวาวๆกลั้นหัวเราะแล้วส่งสัญญาณว่าไม่ให้เอาพรมเฉยๆให้เอาล้างใบตอง เทราดลงไปใช้มือกวาดๆแล้วเทน้ำทิ้งลงข้างโต๊ะ ฉันมีเด็ดกว่านั้นล้วงเอาผ้าเช็ดมือแบบเปียกออกมาจากกระเป๋าแล้วเช็ดใบตองซะเงาแว๊บ  อาหารอร่อยราคาประหยัด ข้าวผัดสามสิบรูปี แกงมันฝรั่งสามสิบรูปี แต่แอบผิดหวังเพราะพนักงานแถมช้อน ช้อนส้อม ถ้วยจานมาให้ แอบมองคนอื่นๆเปิบข้าวด้วยมือเลอะเทอะสนุกสนาน  ลองเปิบดูสองสามทีก็ยอมแพ้เพราะข้าวเปียกน้ำแกงไหลลงบนใบตองไปกว่าครึ่ง บวกกับเป็นคนถนัดซ้ายเป็นมือข้างที่คนที่นี่ใช้ล้างตูด กลัวคนเขาจะกินข้าวไม่อร่อยกัน

    ที่นอนไม่ได้นุ่มเหมือนเมื่อคืนก่อน พรุ่งนี้เช้าก็จะไม่มีอาหารเช้ามาบริการให้ถึงในห้อง แต่ฉันก็จะนอนหลับแบบมีความสุขในห้องเล็กนี้ มีเสียงพัดลมเป็นเพื่อน มีส้วมยองๆเป็นแบคกราว

    นามัสเต เจนไน

😁😁😁😁😁











No comments:

Post a Comment